บอกตรงๆนะครับ ช่วงนี้มี สัญญาณหลายๆตัว ไม่ดีเอามากๆ ก่อนอื่นผมขอไล่ลำดับความเทียบกับวิกฤติต่างๆ
ที่ผมได้สัมผัสมา เท่าที่ผมจำได้ และ เท่าที่สติปัญญาผมจะพอประเมินได้นะครับ
1) ต้มยำกุ้ง (ช่วงปี 2540)
ช่วงนั้น ผมเพิ่งเรียนจบมา เริ่มเข้าทำงานบริษัทฯเพื่อฝึกงาน ทำงานได้ 6 เดือน กิจการทางบ้านขยายตัว
เลยตัดสินใจออกจากงานบริษัทฯ มาช่วยกิจการทางบ้าน ช่วงแรกๆก่อนฟองสบู่แตกกิจการดีมากๆ
เสนอราคาไปก็รอรับ Order เลย ส่งสินค้าแทบไม่ทัน บริษัทฯห้างร้าน Supplier ต่างๆมีทริปพาลูกค้า (เอเยนต์) ไปเที่ยว ตปท.
ในช่วงนั้น มีจุดเปลี่ยนที่นับว่าเป็นโชคดีอย่างมากในธุรกิจของครอบครัวผม คือการที่พ่อผมปฎิเสธที่จะกู้เงินจากนอกเพื่อมาลงทุน
เท่าที่ผมจำได้ในขณะนั้น เพื่อนๆของพ่อผมที่ทำธุรกิจ ทั้งในวงการเดียวกัน และ วงการอื่น ต่างลงทุนเพิ่มจากธุรกิจตัวเอง
ด้วยการซื้อที่ดินมาเพื่อเก็งกำไร พ่อผมก็ลงทุนเช่นกันแต่เลือกที่จะซื้อที่ดินจากเงินสดที่ท่านมีอยู่ โดยไม่กู้เงินจากนอก(กู้เป็นเงิน $)
ที่ในช่วงนั้น Offer มาให้กู้ในดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ จุดนั้นเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจของครอบครัวผมอยู่รอดจากการลดค่าเงินบาทมาได้
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลก็ประกาศลดค่าเงินบาท เพื่อนของพ่อผม กู้เงินธนาคารเป็นเงิน $ โดยไม่ได้ประกันความเสี่ยงของค่าเงิน
เป็นหนี้จาก 10 ล้าน $ = 250 ล้าน บาท เป็น 500 ล้าน บาท ในข้ามคืน !!!
ที่ดินที่ซื้อมาแม้จะนำมาขายก็ไม่สามารถมีมูลค่าเพียงพอกับการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้
ผลพวงจากฟองสบู่แตก ทำให้ธุรกิจต่างๆเริ่มล้มลงและเริ่มเป็น NPL ธนาคารต่างเริ่มเข้มงวดกับลูกหนี้ และ เริ่มมีธนาคาร
และ สถาบันการเงิน ปิดตัวลง ความกังวลแผ่ตัวไปทั่วในทุกขนาดของธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจใหญ่มาก ธุรกิจขนาดกลาง จนถึงธุรกิจเล็กๆ
แม้กระทั่ง พนักงานกินเงินเดือน ก็กระทบ
ช่วงนั้นถ้าให้ผมมองกลับไปอีกครั้ง ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสของคนที่มีเงินสดอยู่ในมือจำนวนมาก และ ผู้ที่ไม่ได้ลงทุนในที่ดิน หรือ หุ้น ก่อนหน้านั้น แม้กระทั่งธุรกิจที่มีเงินสดๆก็สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น สินค้าที่ผมซื้ออยู่ปรกติจะเครดิต 90 วัน
แต่ในช่วงนั้น บริษัทฯจะลดให้เพิ่มอีก 6% ทันที หากชำระเป็นเงินสด (30 วัน) หรือแม้แต่รถหรูๆ (Benz) พ่อผมก็สามารถซื้อมาได้
ในราคาที่ถูกกว่าปรกติ เนื่องจากผู้นำเข้าต้องการเงินสดไปลดดอกเบี้ยธนาคาร จึงขายในราคาถูกมากๆ
ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากก็สูงมากๆ (เคยได้ดอกเงินฝากประจำสูงถึง 13% จากธ.เขียว) ตอนนั้นมีเงินฝาก 1ล.
ได้ดอกเดือนละ หมื่นกว่าบาท แทบไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้ (แต่ดอกสูงอยู่ไม่นานนะครับ อิ อิ)
ส่วนที่ดินที่พ่อผมซื้อมาเพื่อเก็งกำไร มาถึงเมื่อปีก่อน เพิ่งขายแปลงสุดท้ายได้ในราคาที่กำไรเพียงเล็กน้อย
ถ้าเทียบกับเวลาที่จมเงินลงไปในที่ดินนั้นถือว่าไม่คุ้มกับค่าเสียโอกาสเลย แต่ก็ยังดีที่ในที่สุดก็ขายออกไปได้
จบในส่วนของ ต้มยำกุ้งเท่านี้นะครับ
2)ซัพไพรม์ และ ปิดสนามบินฯ (ประมาณ ปี 51)
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ ธุรกิจในส่วนที่ผมทำไม่ค่อยกระทบ ตัวเลขในภาพรวมทรงๆ แต่จะเข้มงวดเรื่องหนี้เสีย ช่วงนั้น
น้องชายผมเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ Hostel ก็จำได้ว่ากระทบเรื่องการชุมนุมบ้าง และจะกระทบมากในช่วงที่ปิดสนามบิน
ส่วนเรื่อง ซัพไพรม์ กระทบในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ จำได้ว่าหุ้นหลายๆตัวที่ถืออยู่ ร่วงลงมามาก มากจนไม่กล้าซื้อเพิ่ม
ผมจำได้ว่าเห็นหุ้น CPALL ลงมาถึงต่ำกว่า 7 บาท ซึ่ง ณ.ตอนนั้นเองผมไม่กล้าซื้อหุ้น เพราะกลัวว่ามันจะลงไปต่อ T T
แต่ภาคธุรกิจทั่วๆไปก็ยังไปได้ดี ญาติผมที่ทำธุรกิจขายรถ ก็ยังขายได้ปรกติ ภาคธนาคารก็ไม่มีสัญญาณ NPL ที่ชัดเจน
ช่วงนี้ เป็นเวลาทองของตลาดหุ้น ใครที่เคยมีประสพการณ์ในการลงทุนมาก่อนและมีเงินสดในพอร์ท
ก็จะสามารถลงทุนได้ในหุ้นที่ราคาต่ำมากๆ ส่วนภาคอสังหานั้นกลับบูมขึ้นสวนทางกับซัพไพรม์ในอเมริกา
คอนโดฯต่างๆขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยรวม สำหรับผม ช่วงเวลานี้ ไม่มีอะไรที่ note มากไปกว่านี้นะครับ ขอต่อที่อันต่อไปนะครับ
3) ช่วงปิด ราชประสงค์ ต่อ ด้วย วิกฤติในกรีซ และ น้ำท่วม (ประมาณ ปี 53-54)
เป็นช่วงที่มีเหตุรุนแรงมากในกรุงเทพฯ มีการปิด พท. เศรษฐกิจ เป็นเวลานับเดือน ช่วงนี้ผมมองคล้ายๆกับ อันที่สองนะครับ
ในส่วนของธุรกิจที่ผมทำอยู่ก็มีขึ้นๆลงๆ แต่ไม่มีอะไรแรงมากนะครับ Hostel ของน้องผมก็กระทบต่อไป จากที่เต็มตลอดก็เริ่มเหลือ
ครึ่งเดียว พอน้ำท่วม ธุรกิจก็หยุดนิ่งในช่วงเดือนที่น้ำท่วม แต่หลังจากนั้นก็เริ่มขยับเหมือนเดิม
ซึ่งระยะเวลาในช่วงนั้นจนถึงเวลาที่ธุรกิจเดินเป็นปรกติจะกินเวลาประมาณ 6 เดือนนะครับ
ธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวกับอสังหาก็อาจจะได้รับผลดีจากน้ำท่วม เนื่องจากมีการซ่อมบำรุงบ้านเรือนและโรงงานต่างๆ หลังจากน้ำท่วม
โดยรวมๆช่วงเวลานี้ธุรกิจของผมไม่กระทบนะครับ ญาติๆผมที่ทำเกี่ยวกับรถยนต์ก็ขายปรกติ
ช่วงนี้ ผมตั้งข้อสังเกตุว่าเหมือนมีการเก็งกำไรในอสังหาค่อนข้างมาก เช่น คุณพ่อและคุณอาผมได้ซื้อที่ในเชียงใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน
แต่มีคนมาขอซื้อในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาถึง 2 เท่า !! เพื่อนๆผมที่ไม่เคยลงทุนอสังหา เริ่มซื้อคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า
เพื่อหวังว่าจะปล่อยเช่า หรือ ราคาเพิ่มขึ้นในอนาคต คอนโดฯริมรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอีกมาก ราคาที่ดินในกทม. สูงขึ้นจนซื้อไม่ไหว
คนตั้งก็ตั้งราคาไป แต่ไม่มีคนกล้าซื้อ (ช่วงนั้นผมก็เริ่มหาซื้ออสังหาอยู่ แต่ก้พบว่ามันแพงมาก)
4) ช่วงปัจจุบัน (2556-2557)
ตอนนี้ที่ผมสังเกตุสัญญาณที่น่าเป็นห่วงหลักๆเลยนะครับ
-ยอดขายของธุรกิจผม ลดลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ (เริ่ม Q2) ตอนแรกว่าหลังปีใหม่น่าจะดีขึ้น
ก็เงียบ ก่อนสงกรานต์ ธุรกิจผม ปรกติจะยุ่งทุกๆปีเพราะเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในอสังหา ช่างและลูกค้า
จะรีบใช้ของเพื่อปิดงานก่อนสงกรานต์ ปรากฎว่าปีนี้ เงียบ !!! หลังสงกรานต์ จนถึงตอนนี้ก็ยังเงียบๆอยู่
สรุปปีนี้ ยอดขายผมเทียบกับปีที่แล้ว ลดลงกว่า 30% เป็นอย่างน้อยนะครับ
เรื่องเงียบนี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับ เพราะ ญาติผมก็ประสพปัญหายอดขายรถที่ลดลงมากกว่า 30% เช่นกัน
ข้างๆโชว์รูมผม เป็นตัวแทนขายมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ คุยกับเฮียเขาก็บ่นว่าเงียบเหมือนกัน
เข้าไปในห้างบ้าง เอาเมื่อวานเลย ปรกติวันพุธ ถ้าใครเคยไปกิน ร้านอาหาร S ในห้างที่จะมีโปรฯวันพุธ
เป็น คอมโบฯ+Salad เป็น บุฟเฟต์ (ราคาเฉพาะวันพุธ ) ปรกติที่ห้างนี้ถ้าผมไปวันพุธจะต้องรอคิวที่ร้านนี้ไม่ต่ำกว่า ครึ่ง ชม.
เมื่อวานผมไป มีที่นั่งเหลือ ไม่ต่ำกว่า 20% เดินเข้าไปได้เลย
สรุป ตอนนี้ธุรกิจ น้อย-ใหญ่ ตอนนี้ค่อนข้างเงียบนะครับ ที่น่ากลัวคือมันเงียบมาพักหนึ่งแล้วนะครับ
แล้วไม่รู้ว่าจะเงียบต่อไปอีกแค่ไหน
-เริ่มมีสัญญาณ NPL ในภาคเศรษฐกิจเล็ก กลาง อันนี้เอาที่ลูกค้าผมก่อน
ตอนนี้เริ่มมีการดึงการจ่ายเช็คและมีเช็คที่ต้องยื่นใหม่มากขึ้น ลูกค้ารายที่เคยช้าหน่อย ก็เริ่มช้าขึ้นอีก
รายที่เคยจ่ายปรกติ ก็เริ่มตีเช็คจ่ายช้าขึ้น ส่วนรายที่แย่อยู่ อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ หายไปเลย !!!
ตอนนี้ผมเริ่มระมัดระวังในการขายเครดิตมากๆแล้วครับ อยู่ในขั้นระวังสูง เพราะสัญญาณหนี้สูญเริ่มมีมากขึ้น
-ส่วนภาคอสังหา เริ่มมีการประกาศขายทรัพย์ที่ยึดจากธนาคาร มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อันนี้ผมสังเกตุได้จากเวปของ กรมบังคับคดี ที่ผมจะเข้าไปดูอสังหาที่ขายทอดตลาดอยู่เป็นระยะๆ
เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเข้าไปดูที่เวป (หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาพักหนึ่ง) ปรากฎว่ามีทรัพย์ฯใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!
โดยส่วนมากจะอยู่ในขั้นตอนของการนัดประมูลครั้งแรก ซึ่งแสดงว่าเป็นเคสที่โดนยึดเพิ่มมาใหม่ๆ !!
-เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เองญาติผมที่ทำโรงรับจำนำ บอกว่าปรกติช่วงก่อนเปิดเทอม ยอดที่โรงรับจำนำจะเป็นช่วงพีคมากๆ
เนื่องจาก ผปค. จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายสำหรับลูกๆในช่วงเปิดเรียน ปรากฎว่า ญาติผมบอกว่ายอดลดลง ไม่ต่ำกว่า 30-40%
ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่อยากจะเชื่อนะครับ ถามเขาว่าทำไม เขาก็ตอบแบบงงๆว่า คนคงไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจมั๊ง
เลยไม่แน่ใจว่าจะมีเงินมาไถ่คืนหรือเปล่า ดังนั้นอันไหนที่เขาประหยัดได้ก็ไม่ต้องใช้จ่าย
หากจำเป็นจริงๆเขาเลือกที่จะขายเลยดีกว่าจำนำแล้วปล่อยขาด
โดยรวมแล้วที่ผมเป็นห่วงคือเงินมันจะฝืดในระยะยาวเพราะครั้งนี้ผมเห็นว่าสัญญาณทางเศรษฐกิจมันค่อยๆซึมลงนะครับ
แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะฟื้น อะไรจะเป็นผลที่ตามมา
หลักๆตอนนี้ผมเลือกที่จะไม่ประมาท โดยการ ไม่สร้างหนี้ และ ประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งที่ไม่จำเป็นก็คงต้องงดไปก่อน
พยายามตั้งรับแบบ worst case (กรณีเลวร้ายสุด) ไว้ก่อนว่าถ้าหากยอดขายหรือ รายรับ เหลือน้อยๆ
เป็นระยะเวลานานๆเข้าเราจะสามารถอยู่ได้หรือเปล่า และ จะทำอย่างไรดี
ผมคาดเดาว่ารอบนี้ผลกระทบคงไม่รุนแรงแบบปี 40 เพราะรอบนั้น เป็นที่สถาบันการเงิน และ ภาคอสังหาริมทรัพย์
แต่รอบนี้ผมว่าผลกระทบจะเป็นแบบซึมนานๆแล้วจึงค่อยๆฟื้น การระวังไว้ก่อนไม่ประมาทย่อมดีกว่าไม่ได้เตรียมอะไรเลยนะครับ
ผมเขียนแบบนึกอะไรออกก็เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เก่งทางเทคนิค ข้อมูลต่างๆก็อาศัยประสพการณ์ที่พอมีอยู่บ้าง
อาจจะอ่านแล้ว งงๆ ผิดพลาดประการใดก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ เพื่อนๆน้องๆ มีอะไรมาแชร์กันได้นะครับ
ผมอยากได้ความเห็นของท่านอื่นๆบ้างครับ
ขอบคุณครับ
ปล. แก้ไข ย่อหน้า เพื่อความสะดวกในการอ่าน ตามคำแนะนำของเพื่อนๆแล้วนะครับ ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจ
ดีใจที่ข้อความนี้อาจเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆสมาชิกได้บ้าง
ทำธุรกิจ SME มานาน ผ่าน วิกฤติต้มยำกุ้ง ซัพไพรม์ ปิดสนามบินฯ ปิดราชประสงค์ฯ น้ำท่วม มารอบนี้........
ที่ผมได้สัมผัสมา เท่าที่ผมจำได้ และ เท่าที่สติปัญญาผมจะพอประเมินได้นะครับ
1) ต้มยำกุ้ง (ช่วงปี 2540)
ช่วงนั้น ผมเพิ่งเรียนจบมา เริ่มเข้าทำงานบริษัทฯเพื่อฝึกงาน ทำงานได้ 6 เดือน กิจการทางบ้านขยายตัว
เลยตัดสินใจออกจากงานบริษัทฯ มาช่วยกิจการทางบ้าน ช่วงแรกๆก่อนฟองสบู่แตกกิจการดีมากๆ
เสนอราคาไปก็รอรับ Order เลย ส่งสินค้าแทบไม่ทัน บริษัทฯห้างร้าน Supplier ต่างๆมีทริปพาลูกค้า (เอเยนต์) ไปเที่ยว ตปท.
ในช่วงนั้น มีจุดเปลี่ยนที่นับว่าเป็นโชคดีอย่างมากในธุรกิจของครอบครัวผม คือการที่พ่อผมปฎิเสธที่จะกู้เงินจากนอกเพื่อมาลงทุน
เท่าที่ผมจำได้ในขณะนั้น เพื่อนๆของพ่อผมที่ทำธุรกิจ ทั้งในวงการเดียวกัน และ วงการอื่น ต่างลงทุนเพิ่มจากธุรกิจตัวเอง
ด้วยการซื้อที่ดินมาเพื่อเก็งกำไร พ่อผมก็ลงทุนเช่นกันแต่เลือกที่จะซื้อที่ดินจากเงินสดที่ท่านมีอยู่ โดยไม่กู้เงินจากนอก(กู้เป็นเงิน $)
ที่ในช่วงนั้น Offer มาให้กู้ในดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ จุดนั้นเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจของครอบครัวผมอยู่รอดจากการลดค่าเงินบาทมาได้
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลก็ประกาศลดค่าเงินบาท เพื่อนของพ่อผม กู้เงินธนาคารเป็นเงิน $ โดยไม่ได้ประกันความเสี่ยงของค่าเงิน
เป็นหนี้จาก 10 ล้าน $ = 250 ล้าน บาท เป็น 500 ล้าน บาท ในข้ามคืน !!!
ที่ดินที่ซื้อมาแม้จะนำมาขายก็ไม่สามารถมีมูลค่าเพียงพอกับการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้
ผลพวงจากฟองสบู่แตก ทำให้ธุรกิจต่างๆเริ่มล้มลงและเริ่มเป็น NPL ธนาคารต่างเริ่มเข้มงวดกับลูกหนี้ และ เริ่มมีธนาคาร
และ สถาบันการเงิน ปิดตัวลง ความกังวลแผ่ตัวไปทั่วในทุกขนาดของธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจใหญ่มาก ธุรกิจขนาดกลาง จนถึงธุรกิจเล็กๆ
แม้กระทั่ง พนักงานกินเงินเดือน ก็กระทบ
ช่วงนั้นถ้าให้ผมมองกลับไปอีกครั้ง ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสของคนที่มีเงินสดอยู่ในมือจำนวนมาก และ ผู้ที่ไม่ได้ลงทุนในที่ดิน หรือ หุ้น ก่อนหน้านั้น แม้กระทั่งธุรกิจที่มีเงินสดๆก็สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น สินค้าที่ผมซื้ออยู่ปรกติจะเครดิต 90 วัน
แต่ในช่วงนั้น บริษัทฯจะลดให้เพิ่มอีก 6% ทันที หากชำระเป็นเงินสด (30 วัน) หรือแม้แต่รถหรูๆ (Benz) พ่อผมก็สามารถซื้อมาได้
ในราคาที่ถูกกว่าปรกติ เนื่องจากผู้นำเข้าต้องการเงินสดไปลดดอกเบี้ยธนาคาร จึงขายในราคาถูกมากๆ
ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากก็สูงมากๆ (เคยได้ดอกเงินฝากประจำสูงถึง 13% จากธ.เขียว) ตอนนั้นมีเงินฝาก 1ล.
ได้ดอกเดือนละ หมื่นกว่าบาท แทบไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้ (แต่ดอกสูงอยู่ไม่นานนะครับ อิ อิ)
ส่วนที่ดินที่พ่อผมซื้อมาเพื่อเก็งกำไร มาถึงเมื่อปีก่อน เพิ่งขายแปลงสุดท้ายได้ในราคาที่กำไรเพียงเล็กน้อย
ถ้าเทียบกับเวลาที่จมเงินลงไปในที่ดินนั้นถือว่าไม่คุ้มกับค่าเสียโอกาสเลย แต่ก็ยังดีที่ในที่สุดก็ขายออกไปได้
จบในส่วนของ ต้มยำกุ้งเท่านี้นะครับ
2)ซัพไพรม์ และ ปิดสนามบินฯ (ประมาณ ปี 51)
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ ธุรกิจในส่วนที่ผมทำไม่ค่อยกระทบ ตัวเลขในภาพรวมทรงๆ แต่จะเข้มงวดเรื่องหนี้เสีย ช่วงนั้น
น้องชายผมเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ Hostel ก็จำได้ว่ากระทบเรื่องการชุมนุมบ้าง และจะกระทบมากในช่วงที่ปิดสนามบิน
ส่วนเรื่อง ซัพไพรม์ กระทบในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ จำได้ว่าหุ้นหลายๆตัวที่ถืออยู่ ร่วงลงมามาก มากจนไม่กล้าซื้อเพิ่ม
ผมจำได้ว่าเห็นหุ้น CPALL ลงมาถึงต่ำกว่า 7 บาท ซึ่ง ณ.ตอนนั้นเองผมไม่กล้าซื้อหุ้น เพราะกลัวว่ามันจะลงไปต่อ T T
แต่ภาคธุรกิจทั่วๆไปก็ยังไปได้ดี ญาติผมที่ทำธุรกิจขายรถ ก็ยังขายได้ปรกติ ภาคธนาคารก็ไม่มีสัญญาณ NPL ที่ชัดเจน
ช่วงนี้ เป็นเวลาทองของตลาดหุ้น ใครที่เคยมีประสพการณ์ในการลงทุนมาก่อนและมีเงินสดในพอร์ท
ก็จะสามารถลงทุนได้ในหุ้นที่ราคาต่ำมากๆ ส่วนภาคอสังหานั้นกลับบูมขึ้นสวนทางกับซัพไพรม์ในอเมริกา
คอนโดฯต่างๆขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยรวม สำหรับผม ช่วงเวลานี้ ไม่มีอะไรที่ note มากไปกว่านี้นะครับ ขอต่อที่อันต่อไปนะครับ
3) ช่วงปิด ราชประสงค์ ต่อ ด้วย วิกฤติในกรีซ และ น้ำท่วม (ประมาณ ปี 53-54)
เป็นช่วงที่มีเหตุรุนแรงมากในกรุงเทพฯ มีการปิด พท. เศรษฐกิจ เป็นเวลานับเดือน ช่วงนี้ผมมองคล้ายๆกับ อันที่สองนะครับ
ในส่วนของธุรกิจที่ผมทำอยู่ก็มีขึ้นๆลงๆ แต่ไม่มีอะไรแรงมากนะครับ Hostel ของน้องผมก็กระทบต่อไป จากที่เต็มตลอดก็เริ่มเหลือ
ครึ่งเดียว พอน้ำท่วม ธุรกิจก็หยุดนิ่งในช่วงเดือนที่น้ำท่วม แต่หลังจากนั้นก็เริ่มขยับเหมือนเดิม
ซึ่งระยะเวลาในช่วงนั้นจนถึงเวลาที่ธุรกิจเดินเป็นปรกติจะกินเวลาประมาณ 6 เดือนนะครับ
ธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวกับอสังหาก็อาจจะได้รับผลดีจากน้ำท่วม เนื่องจากมีการซ่อมบำรุงบ้านเรือนและโรงงานต่างๆ หลังจากน้ำท่วม
โดยรวมๆช่วงเวลานี้ธุรกิจของผมไม่กระทบนะครับ ญาติๆผมที่ทำเกี่ยวกับรถยนต์ก็ขายปรกติ
ช่วงนี้ ผมตั้งข้อสังเกตุว่าเหมือนมีการเก็งกำไรในอสังหาค่อนข้างมาก เช่น คุณพ่อและคุณอาผมได้ซื้อที่ในเชียงใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน
แต่มีคนมาขอซื้อในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาถึง 2 เท่า !! เพื่อนๆผมที่ไม่เคยลงทุนอสังหา เริ่มซื้อคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า
เพื่อหวังว่าจะปล่อยเช่า หรือ ราคาเพิ่มขึ้นในอนาคต คอนโดฯริมรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอีกมาก ราคาที่ดินในกทม. สูงขึ้นจนซื้อไม่ไหว
คนตั้งก็ตั้งราคาไป แต่ไม่มีคนกล้าซื้อ (ช่วงนั้นผมก็เริ่มหาซื้ออสังหาอยู่ แต่ก้พบว่ามันแพงมาก)
4) ช่วงปัจจุบัน (2556-2557)
ตอนนี้ที่ผมสังเกตุสัญญาณที่น่าเป็นห่วงหลักๆเลยนะครับ
-ยอดขายของธุรกิจผม ลดลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ (เริ่ม Q2) ตอนแรกว่าหลังปีใหม่น่าจะดีขึ้น
ก็เงียบ ก่อนสงกรานต์ ธุรกิจผม ปรกติจะยุ่งทุกๆปีเพราะเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในอสังหา ช่างและลูกค้า
จะรีบใช้ของเพื่อปิดงานก่อนสงกรานต์ ปรากฎว่าปีนี้ เงียบ !!! หลังสงกรานต์ จนถึงตอนนี้ก็ยังเงียบๆอยู่
สรุปปีนี้ ยอดขายผมเทียบกับปีที่แล้ว ลดลงกว่า 30% เป็นอย่างน้อยนะครับ
เรื่องเงียบนี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับ เพราะ ญาติผมก็ประสพปัญหายอดขายรถที่ลดลงมากกว่า 30% เช่นกัน
ข้างๆโชว์รูมผม เป็นตัวแทนขายมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ คุยกับเฮียเขาก็บ่นว่าเงียบเหมือนกัน
เข้าไปในห้างบ้าง เอาเมื่อวานเลย ปรกติวันพุธ ถ้าใครเคยไปกิน ร้านอาหาร S ในห้างที่จะมีโปรฯวันพุธ
เป็น คอมโบฯ+Salad เป็น บุฟเฟต์ (ราคาเฉพาะวันพุธ ) ปรกติที่ห้างนี้ถ้าผมไปวันพุธจะต้องรอคิวที่ร้านนี้ไม่ต่ำกว่า ครึ่ง ชม.
เมื่อวานผมไป มีที่นั่งเหลือ ไม่ต่ำกว่า 20% เดินเข้าไปได้เลย
สรุป ตอนนี้ธุรกิจ น้อย-ใหญ่ ตอนนี้ค่อนข้างเงียบนะครับ ที่น่ากลัวคือมันเงียบมาพักหนึ่งแล้วนะครับ
แล้วไม่รู้ว่าจะเงียบต่อไปอีกแค่ไหน
-เริ่มมีสัญญาณ NPL ในภาคเศรษฐกิจเล็ก กลาง อันนี้เอาที่ลูกค้าผมก่อน
ตอนนี้เริ่มมีการดึงการจ่ายเช็คและมีเช็คที่ต้องยื่นใหม่มากขึ้น ลูกค้ารายที่เคยช้าหน่อย ก็เริ่มช้าขึ้นอีก
รายที่เคยจ่ายปรกติ ก็เริ่มตีเช็คจ่ายช้าขึ้น ส่วนรายที่แย่อยู่ อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ หายไปเลย !!!
ตอนนี้ผมเริ่มระมัดระวังในการขายเครดิตมากๆแล้วครับ อยู่ในขั้นระวังสูง เพราะสัญญาณหนี้สูญเริ่มมีมากขึ้น
-ส่วนภาคอสังหา เริ่มมีการประกาศขายทรัพย์ที่ยึดจากธนาคาร มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อันนี้ผมสังเกตุได้จากเวปของ กรมบังคับคดี ที่ผมจะเข้าไปดูอสังหาที่ขายทอดตลาดอยู่เป็นระยะๆ
เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเข้าไปดูที่เวป (หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาพักหนึ่ง) ปรากฎว่ามีทรัพย์ฯใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!
โดยส่วนมากจะอยู่ในขั้นตอนของการนัดประมูลครั้งแรก ซึ่งแสดงว่าเป็นเคสที่โดนยึดเพิ่มมาใหม่ๆ !!
-เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เองญาติผมที่ทำโรงรับจำนำ บอกว่าปรกติช่วงก่อนเปิดเทอม ยอดที่โรงรับจำนำจะเป็นช่วงพีคมากๆ
เนื่องจาก ผปค. จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายสำหรับลูกๆในช่วงเปิดเรียน ปรากฎว่า ญาติผมบอกว่ายอดลดลง ไม่ต่ำกว่า 30-40%
ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่อยากจะเชื่อนะครับ ถามเขาว่าทำไม เขาก็ตอบแบบงงๆว่า คนคงไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจมั๊ง
เลยไม่แน่ใจว่าจะมีเงินมาไถ่คืนหรือเปล่า ดังนั้นอันไหนที่เขาประหยัดได้ก็ไม่ต้องใช้จ่าย
หากจำเป็นจริงๆเขาเลือกที่จะขายเลยดีกว่าจำนำแล้วปล่อยขาด
โดยรวมแล้วที่ผมเป็นห่วงคือเงินมันจะฝืดในระยะยาวเพราะครั้งนี้ผมเห็นว่าสัญญาณทางเศรษฐกิจมันค่อยๆซึมลงนะครับ
แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะฟื้น อะไรจะเป็นผลที่ตามมา
หลักๆตอนนี้ผมเลือกที่จะไม่ประมาท โดยการ ไม่สร้างหนี้ และ ประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งที่ไม่จำเป็นก็คงต้องงดไปก่อน
พยายามตั้งรับแบบ worst case (กรณีเลวร้ายสุด) ไว้ก่อนว่าถ้าหากยอดขายหรือ รายรับ เหลือน้อยๆ
เป็นระยะเวลานานๆเข้าเราจะสามารถอยู่ได้หรือเปล่า และ จะทำอย่างไรดี
ผมคาดเดาว่ารอบนี้ผลกระทบคงไม่รุนแรงแบบปี 40 เพราะรอบนั้น เป็นที่สถาบันการเงิน และ ภาคอสังหาริมทรัพย์
แต่รอบนี้ผมว่าผลกระทบจะเป็นแบบซึมนานๆแล้วจึงค่อยๆฟื้น การระวังไว้ก่อนไม่ประมาทย่อมดีกว่าไม่ได้เตรียมอะไรเลยนะครับ
ผมเขียนแบบนึกอะไรออกก็เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เก่งทางเทคนิค ข้อมูลต่างๆก็อาศัยประสพการณ์ที่พอมีอยู่บ้าง
อาจจะอ่านแล้ว งงๆ ผิดพลาดประการใดก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ เพื่อนๆน้องๆ มีอะไรมาแชร์กันได้นะครับ
ผมอยากได้ความเห็นของท่านอื่นๆบ้างครับ
ขอบคุณครับ
ปล. แก้ไข ย่อหน้า เพื่อความสะดวกในการอ่าน ตามคำแนะนำของเพื่อนๆแล้วนะครับ ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจ
ดีใจที่ข้อความนี้อาจเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆสมาชิกได้บ้าง