ขอออกตัวก่อนเลยว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นนักเขียน เพียงแต่อยากเล่าเรื่อง ไปตามเรื่องตามราว
เรื่องที่เล่าก็ไม่ได้เตรียมตัว ทุกอย่างมันอยู่ในหัว ไม่มีการเตรียมการใดๆ
ถ้ามีอะไรผิดพลาดทำได้ไม่ดีนักต้องขออภัยเพื่อนนักอ่านจริงๆ
...ปัจจุบัน เมื่อคิดได้ว่าถ้ายังอยากอยู่ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ฉันต้องเป็นมิตรกับเธอ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า จุดประสงค์ของข้าพเจ้าของการตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อเป็นการบอกเล่าประสบการณ์
ความเจ็บป่วย ตั้งแต่เริ่มเป็น จนเป็นหนักขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็รอด จนถึงปัจจุบัน
เพื่อให้ข้อคิด กำลังใจ มุมมองที่แตกต่าง หรือมุมมองที่เหมือนกัน ...
พ.ศ.2543/ค.ศ.2000 ปีนี้ดี ที่ใครๆเค้าว่า
ข้าพเจ้าคลอดบุตรชาย ช่วงประมาณปลายๆปี
หลังจากคลอดกลับมาอยู่บ้าน ข้าพเจ้าสักเกตุว่าพอปัสสาวะเสร็จราดน้ำจะมีฟอง
แต่ก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร บางทีเป็นฟอง บางทีก็เป็นน้อย บางทีไม่เป็น
จนครบกำหนดไปทำงาน อาการขาบวม
ครั้งแรกที่ไปหาหมอจากอาการขาบวม กดแล้วยุบ คนที่ทำงานที่พอรู้รีบบอกเลยว่าเป็นโรคไต
ไปหา หมอให้กินลดบวม การตรวจก็คือพูดคุย แล้วก็จ่ายยา
ข้าพเจ้าไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดในเขตปริมณฑล โดยใช้สิทธิประกันสังคม
ชีวิตปกติไปทำงาน ถ้าอาการไม่ดี ไปหาหมอ ทำอยู่อย่างนี้เกือบปี ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
มีอยู่ครั้งนึงเป็ฯครั้งสุดท้ายที่ไปหาหมอคนนี้ ข้าพเจ้าถามหมอว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคอะไร ทำไมไม่หาย
ทำไมอยู่ๆ ก็เป็น หมอออกอาการกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าใส่รองเท้าส้นสูงขาเลยบวม
ข้าพเจ้าไป3วิ แล้วบอกหมอกลับไปว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง
รองเท้ามันสูงแค่นิ้วเดียวเองนะหมอ มันไม่มีวิธีอื่น ตรวจแล้วเหรอว่าเป็นอะไร
หมอโวยวายหาว่าไม่เชื่อหมอ คือจะบอกว่าช่วงนั้น เครียดกับอาการด้วยค่ะ เพราะเป็นมาหลายเดือนแล้ว
แล้วยังไม่รู้สาเหตุ เลยเถียงหมอว่า "งั้นต้องเดิน...ีนเปล่าแล้วมั้งหมอ (ฉุนมาก) ถึงพูดออกไป
หมอเงียบค่ะ ข้าพเจ้าก็ออกจากห้องตรวจ ไปรับยา แต่ในใจคิด กินไปก็ไม่หาย
ขอย้อนไปที่คุณหมอค่ะ คือหมอเป็นผู้หญิงมีอายุประมาณเป็นหมอเกษียญแล้วค่ะ
เวลาเธอตรวจ เธอจะถามๆ เราก็ตอบ ตอบถูกใจก็เออๆ ตอบไม่ถูกใจ ก็ตวาด
อยากจะเล่าอาการอื่นๆ ก็ไม่อยากฟัง คือไม่ได้ถาม ไม่ต้องเล่า อะไรประมาณเนี่ยค่ะ
แล้วข้าพเจ้าไปหาหมอ ก็เจอหมอคนเนี้ยประมาณเป็นสิบครั้งได้ ก็ทำท่าประมาณเนี้ย
ก็เคยคิด ว่าถ้าไม่อยากตรวจทำไมไม่ไปนอนอยู่บ้านว่ะ มาทำทำไม555+
หลักจากตรวจเสร็จ ข้าพเจ้าอยู่ที่จอดรถ มอง รพ.ร้องไห้+อารมณ์โกธร
คิดแล้วคิดอีก ข้าพเจ้าโทรเข้า รพ. แล้วบอกเจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์
เป็นคนไข้ที่นี่ มาหาหมอ มาเป็นสิบครั้งแล้ว ไม่หายไม่รู้ว่าเป็นอะไรจะให้มาอย่างนี้เรื่อยๆ เหรอ
จนเจ้าหน้าที่โอนไปให้คุยกับใครก็ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นพยาบาลที่เป็นผู้บริหาร
เท่านั้นแหละ ทุกอย่างที่มันอัดอั้นพรั่งพรูออกมา (แต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรนะค่ะ)
เล่าให้เค้าฟังจนจบ แล้วคุณพยาบาลก็บอกว่า ลองทานยาก่อนถ้าไม่ดีขึ้นมาหาหมอใหม่แล้วเค้าจะดูแลให้
คืออารมณ์ตอนนั้นมันเครียดมาก เพราะเป็นมาหลายเดือนแล้ว
อาการป่วยเริ่มมีผลกระทบกับชีวิตประจำวันบางแล้ว
อ้อ ลืมไปค่ะ ตอนนั้นเริ่มนอนปวดหลัง ทุกคืนกว่าจะหลับทรมารมาก
............
ไอ้เรื่องใส่รองเท้าส้นสูงแล้วขาบวม เลยเป็นเรื่องตลกของที่ทำงาน
น้องที่ทำงานคนหนึ่งบอกว่า "แล้วงี้มันไม่บวมกันครึ่งค่อนประเทศเหรอพี่"
กระทู้ให้กำลังใจ เล่าสู่กันฟังกับประสบการณ์ชีวิต ที่ต้องยอมรับ "เมื่อต้องอยู่กับโรค บนโลกใบนี้"
เรื่องที่เล่าก็ไม่ได้เตรียมตัว ทุกอย่างมันอยู่ในหัว ไม่มีการเตรียมการใดๆ
ถ้ามีอะไรผิดพลาดทำได้ไม่ดีนักต้องขออภัยเพื่อนนักอ่านจริงๆ
...ปัจจุบัน เมื่อคิดได้ว่าถ้ายังอยากอยู่ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ฉันต้องเป็นมิตรกับเธอ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า จุดประสงค์ของข้าพเจ้าของการตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อเป็นการบอกเล่าประสบการณ์
ความเจ็บป่วย ตั้งแต่เริ่มเป็น จนเป็นหนักขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็รอด จนถึงปัจจุบัน
เพื่อให้ข้อคิด กำลังใจ มุมมองที่แตกต่าง หรือมุมมองที่เหมือนกัน ...
พ.ศ.2543/ค.ศ.2000 ปีนี้ดี ที่ใครๆเค้าว่า
ข้าพเจ้าคลอดบุตรชาย ช่วงประมาณปลายๆปี
หลังจากคลอดกลับมาอยู่บ้าน ข้าพเจ้าสักเกตุว่าพอปัสสาวะเสร็จราดน้ำจะมีฟอง
แต่ก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร บางทีเป็นฟอง บางทีก็เป็นน้อย บางทีไม่เป็น
จนครบกำหนดไปทำงาน อาการขาบวม
ครั้งแรกที่ไปหาหมอจากอาการขาบวม กดแล้วยุบ คนที่ทำงานที่พอรู้รีบบอกเลยว่าเป็นโรคไต
ไปหา หมอให้กินลดบวม การตรวจก็คือพูดคุย แล้วก็จ่ายยา
ข้าพเจ้าไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดในเขตปริมณฑล โดยใช้สิทธิประกันสังคม
ชีวิตปกติไปทำงาน ถ้าอาการไม่ดี ไปหาหมอ ทำอยู่อย่างนี้เกือบปี ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
มีอยู่ครั้งนึงเป็ฯครั้งสุดท้ายที่ไปหาหมอคนนี้ ข้าพเจ้าถามหมอว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคอะไร ทำไมไม่หาย
ทำไมอยู่ๆ ก็เป็น หมอออกอาการกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าใส่รองเท้าส้นสูงขาเลยบวม
ข้าพเจ้าไป3วิ แล้วบอกหมอกลับไปว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง
รองเท้ามันสูงแค่นิ้วเดียวเองนะหมอ มันไม่มีวิธีอื่น ตรวจแล้วเหรอว่าเป็นอะไร
หมอโวยวายหาว่าไม่เชื่อหมอ คือจะบอกว่าช่วงนั้น เครียดกับอาการด้วยค่ะ เพราะเป็นมาหลายเดือนแล้ว
แล้วยังไม่รู้สาเหตุ เลยเถียงหมอว่า "งั้นต้องเดิน...ีนเปล่าแล้วมั้งหมอ (ฉุนมาก) ถึงพูดออกไป
หมอเงียบค่ะ ข้าพเจ้าก็ออกจากห้องตรวจ ไปรับยา แต่ในใจคิด กินไปก็ไม่หาย
ขอย้อนไปที่คุณหมอค่ะ คือหมอเป็นผู้หญิงมีอายุประมาณเป็นหมอเกษียญแล้วค่ะ
เวลาเธอตรวจ เธอจะถามๆ เราก็ตอบ ตอบถูกใจก็เออๆ ตอบไม่ถูกใจ ก็ตวาด
อยากจะเล่าอาการอื่นๆ ก็ไม่อยากฟัง คือไม่ได้ถาม ไม่ต้องเล่า อะไรประมาณเนี่ยค่ะ
แล้วข้าพเจ้าไปหาหมอ ก็เจอหมอคนเนี้ยประมาณเป็นสิบครั้งได้ ก็ทำท่าประมาณเนี้ย
ก็เคยคิด ว่าถ้าไม่อยากตรวจทำไมไม่ไปนอนอยู่บ้านว่ะ มาทำทำไม555+
หลักจากตรวจเสร็จ ข้าพเจ้าอยู่ที่จอดรถ มอง รพ.ร้องไห้+อารมณ์โกธร
คิดแล้วคิดอีก ข้าพเจ้าโทรเข้า รพ. แล้วบอกเจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์
เป็นคนไข้ที่นี่ มาหาหมอ มาเป็นสิบครั้งแล้ว ไม่หายไม่รู้ว่าเป็นอะไรจะให้มาอย่างนี้เรื่อยๆ เหรอ
จนเจ้าหน้าที่โอนไปให้คุยกับใครก็ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นพยาบาลที่เป็นผู้บริหาร
เท่านั้นแหละ ทุกอย่างที่มันอัดอั้นพรั่งพรูออกมา (แต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรนะค่ะ)
เล่าให้เค้าฟังจนจบ แล้วคุณพยาบาลก็บอกว่า ลองทานยาก่อนถ้าไม่ดีขึ้นมาหาหมอใหม่แล้วเค้าจะดูแลให้
คืออารมณ์ตอนนั้นมันเครียดมาก เพราะเป็นมาหลายเดือนแล้ว
อาการป่วยเริ่มมีผลกระทบกับชีวิตประจำวันบางแล้ว
อ้อ ลืมไปค่ะ ตอนนั้นเริ่มนอนปวดหลัง ทุกคืนกว่าจะหลับทรมารมาก
............
ไอ้เรื่องใส่รองเท้าส้นสูงแล้วขาบวม เลยเป็นเรื่องตลกของที่ทำงาน
น้องที่ทำงานคนหนึ่งบอกว่า "แล้วงี้มันไม่บวมกันครึ่งค่อนประเทศเหรอพี่"