สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
อยากจะบอกว่า พื้นฐานคนไทยสมัยก่อน อยู่ไปวันๆ ชิลๆ ด้วยซ้ำครับ
ไล่มาตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง ทหาร พวกนี้เสพสุขไปวันๆ มากกว่าที่จะคิดพัฒนาอะไร เพราะคิดแค่ว่า สิ่งที่มีมันดีอยู่แล้ว (ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นการค้นพบอะไรใหม่ๆ เลย)
พวกชนชั้นปกครอง ก็เสวยสุขกับอำนาจ พอผลประโยชน์ไม่ลงตัวที ก็ลุกขึ้นมาฆ่ากันที นานๆ ถึงจะมีผู้ที่ลุกขึ้นมาพัฒนาประเทศบ้าง แต่ส่วนใหญ่อยากได้อำนาจเพราะอยากเสวยสุขซะมากกว่า (เคยมีมั้ย กษัตริย์พระองค์ไหนที่ลุกขึ้นมาปฏิรูประบบ รื้อระบบใหม่ จัดตั้งกระทรวง ทบวงกรม ต่างๆ เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาในทุกด้าน...ก็ไม่ค่อยมี ยกเว้นครั้งแรกที่จัดตั้งระบบจตุสดมภ์ขึ้นมา ซึ่งก็ใช้กันมาจนกรุงแตก แถมเป็นระบบที่มีจุดอ่อนอีกต่างหาก....อันนี้ว่ากันเฉพาะสมัยกรุงศรีฯนะครับ)
พวกชาวบ้านก็อยู่ไปเรื่อยๆ ยิงนกตกปลาหากินไปวันๆ เพราะคิดแค่ว่าเราเป็นแค่ชาวบ้าน จะไปคิดการอะไรใหญ่โตให้เปลืองสมอง (เคยมีมั้ย เช่น นายอ่ำ ชาวบ้านโคก ประดิษฐ์เครื่องร่อน และทดสอบจนสามารถใช้งานได้ ข่าวนี้แพร่หลายไปทั่วพระนคร นายอ่ำ ได้รับอวยยศเป็นขุนอ่ำ ไม่มี๊)
พวกทาสยิ่งแล้วใหญ่....พวกนี้แม้จะเป็นคนเหมือนกัน สมองดี ร่างกายแข็งแรงดีเหมือนนายเงิน แต่ก็เหมือนคอยรับคำสั่งไปวันๆ ซะมากกว่า ความคิดของตัวเองน่าจะไม่มีด้วย ครั้นจะให้ลุกขึ้นมาพัฒนาอะไรก็อย่าหวังจะดีกว่า
ในทางทหารก็ไม่ได้มีการคิดค้นรูปแบบการรบใหม่ๆ หรืออาวุธใหม่ๆ (คอยซื้อแต่อาวุธล้าหลังที่ฝรั่งมันเอามาหลอกขาย) เพื่อรับมือยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่อย่างใดก็ยึดติดกับตำราพิชัยสงครามสมัยโบราณอยู่เช่นเดิม และแม่ทัพนายกองที่เก่งๆ ก็ไม่ค่อยมีด้วยซ้ำ เท่าที่มีก็นับตัวได้ไม่กี่คน
สรุปคือรูปแบบของแนวคิดและสังคมในยุคกรุงศรีไม่เอื้อกับการเป็นมหาอำนาจเลยครับ(แม้กระทั่งในยุคหลัง - ปัจจุบัน) ยกเว้นเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้ารอดมาจนถึงปัจจุบัน จะสู้แนวคิดทุนนิยมของสมัยนี้ได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ
ไล่มาตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง ทหาร พวกนี้เสพสุขไปวันๆ มากกว่าที่จะคิดพัฒนาอะไร เพราะคิดแค่ว่า สิ่งที่มีมันดีอยู่แล้ว (ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นการค้นพบอะไรใหม่ๆ เลย)
พวกชนชั้นปกครอง ก็เสวยสุขกับอำนาจ พอผลประโยชน์ไม่ลงตัวที ก็ลุกขึ้นมาฆ่ากันที นานๆ ถึงจะมีผู้ที่ลุกขึ้นมาพัฒนาประเทศบ้าง แต่ส่วนใหญ่อยากได้อำนาจเพราะอยากเสวยสุขซะมากกว่า (เคยมีมั้ย กษัตริย์พระองค์ไหนที่ลุกขึ้นมาปฏิรูประบบ รื้อระบบใหม่ จัดตั้งกระทรวง ทบวงกรม ต่างๆ เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาในทุกด้าน...ก็ไม่ค่อยมี ยกเว้นครั้งแรกที่จัดตั้งระบบจตุสดมภ์ขึ้นมา ซึ่งก็ใช้กันมาจนกรุงแตก แถมเป็นระบบที่มีจุดอ่อนอีกต่างหาก....อันนี้ว่ากันเฉพาะสมัยกรุงศรีฯนะครับ)
พวกชาวบ้านก็อยู่ไปเรื่อยๆ ยิงนกตกปลาหากินไปวันๆ เพราะคิดแค่ว่าเราเป็นแค่ชาวบ้าน จะไปคิดการอะไรใหญ่โตให้เปลืองสมอง (เคยมีมั้ย เช่น นายอ่ำ ชาวบ้านโคก ประดิษฐ์เครื่องร่อน และทดสอบจนสามารถใช้งานได้ ข่าวนี้แพร่หลายไปทั่วพระนคร นายอ่ำ ได้รับอวยยศเป็นขุนอ่ำ ไม่มี๊)
พวกทาสยิ่งแล้วใหญ่....พวกนี้แม้จะเป็นคนเหมือนกัน สมองดี ร่างกายแข็งแรงดีเหมือนนายเงิน แต่ก็เหมือนคอยรับคำสั่งไปวันๆ ซะมากกว่า ความคิดของตัวเองน่าจะไม่มีด้วย ครั้นจะให้ลุกขึ้นมาพัฒนาอะไรก็อย่าหวังจะดีกว่า
ในทางทหารก็ไม่ได้มีการคิดค้นรูปแบบการรบใหม่ๆ หรืออาวุธใหม่ๆ (คอยซื้อแต่อาวุธล้าหลังที่ฝรั่งมันเอามาหลอกขาย) เพื่อรับมือยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่อย่างใดก็ยึดติดกับตำราพิชัยสงครามสมัยโบราณอยู่เช่นเดิม และแม่ทัพนายกองที่เก่งๆ ก็ไม่ค่อยมีด้วยซ้ำ เท่าที่มีก็นับตัวได้ไม่กี่คน
สรุปคือรูปแบบของแนวคิดและสังคมในยุคกรุงศรีไม่เอื้อกับการเป็นมหาอำนาจเลยครับ(แม้กระทั่งในยุคหลัง - ปัจจุบัน) ยกเว้นเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้ารอดมาจนถึงปัจจุบัน จะสู้แนวคิดทุนนิยมของสมัยนี้ได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ
แสดงความคิดเห็น
ถ้าตอนนี้กรุงศรีอยุธยายังไม่แตก ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจเหนือจีนเหนืออเมริกาหรือเปล่าครับ