เผยชีวิต Dark จาก "เด็กเรียน" กลายเป็น "ขี้ยา"

สวัสดีครับชาว pantip ทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผมเองนั้นเป็นคนที่ตามอ่าน pantip มานาน ไม่ค่อยได้ตั้งกระทู้เท่าไรนัก แต่ช่วงนี้พอมาได้อ่านกระทู้ของคุณ "ตุ๊ดเวียงพิงค์" แล้วเลยเกิดอยากเขียนเล่าประสบการณ์ชีวิตด้านมืดของตัวเองที่น่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจน้องๆ อีกหลายคนได้เป็นอย่างดี เลยตั้งใจเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยพ่อแม่พี่น้องไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ

ปล. ด้วยเรื่องของผมค่อนข้างตีแผ่สังคมในด้านมืดอย่างรุนแรง ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระทบกับบุคคลจริงผมจึงขอใช้นานแฝงสำหรับทุกตัวละครในเรื่องราวของผมนี้ครับ

ปล2. อยากย้ำให้น้องๆ เข้าใจว่าสิ่งที่นำมาเขียนนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในการใช้ชีวิต ไม่ให้ทำเป็นเยี่ยงอย่าง นะครับ เพราะชีวิตของผมเกือบพังมาแล้วครับ

เริ่มเรื่องคงต้องลากกลับไปยาวตั้งแต่สมัย ม.ปลายก่อนครับ ตัวผมเองนั้นเป็นเด็กที่บ้านมีฐานะค่อนข้างดี แต่ที่บ้านค่อนข้างจะเข้มเนื่องจากคุณแม่ทำงานสายการศึกษาทำให้ตัวผมเองนั้นไม่ได้สังคมกับเพื่อนมากนักเท่าไร มีคนไปรับไปส่งโรงเรียนทุกวัน หลังเลิกเรียนหรือ เสาร์ อาทิตย์ จะออกไปนอกบ้านเพื่อจะไปเที่ยวกับเพื่อนก็ไม่ได้ และคุณพ่อของผมเองนั้นก็เป็นคนที่ค่อนข้างกว้างขวางในจังหวัด (ผมอยู่จังหวัดเดียวกับคุณ "ตุ๊ดเวียงพิงค์" เลยครับ) ทำให้ตัวผมเองนั้นถูกเรียกว่าลูกนกในกรงทองเลยก็ว่าได้ครับ เคยมีครั้งหนึ่งที่แอบที่บ้าน โดยที่เขาไปส่งไปเรียนพิเศษ แต่แอบหนีไปเล่นเกมกับเพื่อน ไม่รู้ยังไงคุณแม่ตามมาลากกลับบ้านจากร้านเกมเลยครับ (สมัย ม.ต้นนะครับ) ดังนั้นหากบอกว่าผมเป็นเด็กเก็บกดไหม บอกได้เลยครับว่าใช่ มีแฟนจะไปเที่ยวกับแฟนยังไม่ได้ จนสุดท้ายต้องเลิกกันเพราะแฟนให้เหตุผลว่าแม่ผมดุเกินไป (อะไรกันเนี่ย)

ด้วยความเก็บกดนี้ผมจึงเอามาลงกับการเรียนครับ (ไม่ได้เรียนเก่งอะไรนะครับ เกรด ม.ปลายก็ 2.65 เองครับ แต่ว่า โรงเรียนของผมนั้นเป็นโรงเรียนชายล้วนที่ดังที่สุดในเชียงใหม่สมัยนั้น (ป.1-ม.3 เป็นชายล้วน ส่วน ม.4-ม.6 เป็น สห แต่ตอนนี้เขาเป็นสหตั้งแต่ ป.1 แล้วครับ) ผมตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่ายังไงก็ตามในการ Entrance เข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผมจะต้องไปอยู่ที่ กทม ให้ได้ครับ ตอน ม.6 ผมจึงตั้งใจอ่านหนังสือและเรียนอย่างบ้าคลั่งจนในที่สุดก็สมปรารถนาครับ ผม Ent ติดที่ มหาลัยรัฐมีชื่ออันดับ 1-5 ของประเทศครับ ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าดีใจสุดๆ เพราะว่าเราจะได้หลุดจากกรงนี้สักที (ไม่ได้ดีใจเพราะ Ent ติดเลยครับ 5555)

เริ่มต้นด้วยความที่เพื่อนๆ ผมนั้นส่วนมากไม่มีใคร Ent เข้า กทม กันเลย ส่วนมากจะอยู่แต่ที่เดิมกันทั้งนั้นทำให้ผมคิดว่าไป กทม นี้เนี่ยตัวคนเดียวแน่ๆ ผมเลยทำการเริ่มหาเพื่อนจากเว็บครับ โดยสมัยนั้น Mthai-Sticker กับ Jorjae มาแรงก็ใช้หาเพื่อนสักหน่อย แถม Postjung ยังมีที่ให้แลก MSN ผมก็แลกยาวเลยครับ ก็ได้เพื่อนใหม่ที่ กทม หลายคน คุยกันไว้หลายคน เริ่มแลกเบอร์ไว้คุยกัน เตรียมการไว้ก่อนเข้า กทม ครับ พอถึงวันเข้า กทม จริงๆ เพื่อจะต้องไปรายงานตัวแล้ว บอกได้เลยครับว่าสุขสุดๆ จริงๆ ในตอนต้นคุณแม่ผมไม่เห็นด้วย จะให้ผมสละสิทธิ์แล้วเรียนที่ ม.เอกชนในเชียงใหม่แทน แต่ได้พี่ชาย พี่สาวช่วยพูดไว้ครับ คุณแม่เลยจำเป็นต้องปล่อยผมไป 5555

เข้ามาใน กทม ครั้งแรก (เมื่อก่อนเคยมาเที่ยวนะครับ แต่ครั้งนี้มาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ เลยมันก็เลยต่างกันครับ) ตื่นตาตื่นใจกับสีสันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความรู้สึกอิสระมันช่างเย้ายวนใจมากเสียเหลือเกิน แต่อย่าพึ่งคิดนะครับว่าผมเริ่มเข้าด้านมืดตอนนี้ ยังครับยัง ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด และญาติใน กทม อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัย แล้วเพื่อนที่คุยกันไว้ก่อนหน้านั้นเลือกจะอยู่หอใน ผมก็เลยอยู่ตามด้วยครับ เพราะตอนนั้นไม่กล้าจะอยู่คนเดียว บอกตรงๆ ว่ากลัวครับ กลัว กทม 5555 คุณแม่ คุณพ่อก็ตามมาส่งในวันรายงานตัวครับ รายงานตัวเสร็จรับน้องก็ล่ำลากับคุณพ่อคุณแม่ โดนกำชับว่าต้องโทรหาทุกวัน รายงานทุกวัน อย่าออกไปเที่ยวไหน บลาๆ ฟังไว้ตามนั้นครับ พอคุณพ่อคุณแม่กลับไปแล้ว ก็เริ่มการใช้ชีวิตอิสระดังใจหมายครับ

ในปีแรก นั้น เรียกว่าผมเองก็เป็นคนดังคนหนึ่งครับ เพราะได้รับเลือกให้เป็นเดือนคณะ (คณะผมเป็นคณะที่ผู้ชายน้อยครับ มีผู้ชายทั้งรุ่นประมาณ 100 คน จาก 300 คนทั้งคณะได้) ได้เป็นหรีดของคณะครับ แต่สุดท้ายพอคุณพ่อคุณแม่ทราบเรื่องก็ห้ามครับไม่ให้เป็น เพราะในสายตาคุณแม่การเป็นหรีดในสมัยนั้นเขาจะคิดว่าผู้ชายมักจะไม่ค่อยเป็นผู้ชายครับ (บ้านผมหัวโบราณครับ) ผมก็เออออครับ เพราะบอกตรงๆ ก็ไม่ได้อยากเป็นหรีดเหมือนกัน หลังจากที่มีการรับน้องเสร็จแล้วนั้นรุ่นพี่ผู้ชายจะนำรุ่นน้องผู้ชายไปรวมกลุ่มเพื่อสังสรรค์กันครับ ซึ่งแน่นอนก็จะมีเหล้าให้ดื่ม แต่ด้วยความที่ผมเป็นลูกคุณหนูมานาน เกิดมา 18 ปี (ในตอนนั้น) ไม่เคยดื่นเหล้า พอดื่มไปแก้วเดียวเท่านั้น "แพ้" ครับพื่นขึ้นเต็ม หายใจติดขัด จนรุ่นพี่ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลกันใหญ่ เลยกลายเป็นว่าผมเองนั้นก็เลยไม่กล้ากินเหล้ามาตลอดเลยครับ

ด้วยความที่ผมเป็นเด็กเรียน ดังนั้นจึงเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้มากเท่าไรนัก และเพื่อนที่คุยกันไว้ตั้งแต่อยู่เชียงใหม่นั้นก็ไม่ได้อยู่คณะเดียวกันทำให้ผมกับเพื่อนไม่ค่อยสนิทกันเท่าไรครับ เพราะส่วนใหญ่เพื่อนผู้ชายมักจะพากันไปกินเหล้ากับรุ่นพี่ซึ่งผมเองนั้นกินไม่ได้ เพื่อนๆ เลยไม่ค่อยชวนไปกัน (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่คุยกับเพื่อนเลยนะครับ คุยกันตามปกติ เพียงแต่ว่าก็ไม่สนิทมากเพราะเพื่อนรู้ว่าผมเป็นลูกคุณหนู กินเหล้าไม่ได้ครับ) ทีนี้ก็เหงาครับถึงจะมีแฟน แต่ว่าไม่ค่อยได่เล่นกับเพื่อนผู้ชายเท่าไรมันก็เบื่อเซ็งๆ ครับ เตะบอลเสร็จก็กลับไปอยู่กับแฟน กินข้าวก็ไปกินกะแฟน บางทีอยู่ด้วยกันมากไปก็เบื่อครับ อยากทำกิจกรรมแบบผู้ชายๆ บ้างเช่นเล่นเกม คุยเรื่องผู้หญิง แต่ผมไม่มีโมเม้นท์นั้นเลย

ด้วยความเซ็งผมจึงกลับไปเล่น Postjung อีกครับ คราวนี้ก็คุยกับเพื่อนผู้ชาย โดยผมได้คุยกับพี่คนหนึ่งครับ พี่คนนี้ชื่อ ด ครับ พี่ ด อายุมากกว่าผม 1 ปีครับ อยู่คนละมหาลัยกับผม ผมค่อนข้างจะคุยกับพี่ ด บ่อย เพราะว่าคุยกับพี่ ด แล้วได้ปลดปล่อยอารมณ์ครับ คือมันพูดได้ทุกเรื่องเล่าได้ทุกอย่าง ทำให้ผมสนิทกับพี่ ด ค่อนข้างจะเร็วครับ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันนะครับ แค่คุยกันแล้วก็แลกกล้อง MSN พี่ ด หน้าตาไทยๆ ครับแต่ว่าดูดี พี่ ด ให้คำปรึกษาผมหลายอย่าง ผมคุยกับพี่ ด เรื่อยๆ จนกระทั่งผมจบ ปี 1 พอผมจบ ปี 1 ปุ๊บก็ต้องกลับเชียงใหม่ทันทีครับ แฟนผมเป็นคนไม่เล่น MSN และ ปกติเขาจะต้องช่วยคุณพ่อคุณแม่เขาขายของทุกวันทำให้เราไม่มีเวลาคุยกันมากนัก ผมก็ได้พี่ ด นี่แหละครับชวนคุย

วันนึงคุยกันไปคุยกันมา ดันไปคุยกันว่า ของใครใหญ่กว่ากัน 55555 แน่นอนอยู่แล้วครับไม่มีใครยอมใคร ตอนนั้นก็เลยเปิด กล้อง MSN เลยครับ พี่ ด นั่งอยู่หน้ากล้อง ถอดเสื้อไว้อยู่แล้ว พี่ ด เป็นคนไม่อ้วนครับ หุ่นโอเค แต่ตอนนั้นยังไม่มี Sixpack เราสองคนคุยกันไปมา สุดท้ายเลยจบกันตรงที่ว่า มาดูกันเลยดีกว่าว่าใครใหญ่กว่ากัน แน่นอนครับว่าไอ้ผมเองก็มั่นใจในความใหญ่ของตัวเองครับ เลยถอดซะ ด้วยความรู้สึกแปลกครับ พร้อมกับเปิดหนังไปด้วย อารมณ์มันก็มาครับ พี่ ด ก็เช่นกัน แต่ด้วยความที่สมัยนั้นกล้องยังไม่ชัด ทำให้ มองเห็นไม่ถนัดว่าใครใหญ่กว่ากัน เพราะดูจากกล้องแล้ว ก็ใกล้ๆ กัน ของพี่ ด จะยาวกว่าผม แต่ผมจะใหญ่กว่า คุยกันไปคุยกันมา มือก็ไม่อยู่เปล่าครับ (XXXX) ก็เรียบร้อยไปครับ แล้วก็หัวเราะกัน 5555 ตอนนั้นสรุปกันไม่ได้ครับว่าใครใหญ่กว่ากัน ก็เลยท้ากันไว้ว่าไว้กลับ กทม จะไปวัดกันอีกรอบ

ด้วยความที่มีครั้งแรกแล้ว ก็มีครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ตามมาครับ ซึ่งบอกตรงๆ ครั้งแรกเนี่ยก็เขิลๆ อยู่นิดๆ นะครับ แต่พอครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เนี่ย ความเขิลหายไปเลยครับ 5555+

นั่นแหละครับ การทำอะไรนอกลู่นอกทางครั้งแรกของผม ถามว่ามันดีไหม ตอบเลยว่าไม่ดีครับ ตอนนั้นด้วยความซื่อบื้อสุดๆ และไว้ใจพี่ ด สุดๆ จึงไม่เคยกลัวว่าจะมีการอัดคลิปไว้ ตรงนี้ก็ขอเตือนน้องๆ ไว้นะครับว่าสมัยนี้กับสมัยก่อนนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นสมัยนี้นัน cap หน้าจอ เอาไปปล่อยได้สบายๆ ครับ ใครๆ ก็ทำได้ เพราะฉะนั้นควรระวังไว้นะครับ ไม่ควรที่จะทำอะไรแบบนี้เด็ดขาดไม่ว่าจะกับใครไว้ใจแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็เห็นหลุดกันออกมาให้ควั๊ก อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ นะครับ

ไว้ถึงตรงนี้ก่อนครับ เดี๋ยวจะมาเล่าตอนที่กลับมาเรียน ปี 2 แล้วทำอะไรที่เหลวๆ จากเดิมให้ฟังเพิ่มครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่