กลร้าย อุบายรัก
ตอนที่ 1
คนคุ้นเคย
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีหรือที่พิมพ์รตาจะไม่อยากทำ วันนี้เป็นวันที่ช่างสุดแสนปวดใจที่สุด ใครจะรู้ สาวสวย ดาวคณะ
อักษรศาสตร์ ผู้ที่เย่อหยิ่ง หนุ่มๆตามจีบกันทั่วมหาวิทยาลัยชื่อดังของกรุงเทพแห่งนี้ ผู้สลัดรักผู้ชายอย่างไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม
วันนี้ต้องมารับผลการกระทำจากผู้ชายที่ตนเคยหักอกเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใย
เวลาผ่านมาเกือบห้าปี หลังจากจบจากรั้วจามจุรี พิมพ์รตาไม่เคยเจอเขาอีกเลย “รชานนท์” วันสุดท้ายคือวันที่เขาจบการศึกษา ต่างคนต่างมาแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน เขาเป็นหนุ่มคณะแพทยศาสตร์ ผู้เรียนจบปริญญาบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พิมพ์รตาเองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เธอได้เกียรตินิยมอันดับสอง เขามอบช่อกุหลาบสีขาวที่พิมพ์รตาชอบ เธอได้แต่พยักหน้ารับ และเอ่ยคำแสดงความยินดีสั้นๆ เพราะมัวถ่ายภาพกับบรรดาเพื่อนๆ น้องๆที่ต่างพากันชื่นชมประดุจดังแฟนคลับ ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แทบไม่เคยคืบหน้าเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่พิมพ์รตาไม่เคยนิยมชมชอบผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ นอกจากพี่นุ “ภาณุพัฒน์” หนุ่มนักเรียนนอกจบด้านวิศวกรรมจากอเมริกา พิมพ์รตาจึงไม่เคยคิดอยากจะสานความสัมพันธ์กับเขา เธอบอกตัวเอง “ใครจะไปชอบผู้ชายใส่แว่นตาหนาเทอะทะ เป็นสิว วันๆคร่ำเคร่งอยู่กับตำราเรียน” เธอจึงแค่บอกกับตัวเองว่ารู้สึกใจหายเท่านั้นเมื่อเขาหายไปจากชีวิต ไม่มีใครคอยมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ คอยมาเตือนเรื่องการสอบไล่ การวางแผนอนาคต คอยโทรมาห่วงใยในทุกๆเรื่อง จนพิมพ์รตารู้สึกรำคาญมากกว่าจะซึ้งใจอะไรกับความปรารถนาดีของเขา วันเวลาผ่านมาหลายปี ชื่อของเขา ใบหน้าของเขาชักจะลืมเลือนไปทุกทีจนกระทั่งวันนี้
“เป็นอะไรน่ะพริ้ม เหม่อเชียว” พลอยฟ้า เพื่อนสาวหยิกหมับเข้าที่แขนแกมหยอก แต่คนโดนหยิกสะดุ้งโหยง เนื่องจากทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ สะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด พิมพ์รตาโอดโอยลูบคลำแขนข้างที่โดนหยิก พร้อมกับหันไปต่อว่าเพื่อน
“ ยัยพลอย ชั้นเจ็บนะ” พิมพ์รตาค้อน แต่ตายังมิวายแอบชำเลืองคนที่อยู่แถวๆเคาท์เตอร์หน้าห้องจ่ายยา
“พริ้ม เธอว่าคุ้นๆมะ หือ... คุณหมอคนนี้ ชั้นไปเคยเห็นที่ไหนอ่ะ ยังงงตัวเองเลย ไปเคยรู้จักหมอหล่อๆแบบนี้ได้ไงกันอ่ะเธอ” พลอยฟ้ายังคงสงสัย ตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของคุณหมอผิวขาว คิ้วเข้ม ใบหน้าใสเหมือนผิวเด็ก ตาเป็นประกายสีฟ้านิดๆด้วยเงาคอนแทคเลนส์ เมื่อมองไปแล้วก็วกสายตากลับมาจับสังเกตพิรุธที่สายตาของเพื่อนสาวเช่นกัน
“ อ๋อ !นึกออกแล้ว เห็นเธอชำเลืองตลอดเลย เธอรู้จักใช่มั้ยละยัยพริ้ม” คนถูกรู้ทันหน้าเริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้นเรื่อยๆ พิมพ์รตาเบนสายตาไปมองที่พื้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ใจเต้นรัว
“ บ้า! ใครจะไปรู้จักยะ” ปากปฏิเสธแต่ใจรู้อยู่เต็มอก แน่ใจตั้งแต่ได้ยินประกาศเรียกชื่อแล้ว ทั้งชื่อทั้งนามสกุลชัดเจนขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมต้องใจเต้นเหมือนกัน ก็ไหนไม่เคยสนใจเคยชอบนี่นา
“คุณพิมพ์รตา เมธาวรินทร์ เชิญพบคุณหมอที่ห้องตรวจหมายเลข 2 ค่ะ” เสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่ ทำให้พิมพ์รตาหันมาคว้ากระเป๋าที่วางข้างๆตัว ลืมเรื่อง “คุณหมอหน้าเข้ม” คนนั้นก่อนแล้วเดินเข้าไปในห้องหมายเลขหนึ่ง
ประตูห้องตรวจถูกผลักมาจากบุคคลข้างนอก พิมพ์รตาหันมองตามผู้ที่เข้ามาใหม่ โลกช่างกลมอะไรอย่างนี้ คุณหมอคนเดิมนั่งลงตรงโต๊ะตรวจด้านหน้า
“เป็นอะไรมาครับ” คุณหมอเพ่งดูแฟ้มประวัติของเธอ พลางเงยหน้ามองแว่บหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านต่อ พิมพ์รตาใจฝ่อลงทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากเขาที่ทำเหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน เธอแน่ใจว่าต้องใช่เขา ลำคอตีบขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะปล่อยเสียงเล็ดลอดออกมา
“รู้สึกร้อนในค่ะ มีไข้ เจ็บกระพุ้งแก้มด้วยค่ะ”
เขาหยิบปรอทวัดไข้ส่งให้ ขณะที่รอเสียงสัญญาณเตือนจากการวัดไข้ เขาก็หยิบไฟฉายขึ้นมา
“ขอหมอดูกระพุ้งแก้มบริเวณที่เจ็บหน่อยนะครับ” เขาเอ่ยอย่างสุภาพ เธอต้องอ้าปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกเขินๆเหมือนกัน ก็เคยอ้าปากโชว์แผลร้อนในให้ผู้ชายที่เคยมาจีบดูสักคนที่ไหนละ มันน่าเสียฟอร์มยังไงไม่รู้ ใครๆก็เห็นเธอแต่ภาพลักษณ์ดูดี รักษากริยาทั้งนั้น
“เป็นแผลใหญ่เหมือนกันนะครับ ช่วงนี้ต้องงดอาหารรสจัด ทานน้ำเยอะๆ พักผ่อนมากๆนะครับ” เขารับปรอทจากเธอมาอ่านอุณหภูมิ “มีไข้ต่ำๆ เดี๋ยวหมอจัดยาให้ครับ มียาทานและยาทาบริเวณแผลด้วยนะครับ”
เขาพูดพลางก้มหน้าเขียนสั่งยา ขยุกขยิกลงไป ลายมือแบบฉบับของแพทย์นั่นแหละ เขาเห็นเธอยังคงนั่งนิ่ง จึงพูดขึ้นพร้อมกับผายมือทำท่าทางให้ออกไปข้างนอกได้แล้ว “เชิญครับ”
พิมพ์รตาตัดสินใจถามในสิ่งที่ยังค้างคาใจ “คุณหมอรชานนท์ ใช่มั้ยคะ จำพริ้ม เอ่อ.. จำดิฉันได้หรือเปล่าคะ”
คำตอบของเขาเกินสิ่งที่คาดเดา เหมือนโดนค้อนทุบเข้าท้ายทอยอย่างจัง
“จำไม่ได้ครับ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่ครับ” เขาตอบแบบสุภาพแต่คำตอบมีอานุภาพทำลายความรู้สึกของเธออย่างไม่น่าเชื่อ
“ค่ะ ขอโทษค่ะ ดิฉันคงจำคนผิด” พิมพ์รตาตัดบทสนทนาแล้วเดินออกมาจากห้องตรวจ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บปวด เพราะไม่เคยถูกปฏิเสธ หรือไม่เคยได้รับความหมางเมินจากเขามาก่อน เธอหน้าชา สู้ให้เขาบอกและแสดงอาการรู้จักแต่พูดไม่ดีเหมือนโกรธหรือเกลียดกันเสียยังดีกว่า อย่างน้อยยังได้รู้ว่าไม่เคยลืมกัน ยังมีความหมายต่อกันตลอดระยะเวลาห้าปีที่ไม่เจอกัน แต่การปฏิบัติเหมือนคนไข้คนหนึ่ง อาการเหมือนเธอไม่มีตัวตน มันยิ่งเจ็บกว่าไปถึงไหนๆ ไม่เคยมีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง ไม่มีใครทราบคำตอบนอกจากตัวเธอเองวันนี้ ทำไมเธอต้องคอยนั่งคิดถึงเขาทุกช่วงเวลาที่ว่าง แต่ไม่เคยได้พบกัน โทรไปก็ทราบว่าเขาเปลี่ยนเบอร์ พิมพ์รตาเคยบอกตัวเองว่าก็แค่คิดถึงเพื่อนเก่า และเธอก็คบหาใครไม่ได้นานสักคน คบแล้วคำตอบคือมันไม่ใช่ วันนี้เธอพบคำตอบแล้วว่าเพราะอะไร
อาการหมางเมินของเขา พิมพ์รตาอยากจะเอาชนะนัก มีสิทธิ์อะไรมาทำกันแบบนี้ เขาไม่ใช่หรือเมื่อก่อนที่เธอไหว้วานอะไร ก็รีบไปจัดการธุระให้ทุกครั้ง เขาไม่ใช่หรือที่คอยโทรมาห่วงใยสารพัด และเธอเองก็มอบนิยามของการคบหาระหว่างเธอและเขาแค่เพื่อนสนิท
ไม่จำเป็นเลยที่เขาต้องมาทำท่าทางไม่รู้จักกันแบบนี้ พิมพ์รตาน้อยใจจนน้ำตาแทบจะไหล แต่เธอบอกตัวเอง “ต้องไม่ร้อง คนอย่างพริ้มไม่เคยร้องไห้ให้ผู้ชายคนไหน เขาจะต้องกลับมา มาตรงนี้ที่เดิมที่เป็นที่ของเราสองคน”
พิมพ์รตานั่งรถกลับมาและเฝ้าครุ่นคิดตลอดทาง
กลร้ายอุบายรัก ตอนที่ 1 จ้า
ตอนที่ 1
คนคุ้นเคย
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีหรือที่พิมพ์รตาจะไม่อยากทำ วันนี้เป็นวันที่ช่างสุดแสนปวดใจที่สุด ใครจะรู้ สาวสวย ดาวคณะ
อักษรศาสตร์ ผู้ที่เย่อหยิ่ง หนุ่มๆตามจีบกันทั่วมหาวิทยาลัยชื่อดังของกรุงเทพแห่งนี้ ผู้สลัดรักผู้ชายอย่างไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม
วันนี้ต้องมารับผลการกระทำจากผู้ชายที่ตนเคยหักอกเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใย
เวลาผ่านมาเกือบห้าปี หลังจากจบจากรั้วจามจุรี พิมพ์รตาไม่เคยเจอเขาอีกเลย “รชานนท์” วันสุดท้ายคือวันที่เขาจบการศึกษา ต่างคนต่างมาแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน เขาเป็นหนุ่มคณะแพทยศาสตร์ ผู้เรียนจบปริญญาบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พิมพ์รตาเองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เธอได้เกียรตินิยมอันดับสอง เขามอบช่อกุหลาบสีขาวที่พิมพ์รตาชอบ เธอได้แต่พยักหน้ารับ และเอ่ยคำแสดงความยินดีสั้นๆ เพราะมัวถ่ายภาพกับบรรดาเพื่อนๆ น้องๆที่ต่างพากันชื่นชมประดุจดังแฟนคลับ ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แทบไม่เคยคืบหน้าเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่พิมพ์รตาไม่เคยนิยมชมชอบผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ นอกจากพี่นุ “ภาณุพัฒน์” หนุ่มนักเรียนนอกจบด้านวิศวกรรมจากอเมริกา พิมพ์รตาจึงไม่เคยคิดอยากจะสานความสัมพันธ์กับเขา เธอบอกตัวเอง “ใครจะไปชอบผู้ชายใส่แว่นตาหนาเทอะทะ เป็นสิว วันๆคร่ำเคร่งอยู่กับตำราเรียน” เธอจึงแค่บอกกับตัวเองว่ารู้สึกใจหายเท่านั้นเมื่อเขาหายไปจากชีวิต ไม่มีใครคอยมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ คอยมาเตือนเรื่องการสอบไล่ การวางแผนอนาคต คอยโทรมาห่วงใยในทุกๆเรื่อง จนพิมพ์รตารู้สึกรำคาญมากกว่าจะซึ้งใจอะไรกับความปรารถนาดีของเขา วันเวลาผ่านมาหลายปี ชื่อของเขา ใบหน้าของเขาชักจะลืมเลือนไปทุกทีจนกระทั่งวันนี้
“เป็นอะไรน่ะพริ้ม เหม่อเชียว” พลอยฟ้า เพื่อนสาวหยิกหมับเข้าที่แขนแกมหยอก แต่คนโดนหยิกสะดุ้งโหยง เนื่องจากทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ สะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด พิมพ์รตาโอดโอยลูบคลำแขนข้างที่โดนหยิก พร้อมกับหันไปต่อว่าเพื่อน
“ ยัยพลอย ชั้นเจ็บนะ” พิมพ์รตาค้อน แต่ตายังมิวายแอบชำเลืองคนที่อยู่แถวๆเคาท์เตอร์หน้าห้องจ่ายยา
“พริ้ม เธอว่าคุ้นๆมะ หือ... คุณหมอคนนี้ ชั้นไปเคยเห็นที่ไหนอ่ะ ยังงงตัวเองเลย ไปเคยรู้จักหมอหล่อๆแบบนี้ได้ไงกันอ่ะเธอ” พลอยฟ้ายังคงสงสัย ตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของคุณหมอผิวขาว คิ้วเข้ม ใบหน้าใสเหมือนผิวเด็ก ตาเป็นประกายสีฟ้านิดๆด้วยเงาคอนแทคเลนส์ เมื่อมองไปแล้วก็วกสายตากลับมาจับสังเกตพิรุธที่สายตาของเพื่อนสาวเช่นกัน
“ อ๋อ !นึกออกแล้ว เห็นเธอชำเลืองตลอดเลย เธอรู้จักใช่มั้ยละยัยพริ้ม” คนถูกรู้ทันหน้าเริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้นเรื่อยๆ พิมพ์รตาเบนสายตาไปมองที่พื้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ใจเต้นรัว
“ บ้า! ใครจะไปรู้จักยะ” ปากปฏิเสธแต่ใจรู้อยู่เต็มอก แน่ใจตั้งแต่ได้ยินประกาศเรียกชื่อแล้ว ทั้งชื่อทั้งนามสกุลชัดเจนขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมต้องใจเต้นเหมือนกัน ก็ไหนไม่เคยสนใจเคยชอบนี่นา
“คุณพิมพ์รตา เมธาวรินทร์ เชิญพบคุณหมอที่ห้องตรวจหมายเลข 2 ค่ะ” เสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่ ทำให้พิมพ์รตาหันมาคว้ากระเป๋าที่วางข้างๆตัว ลืมเรื่อง “คุณหมอหน้าเข้ม” คนนั้นก่อนแล้วเดินเข้าไปในห้องหมายเลขหนึ่ง
ประตูห้องตรวจถูกผลักมาจากบุคคลข้างนอก พิมพ์รตาหันมองตามผู้ที่เข้ามาใหม่ โลกช่างกลมอะไรอย่างนี้ คุณหมอคนเดิมนั่งลงตรงโต๊ะตรวจด้านหน้า
“เป็นอะไรมาครับ” คุณหมอเพ่งดูแฟ้มประวัติของเธอ พลางเงยหน้ามองแว่บหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านต่อ พิมพ์รตาใจฝ่อลงทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากเขาที่ทำเหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน เธอแน่ใจว่าต้องใช่เขา ลำคอตีบขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะปล่อยเสียงเล็ดลอดออกมา
“รู้สึกร้อนในค่ะ มีไข้ เจ็บกระพุ้งแก้มด้วยค่ะ”
เขาหยิบปรอทวัดไข้ส่งให้ ขณะที่รอเสียงสัญญาณเตือนจากการวัดไข้ เขาก็หยิบไฟฉายขึ้นมา
“ขอหมอดูกระพุ้งแก้มบริเวณที่เจ็บหน่อยนะครับ” เขาเอ่ยอย่างสุภาพ เธอต้องอ้าปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกเขินๆเหมือนกัน ก็เคยอ้าปากโชว์แผลร้อนในให้ผู้ชายที่เคยมาจีบดูสักคนที่ไหนละ มันน่าเสียฟอร์มยังไงไม่รู้ ใครๆก็เห็นเธอแต่ภาพลักษณ์ดูดี รักษากริยาทั้งนั้น
“เป็นแผลใหญ่เหมือนกันนะครับ ช่วงนี้ต้องงดอาหารรสจัด ทานน้ำเยอะๆ พักผ่อนมากๆนะครับ” เขารับปรอทจากเธอมาอ่านอุณหภูมิ “มีไข้ต่ำๆ เดี๋ยวหมอจัดยาให้ครับ มียาทานและยาทาบริเวณแผลด้วยนะครับ”
เขาพูดพลางก้มหน้าเขียนสั่งยา ขยุกขยิกลงไป ลายมือแบบฉบับของแพทย์นั่นแหละ เขาเห็นเธอยังคงนั่งนิ่ง จึงพูดขึ้นพร้อมกับผายมือทำท่าทางให้ออกไปข้างนอกได้แล้ว “เชิญครับ”
พิมพ์รตาตัดสินใจถามในสิ่งที่ยังค้างคาใจ “คุณหมอรชานนท์ ใช่มั้ยคะ จำพริ้ม เอ่อ.. จำดิฉันได้หรือเปล่าคะ”
คำตอบของเขาเกินสิ่งที่คาดเดา เหมือนโดนค้อนทุบเข้าท้ายทอยอย่างจัง
“จำไม่ได้ครับ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่ครับ” เขาตอบแบบสุภาพแต่คำตอบมีอานุภาพทำลายความรู้สึกของเธออย่างไม่น่าเชื่อ
“ค่ะ ขอโทษค่ะ ดิฉันคงจำคนผิด” พิมพ์รตาตัดบทสนทนาแล้วเดินออกมาจากห้องตรวจ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บปวด เพราะไม่เคยถูกปฏิเสธ หรือไม่เคยได้รับความหมางเมินจากเขามาก่อน เธอหน้าชา สู้ให้เขาบอกและแสดงอาการรู้จักแต่พูดไม่ดีเหมือนโกรธหรือเกลียดกันเสียยังดีกว่า อย่างน้อยยังได้รู้ว่าไม่เคยลืมกัน ยังมีความหมายต่อกันตลอดระยะเวลาห้าปีที่ไม่เจอกัน แต่การปฏิบัติเหมือนคนไข้คนหนึ่ง อาการเหมือนเธอไม่มีตัวตน มันยิ่งเจ็บกว่าไปถึงไหนๆ ไม่เคยมีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง ไม่มีใครทราบคำตอบนอกจากตัวเธอเองวันนี้ ทำไมเธอต้องคอยนั่งคิดถึงเขาทุกช่วงเวลาที่ว่าง แต่ไม่เคยได้พบกัน โทรไปก็ทราบว่าเขาเปลี่ยนเบอร์ พิมพ์รตาเคยบอกตัวเองว่าก็แค่คิดถึงเพื่อนเก่า และเธอก็คบหาใครไม่ได้นานสักคน คบแล้วคำตอบคือมันไม่ใช่ วันนี้เธอพบคำตอบแล้วว่าเพราะอะไร
อาการหมางเมินของเขา พิมพ์รตาอยากจะเอาชนะนัก มีสิทธิ์อะไรมาทำกันแบบนี้ เขาไม่ใช่หรือเมื่อก่อนที่เธอไหว้วานอะไร ก็รีบไปจัดการธุระให้ทุกครั้ง เขาไม่ใช่หรือที่คอยโทรมาห่วงใยสารพัด และเธอเองก็มอบนิยามของการคบหาระหว่างเธอและเขาแค่เพื่อนสนิท
ไม่จำเป็นเลยที่เขาต้องมาทำท่าทางไม่รู้จักกันแบบนี้ พิมพ์รตาน้อยใจจนน้ำตาแทบจะไหล แต่เธอบอกตัวเอง “ต้องไม่ร้อง คนอย่างพริ้มไม่เคยร้องไห้ให้ผู้ชายคนไหน เขาจะต้องกลับมา มาตรงนี้ที่เดิมที่เป็นที่ของเราสองคน”
พิมพ์รตานั่งรถกลับมาและเฝ้าครุ่นคิดตลอดทาง