กระทู้สำหรับคนรักสัตว์: เรียนรู้ข้อคิดดีๆเกี่ยวกับคนและสัตว์ใน "Dr. Dolittle" ตอนที่ 1

ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/32067981
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/32082173

กระทู้นี้เกิดขึ้นเพราะได้เห็นโฆษณาซีรี่ย์ใหม่ทาง TPBS เรื่อง เรียกผมว่าดูลิตเติ้ล (Veterinarian Dolittle) ซึ่งต้นฉบับมาจากการ์ตูนที่ผมรักมากเรื่อง “ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ล” แต่งเรื่องโดย Natsu Midori (สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ) ก็เลยดีใจที่ได้เห็นการ์ตูนที่รักถูกนำมาทำเป็นซีรี่ย์ จึงอยากเขียนบทความนี้เพื่อแบ่งปันข้อคิดดีๆจาการ์ตูนเรื่องนี้ถึงเพื่อนๆครับ (บทความนี้เขียนขึ้นโดยยึดตามการ์ตูนนะครับเพราะผมไม่ได้ดูซีรี่ย์)

ผมเป็นคนอ่านและสะสมการ์ตูนครับ มีการ์ตูนที่ชอบมากมาย แต่ถ้ามีคนถามผมว่า ให้หยิบ “การ์ตูนที่มีสาระอ่านแล้วมีความสุข” มาสักเรื่องหนึ่ง ผมจะไม่ลังเลที่จะหยิบการ์ตูนเรื่องนี้ขึ้นมาแนะนำเลยครับ ผมเป็นคนชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์อยู่แล้ว จนมีคติที่ใช้ประจำแก่บรรดาคนรู้จักที่มักมาปรึกษาเรื่องการเรียนว่า “หากอยากเป็นหมอคนให้ดูหนังเรื่อง Patch Adams หากอยากเป็นหมอสัตว์ให้อ่าน ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ล” และสำหรับผู้ที่ต้องการจะเลี้ยงสัตว์ว่า “ก่อนแกจะเลี้ยงอะไรไปหาการ์ตูนเรื่องนี้มาอ่านก่อน”

Dolittle แปลว่าอะไร?
คำนี้โดยตัวมันเองแล้วไม่มีความหมายอะไรครับ เพราะเป็นชื่อคน -  Dr.Dolittle เป็นตัวละครในหนังสือซีรี่ย์สำหรับเด็ก โดยเล่มแรกใช้ชื่อว่า “The Story of Dr.Dolittle” มีทั้งหมด 12 เล่ม แต่งโดย Hugh Lofting และได้ถูกนำมาดัดแปลงในหลายๆสื่อ (ที่รู้จักกันมากที่สุดน่าจะเป็นภาพยนต์เรื่อง Dr.Dolittle นำแสดงโดย Eddie Murphy) โดยคุณหมอมีความสามารถพิเศษคือฟังและพูดภาษาสัตว์ได้ ดังนั้นถ้าจะหาความหมายให้กับคำนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง (ที่มนุษย์เราคงไม่สามารถฟังและพูดภาษาเดียวกับสัตว์) ก็คือ “ผู้ที่สามารถเข้าใจสัตว์ได้อย่างลึกซึ้ง” นั่นเอง


การ์ตูนเรื่องนี้เหมาะสำหรับใคร?
เหมาะสำหรับทุกคนครับ เพราะทุกวันนี้สัตว์เลี้ยงนั้นเข้ามาเกี่ยวพันกับสังคมมนุษย์อย่างแยกไม่ออกแล้ว จึงเป็นการดีที่ทุกคนควรจะมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์ไว้บ้าง แต่จะเป็น Must Read หรือต้องอ่านสำหรับบุคคลที่ต้องการเลี้ยงสัตว์ บุคคลที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว และสัตวแพทย์ครับ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์แล้วยังมีคติสอนใจที่ดีมากด้วย ซึ่งบทความนี้จะนำตอนเด่นๆมาสรุปให้ท่านได้อ่านกันครับ



สัตวแพทย์คือธุรกิจ!!!
เด็กสาว: “อย่าเข้ามานะ สัตวแพทย์ใจทราม!! ไม่รักสัตว์เลยรึไง!! มาเป็นสัตวแพทย์เพราะรักสัตว์ไม่ใช่เหรอ”
ทตโทริ: “พาแมวบาดเจ็บมาแต่ที่บ้านเลี้ยงไม่ได้ ค่ารักษาก็ไม่มี แล้วจะให้ฉันรักษางั้นเหรอ เธอจะบ้ารึปล่าวนี่มันธุรกิจนะ แมวจรจัดไม่มีเจ้าของถึงยังไงก็ต้องถูกกำจัด เอามาใช้ทดลองยังดีกว่าจะปล่อยให้ตายเปล่าๆ”

ดอกเตอร์ดูลิตเติ้ล เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสัตวแพทย์ฝีมือดีแต่เห็นแก่เงินและปากร้ายที่มีคำพูดติดปากว่า “สัตวแพทย์คือธุรกิจ” ชื่อ ทตโทริ เคนอิจิ โดยนามสกุลทตโทริ ออกเสียงคล้ายดูลิตเติ้ลจึงกลายเป็นชื่อเล่นที่คนรอบข้างตั้งให้เขา (แต่เจ้าตัวไม่ชอบให้เรียกแบบนี้เพราะเขิน) คุณหมอทตโทริไม่ได้มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ ไม่สามารถฟังหรือพูดภาษาสัตว์ได้ แต่สิ่งที่คุณหมอมีคือความพยายามอย่างหนักในการเรียนและการขวนขวายหาความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับสัตว์ทั้งสัตว์เลี้ยงทั่วไปและสัตว์แปลกๆ จุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้คือความสมจริงที่ยึดโยงกับโลกแห่งความเป็นจริงมากๆ ดูลิตเติ้ลไม่ใช่คนเก่งชนิดรู้ไปทุกอย่าง ไม่ใช่หมอซูเปอร์ฮีโร่ที่รักษาได้หายทุกโรค ไม่ใช่หมอซื่อๆที่ยึดติดกับอุดมคติแบบโลกสวยรักษาสัตว์ด้วยใจรัก แต่เป็นหมอปากร้ายผู้ยึดหลักความเป็นจริงที่มีความเข้าใจให้กับสัตว์และผู้เลี้ยงจนนอกจากจะรักษาสัตว์ได้แล้วยังสามารถสอนและเยียวยาจิตใจของผู้เป็นเจ้าของด้วย
เรื่องราวต่อไปนี้ถูกนำเสนอในบริบทของประเทศญี่ปุ่นที่มีกฎหมายในการดูแลสัตว์ที่เข้มงวดกว่าบ้านเรานะครับ (คำเตื่อน: บทความต่อจากนี้สปอยล์เนื้อหาในการ์ตูนนะครับ)

ขออนุญาติ แท็ก ห้องสยามเพราะคิดว่าเด็กวัยนี้มีแนวโน้มที่จะอยากเลี้ยงสัตว์และเกิดปัญหาตามมามากนะครับ

หากกระทู้นี้จะช่วยเหลือสัตว์หรือเจ้าของได้สักชีวิตหนึ่ง ก็ถือว่าคุ้มกับที่เขียนมาแล้วครับ อมยิ้ม17

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยโหวตให้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่