เวลาเราดูละครน้ำเน่าทางทีวี เราอาจจะเผลอมีความรู้สึกไปตามการแสดงของตัวละคร หัวเราะ ร้องไห้ น้ำตาคลอ โกรธเกลียดตัวร้ายหรือนางอิจฉาจนอยากเอาทุเรียนไปปาหน้า ดูภาพสยดสยองของตัวละครที่ถูกทรมานทางทีวีแล้วสะอิดสะเอียน ทนดูไม่ได้ ฯลฯ
แต่พอมีคนมาสะกิดเบาๆ ว่า "นั่นมันแค่ละคร อย่าอินมาก" เราถึงเริ่มรู้สึกตัวว่ามันก็แค่ละคร เป็นแค่การแสดง ตัวละครในหนังบางคนอาจจะเสียชีวิตไปนานแล้วในชีวิตจริง มันเป็นเรื่องที่สมมุติกันขึ้นมาทั้งนั้น
ความจริงไม่มีอะไรเลย ถ้าเรายิ่งได้คิดต่อไปว่า ที่แท้มันก็มีแค่ แสงสีที่มีจุดกำเนิดจากเครื่องรับทีวี จากเม็ด pixel เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ เม็ดที่อยู่หลังจอทีวี มากระทบตา แล้วก็ดับไป แต่มีแสงสีเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายและอย่างรวดเร็วมากระทบจอประสาทตาอีก (ทำให้เกิดความรู้สึกลวงตาเหมือนกับว่า ภาพนั้นเคลือนไหวต่อเนื่องราวกับมีชีวตจริง ทั้งที่มันเกิดดับๆๆๆๆ อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
รวมทั้งเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดเสียงด้านหลังทีวี ที่มากระทบประสาทหู แล้วก็ดับไป แล้วก็มีคลื่นเสียงใหม่มากระทบ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่เกิดดับๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายและรวดเร็ว จึงทำให้สัญญาความทรงจำ รับรู้ความหมายของเสียง เกิดความรู้สึกไปตามความหมายนั้น
เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าทรงประจักษ์ในความจริงและเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายว่า "สันตติ" (การเกิดขึ้นอย่างสืบต่อเนื่องไม่ขาดสาย)
โลกก็เหมือนกับโรงละครใบใหญ่ ในแต่ละวัน เรามีความรู้สึกสุขทุกข์ โกรธ เกลียด ดีใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา ปลาบปลื้มยินดี ไปกับแสงสีเสียงรสสัมผัสที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้ง 5 และจิต
เสียงด่าของคนอื่นที่มากระทบหูเรา
รสอาหารที่แสนอร่อย
ภาพสิ่งสวยงามที่ปรากฏต่อหน้า
กลิ่นหอมที่มากระทบนาสิก
ฯลฯ
เสียงด่า เกิดขึ้นมากระทบประสาทหูแล้วก็ดับ แล้วเกิดใหม่แล้วดับอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง แต่ใจรับมันไปปั่นต่อเหมือนเครื่องปั่น ทำให้โกรธแค้น แม้เสียงนั้นจะดับไปนานแล้ว
ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฎ ที่แท้ก็คือแสงที่มากระทบวัตถุ แล้วสะท้อนเข้าจักษุประสาท การเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำให้รับรู้เป็นภาพเคลื่อนไหว เกิดเป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ต่อสิ่งที่เห็น
อุปาทานขันธ์ห้า ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เห็น เหมือนกับแม่ค้าที่ดูละครน้ำเน่าแล้วเกิดความรู้สึกไปกับมันโดยไม่รู้ตัวว่ามันก็แค่ละครเรื่องหนึ่ง
เคยคิดไหมว่าโลกก็เหมือนโรงละครใบใหญ่?
แต่พอมีคนมาสะกิดเบาๆ ว่า "นั่นมันแค่ละคร อย่าอินมาก" เราถึงเริ่มรู้สึกตัวว่ามันก็แค่ละคร เป็นแค่การแสดง ตัวละครในหนังบางคนอาจจะเสียชีวิตไปนานแล้วในชีวิตจริง มันเป็นเรื่องที่สมมุติกันขึ้นมาทั้งนั้น
ความจริงไม่มีอะไรเลย ถ้าเรายิ่งได้คิดต่อไปว่า ที่แท้มันก็มีแค่ แสงสีที่มีจุดกำเนิดจากเครื่องรับทีวี จากเม็ด pixel เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ เม็ดที่อยู่หลังจอทีวี มากระทบตา แล้วก็ดับไป แต่มีแสงสีเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายและอย่างรวดเร็วมากระทบจอประสาทตาอีก (ทำให้เกิดความรู้สึกลวงตาเหมือนกับว่า ภาพนั้นเคลือนไหวต่อเนื่องราวกับมีชีวตจริง ทั้งที่มันเกิดดับๆๆๆๆ อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
รวมทั้งเสียงที่เกิดจากเครื่องกำเนิดเสียงด้านหลังทีวี ที่มากระทบประสาทหู แล้วก็ดับไป แล้วก็มีคลื่นเสียงใหม่มากระทบ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่เกิดดับๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายและรวดเร็ว จึงทำให้สัญญาความทรงจำ รับรู้ความหมายของเสียง เกิดความรู้สึกไปตามความหมายนั้น
เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าทรงประจักษ์ในความจริงและเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายว่า "สันตติ" (การเกิดขึ้นอย่างสืบต่อเนื่องไม่ขาดสาย)
โลกก็เหมือนกับโรงละครใบใหญ่ ในแต่ละวัน เรามีความรู้สึกสุขทุกข์ โกรธ เกลียด ดีใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา ปลาบปลื้มยินดี ไปกับแสงสีเสียงรสสัมผัสที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้ง 5 และจิต
เสียงด่าของคนอื่นที่มากระทบหูเรา
รสอาหารที่แสนอร่อย
ภาพสิ่งสวยงามที่ปรากฏต่อหน้า
กลิ่นหอมที่มากระทบนาสิก
ฯลฯ
เสียงด่า เกิดขึ้นมากระทบประสาทหูแล้วก็ดับ แล้วเกิดใหม่แล้วดับอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง แต่ใจรับมันไปปั่นต่อเหมือนเครื่องปั่น ทำให้โกรธแค้น แม้เสียงนั้นจะดับไปนานแล้ว
ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฎ ที่แท้ก็คือแสงที่มากระทบวัตถุ แล้วสะท้อนเข้าจักษุประสาท การเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำให้รับรู้เป็นภาพเคลื่อนไหว เกิดเป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ต่อสิ่งที่เห็น
อุปาทานขันธ์ห้า ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เห็น เหมือนกับแม่ค้าที่ดูละครน้ำเน่าแล้วเกิดความรู้สึกไปกับมันโดยไม่รู้ตัวว่ามันก็แค่ละครเรื่องหนึ่ง