"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลายลาสารีบุตรแล้วหรือ?"
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมิได้ลาท่านพระสารีบุตร."
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปลาสารีบุตรเถิด. สารีบุตรเป็นบัณฑิตอนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารี. "
ท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค. ภิกษุเหล่านั้นพากันเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร กล่าวคำปราศรัยกับท่านพระสารีบุตรพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่งอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
"ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไปปัจฉาภูมชนบท."
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า
"ท่านทั้งหลาย กราบทูลลาพระศาสดาแล้วหรือ?... "
พระสารีบุตรกล่าวต่อไป
"ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็กษัตริย์, นักบวช, คฤหบดี, สมณะผู้เป็นบัณฑิตบ้าง เป็นผู้ถามปัญหาต่างๆ ถามท่านว่า
"พระศาสดาของพวกท่านสอนอย่างไร? ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จะตอบอย่างไร? จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคและอธิบายธรรมสมควรแก่ธรรม ด้วยวาทะที่ไม่พึงจะติเตียนได้."
ภิ."ข้าพเจ้าทั้งหลาย มาแม้แต่ที่ไกล เพื่อจะรู้เนื้อความนั้นในสำนักท่านพระสารีบุตร"
ส. ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังให้ดี
"ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ศาสดาของท่าน ตรัสสอนอย่างไร? ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทั้งหลายตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะ."
"เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้แล้ว พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่าน ตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในสิ่งอะไร.
ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"พระศาสดาตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ."
"เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้แล้ว พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่านทรงเห็นโทษอะไร จึงสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ? ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"บุคคลมีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ยังมีอยู่นั้น ความทุกข์ โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป พระศาสดาของเราจึงสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ"
"แม้เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้ พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่าน ทรงเห็นอานิสงส์อะไร? จึงตรัสสอนให้กำจัดให้ฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า"
"เมื่อบุคคลปราศจากความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณแล้ว ความทุกข์ โทมนัสย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป.พระศาสดาของเราจึงตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ"
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
"ก็เมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ จักได้มีการอยู่สบาย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังสุคติไซร้ พระผู้มีพระภาคก็จะไม่พึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย."
"ก็เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมมีการอยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเดือดร้อน ในปัจจุบัน และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย."
พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะไปสู่ปัจฉาภูมชนบท"
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลายลาสารีบุตรแล้วหรือ?"
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมิได้ลาท่านพระสารีบุตร."
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปลาสารีบุตรเถิด. สารีบุตรเป็นบัณฑิตอนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารี. "
ท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค. ภิกษุเหล่านั้นพากันเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร กล่าวคำปราศรัยกับท่านพระสารีบุตรพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่งอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
"ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไปปัจฉาภูมชนบท."
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า
"ท่านทั้งหลาย กราบทูลลาพระศาสดาแล้วหรือ?... "
พระสารีบุตรกล่าวต่อไป
"ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็กษัตริย์, นักบวช, คฤหบดี, สมณะผู้เป็นบัณฑิตบ้าง เป็นผู้ถามปัญหาต่างๆ ถามท่านว่า
"พระศาสดาของพวกท่านสอนอย่างไร? ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จะตอบอย่างไร? จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคและอธิบายธรรมสมควรแก่ธรรม ด้วยวาทะที่ไม่พึงจะติเตียนได้."
ภิ."ข้าพเจ้าทั้งหลาย มาแม้แต่ที่ไกล เพื่อจะรู้เนื้อความนั้นในสำนักท่านพระสารีบุตร"
ส. ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังให้ดี
"ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ศาสดาของท่าน ตรัสสอนอย่างไร? ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้แล้ว พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่าน ตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในสิ่งอะไร.
ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้แล้ว พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่านทรงเห็นโทษอะไร จึงสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ? ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า"
"แม้เมื่อท่านทั้งหลายตอบอย่างนี้ พึงถูกถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็พระศาสดาของท่าน ทรงเห็นอานิสงส์อะไร? จึงตรัสสอนให้กำจัดให้ฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า"
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
"ก็เมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ จักได้มีการอยู่สบาย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังสุคติไซร้ พระผู้มีพระภาคก็จะไม่พึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย."
"ก็เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมมีการอยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเดือดร้อน ในปัจจุบัน และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย."
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
"แต่เมื่อบุคคลเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ จักได้มีการอยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติไซร้ พระผู้มีพระภาค ก็จะไม่พึงทรงสรรเสริญ การเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย.
"ก็เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ มีการอยู่สบาย ไม่มีความลำบากไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้สุคติ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงทรงสรรเสริญ การเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย."
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร ฉะนี้แล.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค