เรื่องย่อ
เริ่มต้นด้วยข้อความจากในหนังสือพันธะสัญญาเก่าว่าด้วยเรื่องราวของโยบที่ว่า “เมื่อเราวางรากฐานของโลก ท่านอยู่ ณ ที่ใด เมื่อดาวประกายพรึกแซ่ซ้องสรรเสริญ และบุตรแห่งพระเจ้าโห่ร้องด้วยความยินดี” เป็นดั่งการปูพื้นทางความคิดว่า สิ่งที่เราจะได้เห็นหลังจากนี้ไป เป็นเรื่องราวที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ จะว่าไปแล้วเราก็พอรู้เรื่องราวของโยบที่ว่า เขาเป็นคนร่ำรวยในอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว และถูกทดสอบความจงรักภักดีต่อพระเจ้า และเขาก็เลือกที่จะไม่สาปแช่งพระองค์ และยังยินดีและพร้อมจะรับบททดสอบที่เขากำลังประสบพบเจอ โดยคิดเพียงว่า เมื่อเขาเกิดมาก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาจากท้องแม่ และเมื่อเขาจะจากโลกนี้ไปเขาเอง ไม่สามารถจะนำอะไรไปได้เช่นกัน นั่นหมายถึงว่าเขาเลือกที่จะไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆที่เขาเป็นเจ้าของ ภาพเหตุการณ์ต่างๆถูกคั่นด้วยภาพพลังงานบางอย่างที่ก่อตัวอยู่กลางจอ ชวนให้นึกความคล้ายคลึงกับประตู

หลังจากนั้นเราก็ได้รู้จักเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในช่วงปี 1950s อันประกอบด้วยสมาชิกได้แก่ คุณและคุณนายโอเบรียน และลูกชายทั้งสามคน เรารู้จักเพียงชื่อของลูกชายคนโต นั่นคือ แจ๊ค และหนังก็ตัดภาพสลับไปเมื่อแจ๊คเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ ที่ยึดอาชีพเป็นสถาปนิกอยู่กลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าแทนที่หมู่มวลพฤกษาที่ผู้ชมชินตาในวัยเด็กของแจ๊ค และในขณะเดียวกันนั้นเราก็ได้เป็นประจักษ์พยานของการเกิดและดับของดวงดารามากมาย รวมไปถึงการถือกำเนิดของชีวิตตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์ ไปจนถึงสปีชีส์ที่ยึดครองแผ่นดินในขณะนั้น นั่นคือ ไดโนเสาร์ โดยมีภาพฉากระหว่างไดโนเสาร์ที่กินเนื้อเป็นอาหารกับไดโนเสาร์ที่กินผัก ซึ่งเป็นภาพสะท้อนเช่นเดียวกับสังคมในปัจจุบัน ที่มีมนุษย์อยู่สองจำพวกดังที่คุณนายโอเบรียนได้บอกไว้ว่า เมื่อเราเกิดมา เราก็ต้องเลือกเส้นทางของการดำเนินชีวิตระหว่าง เส้นทางของพระเจ้า อันหมายถึง การยึดมั่นในคุณงามความดี การเกรงกลัวต่อบาป จงรักภักดีในความรักความเมตตา และพึงพอใจในสภาพปัจจุบันของตนเอง กับอีกเส้นทางนั่นคือ เส้นทางแห่งธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง การงดเว้นการกักขังสัญชาตญาณดิบเถื่อนของตนเอง ทำในสิ่งที่ตนเองชอบโดยไร้กฎเกณฑ์ใดๆ ดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ต่อจากนั้น ตัดมาอีกช่วงประมาณ 1960s ลักษณะการตกแต่งบ้านของครอบครัวโอเบรียนได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราพอจะทำนายได้ว่า เขาคงมีการย้ายที่อยู่อาศัย และมีข่าวร้ายส่งมาถึงบ้าน นั่นคือ ลูกชายคนกลางของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ อันส่งผลมาจนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความบาดหมางระหว่าง แจ๊คในวัยกลางคนกับพ่อของเขาเอง เราเห็นฉากที่แจ๊คโทรศัพท์ไปสะสางเรื่องราวในอดีตกับพ่อของเขาระหว่างทางที่กำลังโดยสารบนลิฟท์ (ซึ่งก่อนหน้านี้เราพอจะสังเกตหน้าตาเขาว่ามีสิ่งตกข้างในใจพอสมควร)

หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ราวกับว่าแจ๊คได้พบกับสภาวะอารมณ์ที่ใฝ่หามานานนี้แล้ว เมื่อแจ๊คเดินผ่านประตูที่ถูกตั้งไว้ท่ามกลางความแห้งแล้งของทะเลทราย ไม่นานนักเขาก็ปรากฎตัวที่ภูมิประเทศอันแตกต่างจากทะเลทรายโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ทะเล ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้พบกันอีกครั้งในดินแดนของจินตนาการ แม่ของเขายินดีที่จะเสียสละลูกชายให้กับพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับโยบ

สัญญะหรือโมทิฟที่ปรากฎในภาพยนตร์
คุณนายโอเบรียน เป็นตัวแทนของคนที่ยึดถือเชื่อมั่นในเส้นทางของพระเจ้า กล่าวคือ เกรงกลัวต่อบาปและศรัทธาในคุณงามความดี (ถูกเน้นย้ำด้วยฉากที่เธอลอยได้ใต้ต้นไม้ หมายถึงเธอถุกโอบอุ้มโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า) บทบาทการเลี้ยงดูลูกของเธอไม่ชัดเจนในช่วงวัยที่พวกเขาเป็นเด็กโต และบทบาททั้งหมดตกเป็นหน้าที่ของพ่อเขา (คนกลุ่มนี้เปรียบเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินพืชในโลกยุคดึกดำบรรพ์)

คุณโอเบรียน เป็นตัวแทนของคนที่เลือกเดินในเส้นทางของธรรมชาติ เราสังเกตจากบุคคลิกที่เถรตรง ไม่ประนีประนอม ระเบิดอามรณ์ได้ง่ายๆ ไม่พึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง ไม่เชื่อมั่นในพระเจ้ามากนัก และมองว่าคนรำ่รวยคือพระเจ้า (สังเกตจากฉากที่เขาชื่นชมเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์) มีความทะเยอทะยานอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าโลกนี้มีแต่ความโหดร้ายและคนโกง ขาดหวังให้ลูกๆ แข็งแกร่ง ไม่ตกเป็นลูกน้องของใคร ในทางกลับกันอยากให้เป็นนายของตนเอง ด้วยนิสัยของเขาจึงทำให้ลูกๆ ไม่รู้สึกไม่เป็นอิสระและพัฒนาไปเป็นความเกลียดชังในพ่อของตนเอง ถึงแม้ว่าเขาจะเล่นดนตรี แต่ก็เล่นตามระเบียบ เขามักจะพูดถึงดนตรีของนักดนตรีระดับโลกที่เขาชอบฟัง ซึ่งแสดงถึงความทะเยอทะยาน อยากจะเป็นเช่นเขา (คนกลุ่มนี้เปรียบเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อ)

แจ๊ค เป็นผลผลิตทางความคิดระหว่างการดำเนินตามเส้นทางของพระเจ้ากับธรรมชาติที่ดิบเถื่อน แต่มีความโน้มเอียงไปทางพ่อมากกว่า สังเกตจากบุคลิกที่ซุกซน ห้าว มีความใคร่รู้ทางเพศ (สังเกตจากฉากที่เขาบุกเข้าไปในบ้านของหญิงสาวแล้วค้นเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา แล้วเอาไปลอยน้ำ อันหมายถึง อย่างน้อยเขายังมีความเป็นแม่อยู่ในตัวบ้าง คือทิ้งอารมณ์ร้ายไปตามกระแสน้ำ) หรือทำร้ายรังแกสัตว์ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังพอมีความอ่อนโยนอยู่ในตัว สังเกตจากคำพูดที่ว่า “เขาไม่อยากทำในสิ่งที่เขาทำ เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ แต่เขาได้ทำในสิ่งที่เขาเกลียด” เขายังบอกอีกว่า พ่อแม่ต่อสู้กันอยู่ในอกของเขา และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป หมายถึง เขายังคงย้อนแย้งในตัวเองระหว่างศรัทธาในพระเจ้ากับความรุนแรง
น้องคนที่สอง เช่นเดียวกับแจ๊ค แต่เขามีความเอนเอียงไปทางแม่มากกว่า สังเกตจากบุคคลิกที่เชื่อมั่นในความดี (เชื่อว่าพี่จะไม่กดไฟเพื่อให้เขาถูกไฟดูด หรือยอมเอามือไปอุดปากกระบอกปืน แต่ในครั้งนั้นก็ค่อนข้างสั่นคลอนความเชื่อของเขาพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงยึดมั่นในความดี) มีความอ่อนโยน (สังเกตจากการเล่นดนตรีเขาเล่นกีตาร์ซึ่งไม่ต้องใช้โน้ต แสดงถึงความสบาย ไม่ต้องยึดตามแบบแผนใดๆ) แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเหยื่อของความรุนแรง (ตายในสนามรบ)

ประตู เป็นสัญญะของทางเข้าและทางออกของความยุ่งเหยิงในจิตใจของตัวละคร เราจะสังเกต แสงไฟ (คล้ายประตู) ในช่วงของหนัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันชุดความคิดของตัวละคร เมื่อเรามองตัวเอก แจ๊ค เขามุ่งมั่นที่จะทำงาน ราวกับละทิ้งเลิกเลิกขบคิดปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อ เพราะความจริงแล้ว การจะแก้ไขปัญหาได้คือการ เข้าไปจ้องมองปัญหาและหาทางออก เพราะสังเกตว่า ประตูในตอนท้าย เขาลังเลที่จะก้าวเข้าไป นั่นหมายถึงเขายังไม่กล้าที่จะหาทางออก แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่าง บรรยากาศที่รายล้อมเขาก็กลับตาลปัตร จากภาวะที่วุ่นวายท่ามกลางตึกระฟ้าที่ไม่ได้ช่วยชี้ทางออกให้กับเขา มาสู่การได้พบเจอตนเองในวัยเด็กซึ่งพาเขาไปพบกับครอบครัวพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
หน้ากากดำลอยน้ำในโลกความคิดของแจ๊ค หมายถึง การที่เขาละทิ้งอคติที่มีต่อพ่อของเขา และหันหน้าคุยกัน
บ้านจมน้ำ หมายถึง ภาวะบีบคั้นและหาทางออกไม่ได้ของความแตกร้าวที่เกิดขึ้นในครอบครัวของแจ๊ค และสุดท้ายเขาก็หาทางออกมาได้

บทสรุป
การกลับมาของมาลิคในครั้งนี้เต็มไปด้วยอภิปรัชญาที่ถูกสอดแทรกผ่านสัญญะที่มากมายที่ผู้เขียนไม่อาจตีความได้อย่างหมดจด รวมไปถึงประเด็นทางศาสนาคริสต์ที่ผู้เขียนก็ยังไม่กระจ่าง แต่สิ่งเราพอจะรับรู้ได้บ้างนั่นคือ การยอมรับต่อโชคชะตาที่กำลังเผชิญมา ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสเท่าใด เราก็ไม่จำเป็นต้องไปนเสียใจและตัดพ้อต่อว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราก็ยังมีครอบครัวที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ถึงแม้จะมีเรื่องบาดหมางอันเนื่องมาจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน แต่เราก็สามารถหาทางออกร่วมกันได้ เพราะความจริงแล้วโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีใครที่เถรตรงจนเกินไป ต่างคนต่างก็มีทั้งเส้นทางของความดิบเถื่อนและคุณงามความดีอยู่ในตัวเราเอง เราไม่สามารถจะเลือกศรัทธาในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้อย่าเฉพาะเจาะจง (ในฉากไดโนเสาร์กินเนื้อยังมีความปราณีต่อเพื่อนร่วมโลก) ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมตนเองได้หรือไม่ และเข้าใจแต่ละเส้นทางว่าเป็นเช่นไร
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง:
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review วิจารณ์หนัง: The Tree of Life {Terrence Malick}, 2011
เริ่มต้นด้วยข้อความจากในหนังสือพันธะสัญญาเก่าว่าด้วยเรื่องราวของโยบที่ว่า “เมื่อเราวางรากฐานของโลก ท่านอยู่ ณ ที่ใด เมื่อดาวประกายพรึกแซ่ซ้องสรรเสริญ และบุตรแห่งพระเจ้าโห่ร้องด้วยความยินดี” เป็นดั่งการปูพื้นทางความคิดว่า สิ่งที่เราจะได้เห็นหลังจากนี้ไป เป็นเรื่องราวที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ จะว่าไปแล้วเราก็พอรู้เรื่องราวของโยบที่ว่า เขาเป็นคนร่ำรวยในอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว และถูกทดสอบความจงรักภักดีต่อพระเจ้า และเขาก็เลือกที่จะไม่สาปแช่งพระองค์ และยังยินดีและพร้อมจะรับบททดสอบที่เขากำลังประสบพบเจอ โดยคิดเพียงว่า เมื่อเขาเกิดมาก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาจากท้องแม่ และเมื่อเขาจะจากโลกนี้ไปเขาเอง ไม่สามารถจะนำอะไรไปได้เช่นกัน นั่นหมายถึงว่าเขาเลือกที่จะไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆที่เขาเป็นเจ้าของ ภาพเหตุการณ์ต่างๆถูกคั่นด้วยภาพพลังงานบางอย่างที่ก่อตัวอยู่กลางจอ ชวนให้นึกความคล้ายคลึงกับประตู
หลังจากนั้นเราก็ได้รู้จักเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในช่วงปี 1950s อันประกอบด้วยสมาชิกได้แก่ คุณและคุณนายโอเบรียน และลูกชายทั้งสามคน เรารู้จักเพียงชื่อของลูกชายคนโต นั่นคือ แจ๊ค และหนังก็ตัดภาพสลับไปเมื่อแจ๊คเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ ที่ยึดอาชีพเป็นสถาปนิกอยู่กลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าแทนที่หมู่มวลพฤกษาที่ผู้ชมชินตาในวัยเด็กของแจ๊ค และในขณะเดียวกันนั้นเราก็ได้เป็นประจักษ์พยานของการเกิดและดับของดวงดารามากมาย รวมไปถึงการถือกำเนิดของชีวิตตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์ ไปจนถึงสปีชีส์ที่ยึดครองแผ่นดินในขณะนั้น นั่นคือ ไดโนเสาร์ โดยมีภาพฉากระหว่างไดโนเสาร์ที่กินเนื้อเป็นอาหารกับไดโนเสาร์ที่กินผัก ซึ่งเป็นภาพสะท้อนเช่นเดียวกับสังคมในปัจจุบัน ที่มีมนุษย์อยู่สองจำพวกดังที่คุณนายโอเบรียนได้บอกไว้ว่า เมื่อเราเกิดมา เราก็ต้องเลือกเส้นทางของการดำเนินชีวิตระหว่าง เส้นทางของพระเจ้า อันหมายถึง การยึดมั่นในคุณงามความดี การเกรงกลัวต่อบาป จงรักภักดีในความรักความเมตตา และพึงพอใจในสภาพปัจจุบันของตนเอง กับอีกเส้นทางนั่นคือ เส้นทางแห่งธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง การงดเว้นการกักขังสัญชาตญาณดิบเถื่อนของตนเอง ทำในสิ่งที่ตนเองชอบโดยไร้กฎเกณฑ์ใดๆ ดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ต่อจากนั้น ตัดมาอีกช่วงประมาณ 1960s ลักษณะการตกแต่งบ้านของครอบครัวโอเบรียนได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราพอจะทำนายได้ว่า เขาคงมีการย้ายที่อยู่อาศัย และมีข่าวร้ายส่งมาถึงบ้าน นั่นคือ ลูกชายคนกลางของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ อันส่งผลมาจนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความบาดหมางระหว่าง แจ๊คในวัยกลางคนกับพ่อของเขาเอง เราเห็นฉากที่แจ๊คโทรศัพท์ไปสะสางเรื่องราวในอดีตกับพ่อของเขาระหว่างทางที่กำลังโดยสารบนลิฟท์ (ซึ่งก่อนหน้านี้เราพอจะสังเกตหน้าตาเขาว่ามีสิ่งตกข้างในใจพอสมควร)
หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ราวกับว่าแจ๊คได้พบกับสภาวะอารมณ์ที่ใฝ่หามานานนี้แล้ว เมื่อแจ๊คเดินผ่านประตูที่ถูกตั้งไว้ท่ามกลางความแห้งแล้งของทะเลทราย ไม่นานนักเขาก็ปรากฎตัวที่ภูมิประเทศอันแตกต่างจากทะเลทรายโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ทะเล ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้พบกันอีกครั้งในดินแดนของจินตนาการ แม่ของเขายินดีที่จะเสียสละลูกชายให้กับพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับโยบ
สัญญะหรือโมทิฟที่ปรากฎในภาพยนตร์
คุณนายโอเบรียน เป็นตัวแทนของคนที่ยึดถือเชื่อมั่นในเส้นทางของพระเจ้า กล่าวคือ เกรงกลัวต่อบาปและศรัทธาในคุณงามความดี (ถูกเน้นย้ำด้วยฉากที่เธอลอยได้ใต้ต้นไม้ หมายถึงเธอถุกโอบอุ้มโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า) บทบาทการเลี้ยงดูลูกของเธอไม่ชัดเจนในช่วงวัยที่พวกเขาเป็นเด็กโต และบทบาททั้งหมดตกเป็นหน้าที่ของพ่อเขา (คนกลุ่มนี้เปรียบเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินพืชในโลกยุคดึกดำบรรพ์)
คุณโอเบรียน เป็นตัวแทนของคนที่เลือกเดินในเส้นทางของธรรมชาติ เราสังเกตจากบุคคลิกที่เถรตรง ไม่ประนีประนอม ระเบิดอามรณ์ได้ง่ายๆ ไม่พึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง ไม่เชื่อมั่นในพระเจ้ามากนัก และมองว่าคนรำ่รวยคือพระเจ้า (สังเกตจากฉากที่เขาชื่นชมเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์) มีความทะเยอทะยานอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าโลกนี้มีแต่ความโหดร้ายและคนโกง ขาดหวังให้ลูกๆ แข็งแกร่ง ไม่ตกเป็นลูกน้องของใคร ในทางกลับกันอยากให้เป็นนายของตนเอง ด้วยนิสัยของเขาจึงทำให้ลูกๆ ไม่รู้สึกไม่เป็นอิสระและพัฒนาไปเป็นความเกลียดชังในพ่อของตนเอง ถึงแม้ว่าเขาจะเล่นดนตรี แต่ก็เล่นตามระเบียบ เขามักจะพูดถึงดนตรีของนักดนตรีระดับโลกที่เขาชอบฟัง ซึ่งแสดงถึงความทะเยอทะยาน อยากจะเป็นเช่นเขา (คนกลุ่มนี้เปรียบเช่นเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อ)
แจ๊ค เป็นผลผลิตทางความคิดระหว่างการดำเนินตามเส้นทางของพระเจ้ากับธรรมชาติที่ดิบเถื่อน แต่มีความโน้มเอียงไปทางพ่อมากกว่า สังเกตจากบุคลิกที่ซุกซน ห้าว มีความใคร่รู้ทางเพศ (สังเกตจากฉากที่เขาบุกเข้าไปในบ้านของหญิงสาวแล้วค้นเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา แล้วเอาไปลอยน้ำ อันหมายถึง อย่างน้อยเขายังมีความเป็นแม่อยู่ในตัวบ้าง คือทิ้งอารมณ์ร้ายไปตามกระแสน้ำ) หรือทำร้ายรังแกสัตว์ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังพอมีความอ่อนโยนอยู่ในตัว สังเกตจากคำพูดที่ว่า “เขาไม่อยากทำในสิ่งที่เขาทำ เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ แต่เขาได้ทำในสิ่งที่เขาเกลียด” เขายังบอกอีกว่า พ่อแม่ต่อสู้กันอยู่ในอกของเขา และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป หมายถึง เขายังคงย้อนแย้งในตัวเองระหว่างศรัทธาในพระเจ้ากับความรุนแรง
น้องคนที่สอง เช่นเดียวกับแจ๊ค แต่เขามีความเอนเอียงไปทางแม่มากกว่า สังเกตจากบุคคลิกที่เชื่อมั่นในความดี (เชื่อว่าพี่จะไม่กดไฟเพื่อให้เขาถูกไฟดูด หรือยอมเอามือไปอุดปากกระบอกปืน แต่ในครั้งนั้นก็ค่อนข้างสั่นคลอนความเชื่อของเขาพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงยึดมั่นในความดี) มีความอ่อนโยน (สังเกตจากการเล่นดนตรีเขาเล่นกีตาร์ซึ่งไม่ต้องใช้โน้ต แสดงถึงความสบาย ไม่ต้องยึดตามแบบแผนใดๆ) แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเหยื่อของความรุนแรง (ตายในสนามรบ)
ประตู เป็นสัญญะของทางเข้าและทางออกของความยุ่งเหยิงในจิตใจของตัวละคร เราจะสังเกต แสงไฟ (คล้ายประตู) ในช่วงของหนัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันชุดความคิดของตัวละคร เมื่อเรามองตัวเอก แจ๊ค เขามุ่งมั่นที่จะทำงาน ราวกับละทิ้งเลิกเลิกขบคิดปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อ เพราะความจริงแล้ว การจะแก้ไขปัญหาได้คือการ เข้าไปจ้องมองปัญหาและหาทางออก เพราะสังเกตว่า ประตูในตอนท้าย เขาลังเลที่จะก้าวเข้าไป นั่นหมายถึงเขายังไม่กล้าที่จะหาทางออก แต่เมื่อเขาก้าวเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่าง บรรยากาศที่รายล้อมเขาก็กลับตาลปัตร จากภาวะที่วุ่นวายท่ามกลางตึกระฟ้าที่ไม่ได้ช่วยชี้ทางออกให้กับเขา มาสู่การได้พบเจอตนเองในวัยเด็กซึ่งพาเขาไปพบกับครอบครัวพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
หน้ากากดำลอยน้ำในโลกความคิดของแจ๊ค หมายถึง การที่เขาละทิ้งอคติที่มีต่อพ่อของเขา และหันหน้าคุยกัน
บ้านจมน้ำ หมายถึง ภาวะบีบคั้นและหาทางออกไม่ได้ของความแตกร้าวที่เกิดขึ้นในครอบครัวของแจ๊ค และสุดท้ายเขาก็หาทางออกมาได้
บทสรุป
การกลับมาของมาลิคในครั้งนี้เต็มไปด้วยอภิปรัชญาที่ถูกสอดแทรกผ่านสัญญะที่มากมายที่ผู้เขียนไม่อาจตีความได้อย่างหมดจด รวมไปถึงประเด็นทางศาสนาคริสต์ที่ผู้เขียนก็ยังไม่กระจ่าง แต่สิ่งเราพอจะรับรู้ได้บ้างนั่นคือ การยอมรับต่อโชคชะตาที่กำลังเผชิญมา ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสเท่าใด เราก็ไม่จำเป็นต้องไปนเสียใจและตัดพ้อต่อว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราก็ยังมีครอบครัวที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ถึงแม้จะมีเรื่องบาดหมางอันเนื่องมาจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน แต่เราก็สามารถหาทางออกร่วมกันได้ เพราะความจริงแล้วโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีใครที่เถรตรงจนเกินไป ต่างคนต่างก็มีทั้งเส้นทางของความดิบเถื่อนและคุณงามความดีอยู่ในตัวเราเอง เราไม่สามารถจะเลือกศรัทธาในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้อย่าเฉพาะเจาะจง (ในฉากไดโนเสาร์กินเนื้อยังมีความปราณีต่อเพื่อนร่วมโลก) ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมตนเองได้หรือไม่ และเข้าใจแต่ละเส้นทางว่าเป็นเช่นไร
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง: https://www.facebook.com/survival.king