เริ่มเรื่องเลยแล้วกันนะครับ......
เมื่อปีที่แล้ว พี่สาวของผมได้ไปซื้อประกันกับ "แบงค์ตรารวงข้าว" ด้วยมั่นใจในการบริการของธนาคารแห่งนี้ ด้วยว่าความจงรักภักดีที่เป็นลูกค้าธนาคารแห่งนี้มานานนม เพราะไม่ว่าจะมีโปรโมชั่นอะไรแบบไหนพี่สาวผมสนองตอบต่อความต้องการ ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนทุกๆกิจกรรมที่ทางธนาคารโทรมาหรือนำเสนอมาให้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งบัตรเครดิต (Platinum) บัตรเดบิตแบบ K-max ที่ต้องเสียค่ารายปีสูงสุดก็สนับสนุนมาตลอด บัตรเดบิตรายใหม่ไม่ว่าจะเป็น โดเรมอน คิตต้งคิตตี้ ทำหมด (ยอมโดนยึดบัตรเสียตังค์ใหม่ก็ทำ) ประกันชีวิตก็จัดให้ เรียกว่าถ้าให้พี่ผมเป็น presenter นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ พี่สาวผมไม่เป็นรองใคร แต่แล้วความเชื่อมั่นทั้งหลายแหล่กับ "แบงค์รวงข้าว" แห่งนี้ก็ต้องมาพังทลายลง ในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน ยังไงเหรอครับ....................ตามมา
ด้วยรักและศรัทธา...ปีที่แล้วพี่สาวผมเค้าก็ไปซื้อประกันไว้กับแบงค์แห่งนี้ ที่เคาน์เตอร์ของแบงค์เองเลย ("แบงค์รวงข้าว" สาขาสุขุมวิท 18 ตึก Exchange) ทั้งๆที่ข้อเสนออื่นๆดีดีกว่านี้ก็มีเข้ามามาก แต่เห็นว่าอยู่กันมานานไม่น่าจะมีปัญหา เลยจัดไปรูดบัตรเครดิตของธนาคารไป "14xxx บาท" เพราะเห็นว่าจะได้สะสมยอดจากการใช้จ่าย แถมพนักงานยังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ประกันบริษัทนี้ไว้ใจได้ 100% (เมืองไทยประกันชีวิต) เพราะเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน แถมเอาเรื่องลดหย่อนภาษีมาล่อ พี่สาวเราก็โอเชเห็นเครือเดียวกันและเชื่อมั่นแบงค์นี้มาตลอด
และปีแรกก็ผ่านไปด้วยดี แต่พอถึงเวลาต้องต่อประกัน คราวนี้แหละปัญหาเกิด วันที่ 20 มีนาคม 2557 มี sms แจ้งมาว่ากรมธรรม์ครบกำหนดต่ออายุแล้ว และภายในวันเดียวกันนั้นก็มีอีกหนึ่ง sms แจ้งตามมาว่า "กรมธรรม์ได้ทำการต่ออายุเรียบร้อยแล้ว" ตอน sms แรกเข้ามาพี่สาวเราเค้าก็กังวลใจว่ากลัวจะต่อไม่ทัน ทำยังไงดี ช่วงนี้งานก็ยุ่งไม่มีเวลา แต่พอเห็น sms ครั้งที่ 2 ตามมาก็โล่งใจ คิดว่าสมแล้วที่ไว้ใจให้ "แบงค์รวงข้าวดูแล" เพราะดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ความกังวลใจหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า "ปีที่แล้วจ่ายผ่านบัตรเครดิต ปีนี้ต่ออายุก็คงตัดผ่านบัตรอีก เพราะเห็นทุกแบงค์เค้าก็ทำอย่างนี้" พี่สาวเราก็ยอมรับว่าไม่ได้เฉลียวใจ เพราะธรรมดาธนาคารอื่นเค้าก็ทำกัน
แต่แล้ว.....พอวันที่ 29 มีนาคม 2557 ไปเช็คยอดเงินในบัญชี ออมทรัพย์ (ย้ำว่าบัญชีออมทรัพย์) ปรากฎว่า "เงินหายไปจำนวน 14xxx บาท" คิดไปคิดมาตรูเอาไปทำอะไรหว่า นึกเอะใจยอดที่หายไปเท่ากับยอดของ "ค่าประกัน" ร้อนใจขึ้นมาทันใด โทรหา call center ของธนาคารในบัดดล 02-8888888 คำตอบที่ได้ทำเอาหงายเงิบและไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อได้รับคำยืนยันจากพนักงานว่า "ยอดเงินที่หายไป ถูกโอนเข้าบัญชีบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต" เป็นที่เรียบร้อย โดยปราศจาก "การเซ็นต์ยินยอม หรือ อนุมัติใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือวิธีการอื่นใด" จากเจ้าของบัญชี จากความปลาบปลื้มในบริการแปรเปลี่ยนเป็นความฉุนเฉียวในบัดดล (เป็นใครๆไม่โกรธ) จึงทำเรื่องขอคืนเงินจำนวนดังกล่าวและให้เปลี่ยนเป็น charge บัตรเครดิตแทน พนักงานรับเรื่องและได้รับการแจ้งว่าจะดำเนินการให้ภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้น วันที่ 11 เมษายน 2557 ได้รับโทรศัพท์แจ้งจาก call center ว่า "ขอปิด case นี้ เนื่องจากเกินกำหนด resolve และได้รับแจ้งว่า ธนาคารจะทำการคืนเงินให้" พี่สาวเราก็โอเคงั้นรอ เพราะคิดว่าครั้งนี้คงเป็นแค่ความผิดพลาดเล็กน้อย
2 สัปดาห์ ตามสัญญาที่ให้ไว้ของธนาคารผ่านไป ก็ยังไม่มีวี่แวว วันที่ 21 เมษายน 2557 จึงโทรไปสอบถามอีกครั้งกับ call center จึงได้รับการแจ้งว่า "จะรีบประสานงานให้โดยเร็วที่สุด" จนแล้วจนรอดวันนี้วันที่ 23 เมษายน 2557 พี่สาวเราก็ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากธนาคาร เรื่องแจ้งการโอนเงินคืน จึงโทรหา call center อีกครั้งและด้วยความอดทนจนถึงที่สุด จึงตัดสินใจกด 9 เพื่อร้องเรียน ผลที่ได้รับคือ "การโอนสาย รอสาย ไปมา พร้อมทั้งการต้องมานั่งรีรัน เรื่องราวใหม่ทั้งหมด" รวมเวลาทั้งสิ้นอีก 30 นาที พร้อมกับคำตอบที่ว่า "จะให้ทางผู้จัดการสาขา ติดต่อกลับ" พี่สาวจึงตอบกลับไปอย่างนิ่มนวลว่า "ไม่รอค่ะ ต้องการคำตอบวันนี้" (คือรอมาเยอะแล้วไง) จึงทำให้ทางธนาคารต้องเรียก "รองผู้จัดการสาขา" มาคุย (คำถามคือทำไมเมิงไม่เรียกแต่แรก) พร้อมกับประกาศิตสุดท้ายว่า "เงินทุกบาททุกสตางค์ ต้องได้รับคืนภายในวันนี้" นั่นแหละถึงจะได้รับคำตอบยืนยันพร้อมเดินเรื่องให้ได้เงินคืนในที่สุด
ถึงแม้จะได้เงินคืนแล้วแต่สิ่งที่อยากจะฝากบอกไปถึงผู้บริหารแบงค์รวงข้าว โดยเฉพาะฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของธนาคาร เนื่องจากพี่สาวของผมก็ทำงานในสายงานบริการเช่นเดียวกับพวกคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้บ่งบอกเลยว่า ทางธนาคารมี "ความตั้งใจ" และ "ความจริงใจ" ในการให้บริการลูกค้าด้วยหัวใจจริง สโลแกนสวยๆ "ฝากให้เราดูแล" ที่พวกคุณลงทุนปีๆหนึ่งเป็นร้อยล้านเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับธนาคาร อยากบอกว่า "มันสูญเปล่า" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า "USELESS" เพราะสิ่งที่พวกคุณทำมันไม่ได้มาจาก "ใจ" ที่จะ "เต็มใจ" ใน "การบริการ" ทำไมนะหรือ เพราะขนาดลูกค้าประจำ ลูกค้าที่ซื่อสัตย์กับธุรกิจของพวกคุณมากว่า 16 ปี พวกคุณยัง "บริการและดูแล" เค้าได้แค่นี้ ผมว่าไม่ต้องพูดถึง "ลูกค้าใหม่"
หากพวกคุณจริงใจในการบริการและยึดมั่นใตสโลแกน "ฝากให้เราช่วยดูแล" จริงๆละก็ เชื่อผมเถอะเอาเงินค่าโฆษณาที่พวกคุณลงทุนนะ ไปพัฒนาบุคลากรให้เค้าดูแลพวกลูกค้า "ด้วยหัวใจ จิตสำนึก และ การกระทำ" มากกว่า "คำพูด กับ สโลแกน" หรูๆ ดีกว่าครับ.......................................
เพิ่มเติม.................................จากกรณีนี้
1. เงินฝากออมทรัพย์ของ "แบงค์รวงข้าว" แห่งนี้ จะมีความปลอดภัยแค่ไหนกัน หากดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนของ "บริษัทประกัน" กับ "แบงค์รวงข้าว" ร่วมมือกันยักย้ายถ่ายเทเงินบัญชีของลูกค้า
2. จากข้อ 1. เงินของลูกค้าหายไปจากบัญชี ทางธนาคารไม่คิดที่จะแจ้งให้ลูกค้าทราบเลยหรือไง หรือเห็นว่าเป็นบริษัทในเครือเป็นผู้เอาไป เลยทำยังไงก็ได้ ส่วนลูกค้าก็รอรับเอกสารกรมธรรม์ก็พอ "ครับ ขอบคุณครับ พวกคุณอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่าย แต่พวกผมไม่ง่ายและไม่สนุกกับพวกคุณด้วย"
3. การติดตามผล การดูแลลูกค้า ทำได้แค่เพียง "รับทราบค่ะ" "จะติดตามเรื่องให้ค่ะ" "ไม่เกิน 2 สัปดาห์ค่ะ" แค่นั้นเหรอ จากคำพูดมันก็เป็นแค่คำพูดจริงๆ เพราะตลอดเวลา พี่สาวของผมต้องเป็นคนโทรเข้าไปสอบถามเองทุกครั้ง ไม่มี "Proactive" ในการแจ้งการดำเนินการให้ลูกค้าทราบ หรือว่า "กล้วเสียค่าโทรศัพท์"
4. ธนาคาร มักจะสอนลูกค้าให้ "ซื่อสัตย์ ตรงเวลา" ชำระขาดเสียค่าปรับ ชำระช้าโดนปรับ ขาดชำระมีดอกเบี้ย แต่พอเป็นความผิดของธนาคารและมีการร้องเรียน ทุกเรื่องมักจบด้วยที่จดหมายขอโทษพร้อมคำขึ้นต้นที่ว่า "ทางธนาคารต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินการล่าช้า บลาาาาาาาาา" ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกค้าอย่างพี่สาวผมมีสิทธิ์ปรับพวกคุณได้ไหม
5. เรื่องที่เกิดขึ้นสอนให้รู้ว่า ต่อให้คุณเป็นลูกค้า VIP, PLATINUM หรือซื่อสัตย์ต่อธุรกิจของพวกเค้าแค่ไหน สุดท้ายแล้วคุณก็จะหมดความสำคัญหากว่าคุณต้องเป็น "ผู้ติดตามทวงเงินคืนจากธนาคาร"
แบงค์รวงข้าว "ฝากให้เราช่วยดูแล" จนบัดนี้ยังไม่ได้เงินคืน
เมื่อปีที่แล้ว พี่สาวของผมได้ไปซื้อประกันกับ "แบงค์ตรารวงข้าว" ด้วยมั่นใจในการบริการของธนาคารแห่งนี้ ด้วยว่าความจงรักภักดีที่เป็นลูกค้าธนาคารแห่งนี้มานานนม เพราะไม่ว่าจะมีโปรโมชั่นอะไรแบบไหนพี่สาวผมสนองตอบต่อความต้องการ ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนทุกๆกิจกรรมที่ทางธนาคารโทรมาหรือนำเสนอมาให้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งบัตรเครดิต (Platinum) บัตรเดบิตแบบ K-max ที่ต้องเสียค่ารายปีสูงสุดก็สนับสนุนมาตลอด บัตรเดบิตรายใหม่ไม่ว่าจะเป็น โดเรมอน คิตต้งคิตตี้ ทำหมด (ยอมโดนยึดบัตรเสียตังค์ใหม่ก็ทำ) ประกันชีวิตก็จัดให้ เรียกว่าถ้าให้พี่ผมเป็น presenter นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ พี่สาวผมไม่เป็นรองใคร แต่แล้วความเชื่อมั่นทั้งหลายแหล่กับ "แบงค์รวงข้าว" แห่งนี้ก็ต้องมาพังทลายลง ในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน ยังไงเหรอครับ....................ตามมา
ด้วยรักและศรัทธา...ปีที่แล้วพี่สาวผมเค้าก็ไปซื้อประกันไว้กับแบงค์แห่งนี้ ที่เคาน์เตอร์ของแบงค์เองเลย ("แบงค์รวงข้าว" สาขาสุขุมวิท 18 ตึก Exchange) ทั้งๆที่ข้อเสนออื่นๆดีดีกว่านี้ก็มีเข้ามามาก แต่เห็นว่าอยู่กันมานานไม่น่าจะมีปัญหา เลยจัดไปรูดบัตรเครดิตของธนาคารไป "14xxx บาท" เพราะเห็นว่าจะได้สะสมยอดจากการใช้จ่าย แถมพนักงานยังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ประกันบริษัทนี้ไว้ใจได้ 100% (เมืองไทยประกันชีวิต) เพราะเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน แถมเอาเรื่องลดหย่อนภาษีมาล่อ พี่สาวเราก็โอเชเห็นเครือเดียวกันและเชื่อมั่นแบงค์นี้มาตลอด
และปีแรกก็ผ่านไปด้วยดี แต่พอถึงเวลาต้องต่อประกัน คราวนี้แหละปัญหาเกิด วันที่ 20 มีนาคม 2557 มี sms แจ้งมาว่ากรมธรรม์ครบกำหนดต่ออายุแล้ว และภายในวันเดียวกันนั้นก็มีอีกหนึ่ง sms แจ้งตามมาว่า "กรมธรรม์ได้ทำการต่ออายุเรียบร้อยแล้ว" ตอน sms แรกเข้ามาพี่สาวเราเค้าก็กังวลใจว่ากลัวจะต่อไม่ทัน ทำยังไงดี ช่วงนี้งานก็ยุ่งไม่มีเวลา แต่พอเห็น sms ครั้งที่ 2 ตามมาก็โล่งใจ คิดว่าสมแล้วที่ไว้ใจให้ "แบงค์รวงข้าวดูแล" เพราะดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ความกังวลใจหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยความเชื่อที่ว่า "ปีที่แล้วจ่ายผ่านบัตรเครดิต ปีนี้ต่ออายุก็คงตัดผ่านบัตรอีก เพราะเห็นทุกแบงค์เค้าก็ทำอย่างนี้" พี่สาวเราก็ยอมรับว่าไม่ได้เฉลียวใจ เพราะธรรมดาธนาคารอื่นเค้าก็ทำกัน
แต่แล้ว.....พอวันที่ 29 มีนาคม 2557 ไปเช็คยอดเงินในบัญชี ออมทรัพย์ (ย้ำว่าบัญชีออมทรัพย์) ปรากฎว่า "เงินหายไปจำนวน 14xxx บาท" คิดไปคิดมาตรูเอาไปทำอะไรหว่า นึกเอะใจยอดที่หายไปเท่ากับยอดของ "ค่าประกัน" ร้อนใจขึ้นมาทันใด โทรหา call center ของธนาคารในบัดดล 02-8888888 คำตอบที่ได้ทำเอาหงายเงิบและไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อได้รับคำยืนยันจากพนักงานว่า "ยอดเงินที่หายไป ถูกโอนเข้าบัญชีบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต" เป็นที่เรียบร้อย โดยปราศจาก "การเซ็นต์ยินยอม หรือ อนุมัติใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือวิธีการอื่นใด" จากเจ้าของบัญชี จากความปลาบปลื้มในบริการแปรเปลี่ยนเป็นความฉุนเฉียวในบัดดล (เป็นใครๆไม่โกรธ) จึงทำเรื่องขอคืนเงินจำนวนดังกล่าวและให้เปลี่ยนเป็น charge บัตรเครดิตแทน พนักงานรับเรื่องและได้รับการแจ้งว่าจะดำเนินการให้ภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้น วันที่ 11 เมษายน 2557 ได้รับโทรศัพท์แจ้งจาก call center ว่า "ขอปิด case นี้ เนื่องจากเกินกำหนด resolve และได้รับแจ้งว่า ธนาคารจะทำการคืนเงินให้" พี่สาวเราก็โอเคงั้นรอ เพราะคิดว่าครั้งนี้คงเป็นแค่ความผิดพลาดเล็กน้อย
2 สัปดาห์ ตามสัญญาที่ให้ไว้ของธนาคารผ่านไป ก็ยังไม่มีวี่แวว วันที่ 21 เมษายน 2557 จึงโทรไปสอบถามอีกครั้งกับ call center จึงได้รับการแจ้งว่า "จะรีบประสานงานให้โดยเร็วที่สุด" จนแล้วจนรอดวันนี้วันที่ 23 เมษายน 2557 พี่สาวเราก็ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากธนาคาร เรื่องแจ้งการโอนเงินคืน จึงโทรหา call center อีกครั้งและด้วยความอดทนจนถึงที่สุด จึงตัดสินใจกด 9 เพื่อร้องเรียน ผลที่ได้รับคือ "การโอนสาย รอสาย ไปมา พร้อมทั้งการต้องมานั่งรีรัน เรื่องราวใหม่ทั้งหมด" รวมเวลาทั้งสิ้นอีก 30 นาที พร้อมกับคำตอบที่ว่า "จะให้ทางผู้จัดการสาขา ติดต่อกลับ" พี่สาวจึงตอบกลับไปอย่างนิ่มนวลว่า "ไม่รอค่ะ ต้องการคำตอบวันนี้" (คือรอมาเยอะแล้วไง) จึงทำให้ทางธนาคารต้องเรียก "รองผู้จัดการสาขา" มาคุย (คำถามคือทำไมเมิงไม่เรียกแต่แรก) พร้อมกับประกาศิตสุดท้ายว่า "เงินทุกบาททุกสตางค์ ต้องได้รับคืนภายในวันนี้" นั่นแหละถึงจะได้รับคำตอบยืนยันพร้อมเดินเรื่องให้ได้เงินคืนในที่สุด
ถึงแม้จะได้เงินคืนแล้วแต่สิ่งที่อยากจะฝากบอกไปถึงผู้บริหารแบงค์รวงข้าว โดยเฉพาะฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของธนาคาร เนื่องจากพี่สาวของผมก็ทำงานในสายงานบริการเช่นเดียวกับพวกคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้บ่งบอกเลยว่า ทางธนาคารมี "ความตั้งใจ" และ "ความจริงใจ" ในการให้บริการลูกค้าด้วยหัวใจจริง สโลแกนสวยๆ "ฝากให้เราดูแล" ที่พวกคุณลงทุนปีๆหนึ่งเป็นร้อยล้านเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับธนาคาร อยากบอกว่า "มันสูญเปล่า" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า "USELESS" เพราะสิ่งที่พวกคุณทำมันไม่ได้มาจาก "ใจ" ที่จะ "เต็มใจ" ใน "การบริการ" ทำไมนะหรือ เพราะขนาดลูกค้าประจำ ลูกค้าที่ซื่อสัตย์กับธุรกิจของพวกคุณมากว่า 16 ปี พวกคุณยัง "บริการและดูแล" เค้าได้แค่นี้ ผมว่าไม่ต้องพูดถึง "ลูกค้าใหม่"
หากพวกคุณจริงใจในการบริการและยึดมั่นใตสโลแกน "ฝากให้เราช่วยดูแล" จริงๆละก็ เชื่อผมเถอะเอาเงินค่าโฆษณาที่พวกคุณลงทุนนะ ไปพัฒนาบุคลากรให้เค้าดูแลพวกลูกค้า "ด้วยหัวใจ จิตสำนึก และ การกระทำ" มากกว่า "คำพูด กับ สโลแกน" หรูๆ ดีกว่าครับ.......................................
เพิ่มเติม.................................จากกรณีนี้
1. เงินฝากออมทรัพย์ของ "แบงค์รวงข้าว" แห่งนี้ จะมีความปลอดภัยแค่ไหนกัน หากดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนของ "บริษัทประกัน" กับ "แบงค์รวงข้าว" ร่วมมือกันยักย้ายถ่ายเทเงินบัญชีของลูกค้า
2. จากข้อ 1. เงินของลูกค้าหายไปจากบัญชี ทางธนาคารไม่คิดที่จะแจ้งให้ลูกค้าทราบเลยหรือไง หรือเห็นว่าเป็นบริษัทในเครือเป็นผู้เอาไป เลยทำยังไงก็ได้ ส่วนลูกค้าก็รอรับเอกสารกรมธรรม์ก็พอ "ครับ ขอบคุณครับ พวกคุณอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่าย แต่พวกผมไม่ง่ายและไม่สนุกกับพวกคุณด้วย"
3. การติดตามผล การดูแลลูกค้า ทำได้แค่เพียง "รับทราบค่ะ" "จะติดตามเรื่องให้ค่ะ" "ไม่เกิน 2 สัปดาห์ค่ะ" แค่นั้นเหรอ จากคำพูดมันก็เป็นแค่คำพูดจริงๆ เพราะตลอดเวลา พี่สาวของผมต้องเป็นคนโทรเข้าไปสอบถามเองทุกครั้ง ไม่มี "Proactive" ในการแจ้งการดำเนินการให้ลูกค้าทราบ หรือว่า "กล้วเสียค่าโทรศัพท์"
4. ธนาคาร มักจะสอนลูกค้าให้ "ซื่อสัตย์ ตรงเวลา" ชำระขาดเสียค่าปรับ ชำระช้าโดนปรับ ขาดชำระมีดอกเบี้ย แต่พอเป็นความผิดของธนาคารและมีการร้องเรียน ทุกเรื่องมักจบด้วยที่จดหมายขอโทษพร้อมคำขึ้นต้นที่ว่า "ทางธนาคารต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินการล่าช้า บลาาาาาาาาา" ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกค้าอย่างพี่สาวผมมีสิทธิ์ปรับพวกคุณได้ไหม
5. เรื่องที่เกิดขึ้นสอนให้รู้ว่า ต่อให้คุณเป็นลูกค้า VIP, PLATINUM หรือซื่อสัตย์ต่อธุรกิจของพวกเค้าแค่ไหน สุดท้ายแล้วคุณก็จะหมดความสำคัญหากว่าคุณต้องเป็น "ผู้ติดตามทวงเงินคืนจากธนาคาร"