เริ่มแรกของการอยากมีลูก และปฎิบัติการทางการแพทย์

กระทู้คำถาม
เริ่มแรกของการอยากมีลูก
  คงจะเป็นความหวังของแทบจะทุกคู่ ที่แต่งงานกันแล้วอยากมีลูกเพื่อมาเติมเต็มชีวิตครอบครัวให้สมบูรณ์ ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว และยังไม่มีลูก จะต้องคอยตอบคำถามคนที่รู้จักและไม่รู้จักว่า  ทำไมยังไม่มี มีปัญหาอะไรหรือเปล่า แฟนเป็นหมันหรือเปล่า  พี่น้องคนอื่นแซงหน้าไปหมดแล้ว  หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าจะถามแล้วให้เราตอบ (ร้อยแปดพันเก้า)  ส่วนตัวดาเอง หลังจากแต่งงาน ตอนอายุ 26  ก็คุมกำเนิดโดยการกินยา  ประมาณเกือบ 3 ปี เพราะตอนนั้นคิดว่ายังไม่พร้อม ชีวิตยังไม่ลงตัว เพิ่งจะปล่อยให้มีได้สัก 5 ปีแล้ว  ด้วยการเลิกกินยาคุม ปรับสภาพร่างกายตัวเอง กินอาหารดีๆ ออกกำลังกายบ้าง  โดยคิดว่าตอนนั้นแข็งแรงที่สุดแล้ว  ก็เริ่มปล่อยให้มีน้อง ไม่ได้ไปหาหมอ ใช้วิธีธรรมชาติเพราะคิดว่าจะติดในไม่ช้า  แต่แล้วจนรอดก็ยังไม่ท้อง  แรกๆเวลาที่มีคนถาม ก็ตอบว่า ปล่อยแล้วแต่ยังไม่ท้อง คงยังไม่ถึงเวลา ช่วงนี้งานยุ่ง  มีหลานเยอะแล้ว  ไม่รู้แฟนเป็นหมันหรือเปล่า (ตอนนั้นคิดว่าตัวเองแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ ตรวจสุขภาพทุกปี อาจจะน้ำหนักมากไปนิด บางช่วงจังหวะ 555  ทั้งที่จริงแฟนแข็งแรงกว่าเราเยอะ  ออกกำลังกายแทบทุกวัน ชอบเตะฟุตซอล เข้ายิม รักษาหุ่น )  เริ่มมาคิดได้ก็เข้าเลข 3 ส่วนตอนนั้นแฟนก้อ 34  ปี  ครอบครัวดา มี 4 คนพี่น้อง พี่ชาย ลูก 1 น้องชาย ลูก 2 น้องสาว ลูก 4   ส่วนครอบครัวของแฟน พี่ชาย พี่สาว  ลูกๆ หลานๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว    เอาแล้วซิ ที่นี่คิดหนักแล้ว  มีเราคนเดียวยังไม่มีลูก แถมแม่ และพี่ชาย พี่สาวแฟน ก็บอกว่า ปล่อยให้มีสักคนซิจะได้อุ่นใจ  (หนูอยากบอกว่าก็อยากมีแต่มันไม่มาอ่ะ)  เคยคุยกันกับสามีว่า ถ้าเราอยู่กันแบบไม่มีลูกจะโกรธดาไหม เค้าบอกว่า ก็อยู่กันอย่างนี้แหละ  คนอื่นที่ไม่มีเค้าก็อยู่กันได้  ถ้าคิดว่ามีลูกแล้วจะไม่เลิกกัน คิดผิด  เพราะถึงมีลูกก็เลิกกันได้ ไม่มีก็เลิกได้  อย่าเอาลูกมาเป็นตัวประกัน   ให้กำลังใจดีมาก 555  



ตอน 1 : ปฎิบัติการหาข้อมูล

     ด้วยความที่ส่วนตัวจะทำอะไรต้องหาข้อมูลประกอบให้เยอะที่สุด สอบถามให้เยอะที่สุด อ่านให้มากที่สุด เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการมีลูก  
หลังจากที่อ่านข้อมูลจากคุณหมอท่านต่างๆ ที่เขียนไว้ แล้วสืบค้นเจอในเน็ต ทำให้ทราบว่า ภาวะมีบุตรยาก  หมายถึง  การที่คู่สมรสไม่สามารถมีบุตรได้  ทั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย  1  ปี ภาวะนี้พบได้ประมาณ  15% ของคู่สมรส  หรือ  15 คู่ ใน 100  คู่สมรสที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่  จะเห็นว่ามีคู่สมรสจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถมีบุตรได้ตามธรรมชาติ  และจำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการช่วยให้ตั้งครรภ์  

สรุปว่าถ้างั้นฉันอยู่ในกลุ่มนี้แล้วซินะ  เมื่อเป็นดังนั้น ก็เริ่มที่จะทำตามขั้นตอนที่อ่านเจอจากพี่ๆ น้องๆ  และข้อมูลวิชาการต่างๆ จากพี่สะใภ้
ญาติๆ และในเน็ตนี่แหละ ทั้งการนับวันไข่ตก ซื้อชุดตรวจวันไข่ตก  ฯลฯ  (ปกติก็ไม่ค่อยได้นับ ไม่ลงทุน  ประมาณว่าแล้วแต่ สถานการณ์จะสะดวก หรือแล้วแต่งานมาก งานน้อย  อาทิตย์ประมาณ 2-3 วัน  ขอโทษนะค่ะ ติดเรทติดหน่อย)  จะมาจริงๆ จังๆ ก็ตอนหลังนี่และ  น้อง ปจด. มาตรงทุกเดือน ของดา  ปจด.อยู่ในช่วงแต่ละรอบประมาณ 30-31 วัน  มา 4-5 วัน หรือ 3-4 วัน  ไม่มีอาการปวดท้องประจำเดือนแต่อย่างนั้น  นั้นก็ทำให้นับวันไข่ตกไว้ง่ายขึ้น  สุดท้ายก็ไม่ติด...



ตอนที่ 2 :  ตรวจมะเร็งบน – ล่าง ปลอดภัย
         มีช่วงนึง ที่ต้องไปทำการตรวจภายในเพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูก และเต้านม ไปหาหมอสูติ รพ.ชื่อดังแห่งหนึ่งแถวสีลม โดยใช้สิทธิ์รักษาของพนักงานบริษัท ไปหาที่นี่มา 2 ครั้ง  ครั้งแรกตรวจมะเร็งปากมดลูก และเต้านม  ผลปกติ    ครั้งที่ 2 ที่ไป เพราะอยากรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก หรือรังไข่หรือเปล่า  ก็เลยทำการอัลตร้าซาวน์ช่องท้องส่วนล่าง และแมมโมเกรมตรวจมะเร็งเต้านม    ในส่วนของตรวจมะเร็งเต้านม ผลปกติ    ส่วนการตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยมือหมอ  คลำๆ ดูแล้ว หมอบอกปกติ ไม่มีปัญหาอะไร  ผลอัตราซาวน์ก็ปกติ  สรุปว่าตอนนั้น ปกติหมด  ปี 2555



ตอนที่ 3 :  10 ก.พ. 2556  หาหมอครั้งแรก แผนกมีบุตรยาก รพ.จุฬา เริ่มงงๆ กับปัญหาภายในตัวเอง
       หลังจากลองด้วยวิธีธรรมชาติมาหลายปี และตรวจสุขภาพภายใน ผลปกติ ส่วนสามี ตรวจเอดส์ และสุขภาพโดยรวมปกติ  
(ยังไม่เคยตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร)   สุดท้ายก็เลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไม่ติดแล้ว ถ้างั้นคงต้องไปหาหมอเพื่อจะได้รู้คำตอบว่าใครกันแน่ที่มีปัญหา
(เดาไว้ก่อนว่าเป็นสามีที่อาจจะเชื้อน้อยหรือเป็นหมัน)  เดือน ก.พ. 2556 เป็นครั้งแรกที่โทรนัดแผนกมีบุตรยาก เป็นคลีนิคนอกเวลา เสาร์ – อาทิตย์  รพ.จุฬา  ได้นัดกับคุณหมอชื่อดัง ที่มี พี่ๆ น้องๆ ในเน็ต เค้าแนะนำว่ารักษาดี ทำให้มีลูก  เอาแล้วโชคดีได้เจอกับหมอแล้ว  จากบ้าน บางกะปิ ไป รพ.จุฬา ไปไม่ลำบากเพราะจากหน้าบ้านมีรถเมล์ถึงพอดี ต่อเดียว  ก่อนไปก็โทรนัดเรียบร้อยแล้ว  ทางแผนกบอกว่า ถ้ายังไม่ได้ทำบัตรก็ให้ไปทำบัตรก่อนชั้นล่าง ตึกผู้ป่วยนอก  เสียค่าทำบัตรไปคนละ 30 บาท แล้วก็ขึ้นไปขึ้นชั้น 13  จำได้ว่าไปครั้งแรกก็ชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดความดัน แล้วก็นั่งรอคุณหมอ คนไข้คนหมอถือว่าเยอะมาก คิดในใจ สงสัยรักษาดี มีแต่คนอยากเข้ารักษา ก็นั่งคอยคุณหมอไปเรื่อยๆ จนถึงคิว ตอนนั้นได้คิวประมาณ ไม่เกิน คนที่ 5 เพราะรีบไปแต่เช้า พอพยาบาลเรียกเข้าไปพบทั้ง ตัวดา และสามี  คุณหมอชื่อดังท่านนี้ อายุเยอะแล้ว ดูภูมิฐาน น่านับถือ  ถามคำถามว่า แต่งงานมากี่ปี ก่อนหน้านี้กินยาคุมหรือคุมด้วยวิธีไหน ปล่อยมากี่ปี มีเพศสัมพันธ์อาทิตย์ละกี่วัน  ประจำเดือนมากี่วัน ครั้งสุดท้ายมาวันไหน ฯลฯ  (อยากบอกว่าคุณหมอท่านนี้ พูดเร็วมาก เบามาก เหมือนจะให้รีบๆ เสร็จๆ แล้วจะได้ให้คนไข้ใหม่เข้ามา  โคตรประทับใจเลยค่ะ นี่หรือที่ใครๆ อยากมาพบ)  หลังจากตอบคำถามหมอแล้ว คุณหมอก็บอกว่าให้สามีออกไปรอข้างนอกก่อน ส่วนดา ก็ให้ขึ้นไปรอตรวจภายใน คุณหมอมาล้วงๆ กดๆ หน้าท้อง ถามว่าเจ็บไหม บอกว่าเจ็บ คุณหมอไม่ได้ใช้เครื่องมืออะไรเลย ให้มือหมอนี่แหละ  หลังจากนั้นก็เรียกสามีให้เข้ามา คุณหมอบอกว่า ของ ดา เหยื่อบุผนังมดลูกอักเสบ (อ้าว แล้วที่ตรวจปีก่อน แล้วหมออีกท่านบอกปกติ แถมอัลตร้าซาวน์ ผลก็ปกติ สรุปว่า มดลูกเราอักเสบ หรือไม่อักเสบ)  คุณหมอก็บอกว่า เดี๋ยวให้สามีไปตรวจน้ำเชื้อที่นวบุตร ดูว่าเชื้อแข็งแรงหรือเปล่า ถ้าตรวจที่นี่มันช้า เลยจะส่งไปให้ตรวจที่นวบุตร  ส่วน ของดา หมอบอกว่า ฟังนะ ผมจะพูดครั้งเดียว  (พูดเร็ว สงสัยเวลาเป็นเงินเป็นทองจริงๆ ) ให้ลองกินยากระตุ้นไข่ตกก่อน อธิบายว่าต้อง XXX วันไหน ถึงจะทำให้มีโอกาส ให้เบอร์มือถือมาเสร็จสรรพแล้วบอกว่าถ้าประจำเดือนมาแล้วค่อยโทรไปนัดคุณหมอ เอาผลมาให้ดู (อยากบอกว่าแทบอยากจะอัดเทปเสียงคุณหมอจังเลย พูดเร็วมาก ฟังแทบไม่ทัน)  ก็ลาคุณหมอ เพื่อจะพาคุณสามีไปตรวจน้ำเชื้อที่นวบุตร  ใช้เวลาตรวจไม่นานค่ะ ไม่เจ็บตัว แล้วทางเจ้าหน้าที่ก็จะส่งผลมาให้ หรือว่าให้มารับเอง  ของดาเลือกให้แฟ็กซ์มาที่บริษัทค่ะ  

สรุปค่าใช้จ่าย  
ของดา    580      ( ยา 160  ค่าบริการทางการพยาบาล 120 ค่าธรรมเนียม 300)  
สามี    800      (ค่าบริการ 100 + ค่าตรวจเชื้ออสุจิ 700)



ตอนที่ 4 :  มี.ค. 2556  หาหมอครั้งที่ 2 แผนกมีบุตรยาก รพ.จุฬา
        กลับมาหาคุณหมอพร้อมผลจากนวบุตร (รอบนี้สามีไม่ต้องมา) คุณหมออ่านผลแล้ว บอกว่า เชื้อสามีแข็งแรง สมบูรณ์มาก  ถ้าไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น ไม่เกิน 3 เดือนท้องแล้ว (สรุปที่คิดว่าสามีเชื้อน้อย เป็นหมันผิดถนัด สรุปว่าเราเองที่มีปัญหา) คุณหมอก็เลยถามว่า จะให้ลองกินยาอีกครั้ง ถ้าไม่ติดก็ให้พิจารณาผ่าตัดส่องกล้อง เพื่อตรวจหรือรักษาอาการมดลูกอักเสบ  ก็บอกคุณหมอไปว่า ขอลองกินยาก่อน รอบนี้คุณหมอเลยให้ยากระตุ้นไข่ตกเหมือนเดิม และให้ยา (จำไม่ได้แล้ว ว่าชื่ออะไร) คุณหมอบอกว่าให้เอายานี้ซึ่งต้องแช่เย็นหรือให้มีความเย็นตลอดเวลา ไปที่คลินิคใกล้บ้าน ที่เข้าที่สะโพก ไม่เกิน 10 โมงเช้า  และนับวันให้อีกที  (พูดเร็วเหมือนเดิม)  ก่อนมาไปตรวจอัลตร้าซาวน์ดูฟองไข่ ชั้น 8 เอาผลขึ้นมาให้ดู  พูดอย่างเดียว เราก็ฟังอย่างเดียว ถ้าพูดแทรกหมอ แล้วเดี๋ยวคุณหมอจะไม่พอใจ   พอเย็นนั้นกลับบ้านเอาผลที่คุณหมอบอกมาเล่าให้สามีฟัง เค้าดีใจ บอกว่า เห็นไหมเค้าแข็งแรงไม่เป็นหมัน แถมยังย้อนอีกว่าคนที่ไม่แข็งแรงคือตัวเองต่างหาก เฮ้อ หลงสำคัญตัวผิดมาตั้งนาน!!! แล้วโทรไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ยังบอกเลยว่า คิดอยู่มาลูกเขยไม่เป็นหมันแน่ๆ อ้าวซะงั้น

สรุปค่าใช้จ่าย    1,154     (ยา 734  ค่าบริการ 120 ค่าธรรมเนียม 300)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่