ยาวหน่อยน่ะค่ะ...สำหรับคนที่สนใจจริงๆ น่าจะทนอ่านหน่อยนะค่ะ
จำได้ว่า เคยมาตอบกระทู้ทำนองนี้ เมื่อปีสองปีที่แล้วในห้องศาสนานี่แหละ
เริ่มเลยล่ะกัน
เราเป็นคริสเตียน และเราเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง
• เรามักจะพบคนทั่วไปมักเรียกร้องให้พิสูจน์ตัวตนของพระเจ้าด้วยสัมผัสทั้งห้า คือ เขาต้อง “เห็นกับตา” “ได้ยินด้วยหู” “จับต้องและสัมผัสได้ด้วยมือ” (กลิ่น กับ รส อาจไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์เรื่องพระเจ้า)
• แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ เราจะจับต้องพระเจ้าได้ก็โดยทางวิญญาณจิตเท่านั้น
• แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะพิสูจน์เรื่องของพระเจ้าด้วยวิธีการทั่วๆไปในโลกยุคใหม่ไม่ได้
ในปัจจุบัน เราคิดว่ามีรูปแบบการพิสูจน์ 3 รูปแบบ ได้แก่
1. การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
2. การพิสูจน์ทางโบราณคดี
3. การพิสูจน์เชิงทฤษฎีและการใช้ตรรกะ
เรามาพิจารณา การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันก่อน
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
1. สังเกตุ
(บางคนมีอีกหนึ่งขั้นตอน คือ เก็บรวบรวมข้อมูล)
2. ตั้งสมมติฐาน
3. ทำการทดลองซ้ำๆ
4. สรุปผลและตั้งเป็นทฤษฎี
แล้วแม้แต่ ทฤษฎี หรือ กฎทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถยกเลิกได้ หากปรากฎว่ามีการทดลองหรือหลักฐานในภายหลังที่ขัดแย้งกับผลของทฤษฎีดังกล่าว
ก. การพิสูจน์เรื่องจุดกำเนิดของจักรวาล
พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นจุดกำเนิดของสรรพจักรวาล การที่เราจะพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยวิทยาศาสตร์คงจะยากลำบาก เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้งได้ แต่เราก็พอจะใช้เหตุผลเปรียบเทียบเพื่อดูว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดได้
ที่จริงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่เป็นคริสเตียน เช่น ไอแซค นิวตัน (ท่านเป็นนักเทศน์ด้วย คำเทศน์ของท่านยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอังกฤษ) , ไมเคิล ฟาราเดย์, โรเบิร์ต บอยล์
(ข้อมูลจาก www.wikipedia.com)
แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วพยายามสร้างแนวความคิดว่า จักรวาลและโลกนี้ไม่มีผู้สร้าง แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยใช้แนวคิดตามทฤษฎีวิวัฒนาการ และ ทฤษฎีบิ๊กแบงค์ พออธิบายได้สังเขปดังนี้
เดิมจักรวาลเป็นอนุภาคที่เล็กแต่มีมวลสูงมาก ได้เกิดการระเบิดขึ้น เรียกว่าบิ๊กแบงค์ แล้วด้วยความบังเอิญจึงเกิดสิ่งมีชีวิต แล้ววิวัฒนาการ กลายพันธ์มาเรื่อยๆ จนเป็นมนุษย์และสัตว์ต่างๆในปัจจุบัน เรียกว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ
ให้เรามาพิจารณาอย่างเป็นธรรมด้วยกัน
ประการแรก ทั้งบิ๊กแบงค์และทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ใช่ “ทฤษฎี”ทางวิทยาศาสตร์ เพราะไม่เคยมีการทดลองซ้ำๆหลายครั้งแล้วให้ผลออกมาเหมือนกันทุกครั้ง ที่จริงบิ๊กแบงค์และวิวัฒนาการ เป็นเพียง “แนวความคิด” หรือ “สมมติฐาน” เท่านั้น
ประการที่สอง ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ หากพบการทดลองหรือหลักฐานใดที่ขัดแย้งกับทฤษฎี ก็แสดงว่าทฤษฎีนั้นไม่สมบูรณ์หรือผิดพลาด เมื่อพิจารณาเรื่องวิวัฒนาการ เราพบว่ามีหลักฐานที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนี้เป็นจำนวนมาก เช่น
1. ทฤษฎีวิวัฒนาการ เกิดจากทฤษฎีพื้นฐาน 3 ทฤษฎี ได้แก่ การคัดสรรตามธรรมชาติ(ยีราฟคอยาวอยู่รอด) การใช้และไม่ใช้(อวัยวะที่ไม่ใช้จะหายไป) และ การผ่าเหล่า (ออกลูกมามีสองหัว เป็นต้น)
a. จำได้ว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการอ้างการทดลองหนึ่งแล้วสรุปว่าทฤฏีการใช้และไม่ใช้นั้นถูกต้อง
ทำนองเดียวกัน มีการทดลองตัดหางหนู แล้วให้ออกลูกเป็นระยะ 20 รุ่น ทุกรุ่นมีหาง กาทดลองนี้ค้านทฤษฎีการใช้และไม่ใช้ข้างต้น แล้วเกิดเป็นข้อสรุป(ทฤษฎีที่ถุก) ว่า ลักษณะที่ถ่ายทอดสู่ลูกหลานต้องเป็นเซลสืบพันธ์(ยีน) ไม่ใช่เซลร่างกาย
b. ข้อมูลของสัตว์ที่เกิดจากการผ่าเหล่า 100% เป็นลักษณะด้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับการอ้างอิงของทฤษฎีวิวัฒนาการที่เป็นการพัฒนาขึ้นสู่สปีชีย์ใหม่
c. ล่อ สัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธ์ระหว่างม้ากับลา ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ ยืนยันว่า สัตว์ที่พัฒนาเป็นพันธ์อื่น ไม่สามารถสืบทอดลูกหลานได้
2. ทฤษฎีวิวัฒนาการกับธรณีวิทยา
ทฤษฎีวิวัฒนาการใช้ฟอสซิลตามชั้นหินต่างๆมาสนับสนุนทฤษฎี
แต่ที่จริงหากทฤษฎีวิวัฒนาการถูก ชั้นหินล่างสุดต้องเป็นฟอสซิวของสัตว์วิวัฒนาการต่ำ ชั้นหินที่สูงมา ก็ต้องเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการสูง และ ต้องไม่มีสัตว์ต่างยุคสมัยกันอยู่ชั้นหินเดียวกัน
แต่ข้อมูลที่ขุดพบได้ มีทั้งฟอสซิวสัตว์ต่างยุคสมัยถูกขุดพบด้วยกันในชั้นหินเดียวกัน และ มีทั้งสัตว์วิวัฒนาการต่ำอยู่ชั้นหินสูงกว่าสัตว์อีกประเภทหนึ่ง
3. สัตว์ที่เป็นรอยต่อ
มีการพบปลาที่ต้องสูญพันธ์ไปแล้ว
มีการพบนกที่ปีกมีเล็บ(ซึ่งควรวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานได้แล้ว)
มนุษย์ลิง ที่เคยอ้างว่าเป็นรอยต่อระหว่างลิงกับคน ปัจจุบันวิทยาการห้องเล็บก้าวหน้ามากจนพิสูจน์ได้ว่า เป็นหลักฐานลวงโลก
(อ้างอิง Science Digest ฉบับที่ 39 หน้า 35 กล่าวว่า “ซากมนุษย์นีแอลเดอร์ธัลเป็นเพียงคนที่รูปร่างพิการ อาหารการกินของผู้นี้ขาดวิตามินดีอย่างแน่นอน” หรือมนุษย์พิลท์ดาวน์ แท้จริงกระดูกขากรรไกรเป็นของลิง,นมุษย์เนบราสก้า ซึ่งเราพบแค่ฟันหนึ่งซี่ แต่ต่อมาปรากฏว่าเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง เท่านั้น)
อาจจะมีประเด็นแย้งอื่นๆอีก แต่ที่จริงแม้เพียงข้อมูลหรือการทดลองที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเพียงชิ้นเดียว ก็ต้องล้มทฤษฎีนั้นๆแล้ว อย่าว่าแต่มีการขัดแย้งทฤษฎีตั้งหลายเรื่องดังที่ยกมาข้างบน แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้กลับไม่ถูกยกเลิก
ประการที่สาม เคยมีการทดลองในห้องแล็ป โดยใช้อนินทรียสารมาควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้วใช้พลังงานกระตุ้น อนินทรียสารเหล่านั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นอินทรีย์สารขึ้น ซึ่งกลุ่มนักวิทยาศาตร์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ได้ใช้ผลการทดลองนี้เพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น
แต่ที่จริง การทดลองของพวกเขากับยิ่งพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตต้องถูกสร้างขึ้น (นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเป็นผู้สร้าง) ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และรับพลังงานที่เหมาะสม ในลำดับเวลาก่อนหลังที่ถูกต้องอย่างที่ทำในห้องแล็ป(ต้องมีผู้ควบคุม) ซึ่งเป็นการพิสูจน์แนวคิดของคริสเตียนว่าถูกต้อง คือ มีผู้ควบคุมในการสร้างโลกและสิ่งมีชีวิต
(ตอบกระทู้) พระเจ้ามีจริง
จำได้ว่า เคยมาตอบกระทู้ทำนองนี้ เมื่อปีสองปีที่แล้วในห้องศาสนานี่แหละ
เริ่มเลยล่ะกัน
เราเป็นคริสเตียน และเราเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง
• เรามักจะพบคนทั่วไปมักเรียกร้องให้พิสูจน์ตัวตนของพระเจ้าด้วยสัมผัสทั้งห้า คือ เขาต้อง “เห็นกับตา” “ได้ยินด้วยหู” “จับต้องและสัมผัสได้ด้วยมือ” (กลิ่น กับ รส อาจไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์เรื่องพระเจ้า)
• แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ เราจะจับต้องพระเจ้าได้ก็โดยทางวิญญาณจิตเท่านั้น
• แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะพิสูจน์เรื่องของพระเจ้าด้วยวิธีการทั่วๆไปในโลกยุคใหม่ไม่ได้
ในปัจจุบัน เราคิดว่ามีรูปแบบการพิสูจน์ 3 รูปแบบ ได้แก่
1. การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
2. การพิสูจน์ทางโบราณคดี
3. การพิสูจน์เชิงทฤษฎีและการใช้ตรรกะ
เรามาพิจารณา การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันก่อน
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
1. สังเกตุ
(บางคนมีอีกหนึ่งขั้นตอน คือ เก็บรวบรวมข้อมูล)
2. ตั้งสมมติฐาน
3. ทำการทดลองซ้ำๆ
4. สรุปผลและตั้งเป็นทฤษฎี
แล้วแม้แต่ ทฤษฎี หรือ กฎทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถยกเลิกได้ หากปรากฎว่ามีการทดลองหรือหลักฐานในภายหลังที่ขัดแย้งกับผลของทฤษฎีดังกล่าว
ก. การพิสูจน์เรื่องจุดกำเนิดของจักรวาล
พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นจุดกำเนิดของสรรพจักรวาล การที่เราจะพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยวิทยาศาสตร์คงจะยากลำบาก เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้งได้ แต่เราก็พอจะใช้เหตุผลเปรียบเทียบเพื่อดูว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดได้
ที่จริงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่เป็นคริสเตียน เช่น ไอแซค นิวตัน (ท่านเป็นนักเทศน์ด้วย คำเทศน์ของท่านยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอังกฤษ) , ไมเคิล ฟาราเดย์, โรเบิร์ต บอยล์
(ข้อมูลจาก www.wikipedia.com)
แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วพยายามสร้างแนวความคิดว่า จักรวาลและโลกนี้ไม่มีผู้สร้าง แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยใช้แนวคิดตามทฤษฎีวิวัฒนาการ และ ทฤษฎีบิ๊กแบงค์ พออธิบายได้สังเขปดังนี้
เดิมจักรวาลเป็นอนุภาคที่เล็กแต่มีมวลสูงมาก ได้เกิดการระเบิดขึ้น เรียกว่าบิ๊กแบงค์ แล้วด้วยความบังเอิญจึงเกิดสิ่งมีชีวิต แล้ววิวัฒนาการ กลายพันธ์มาเรื่อยๆ จนเป็นมนุษย์และสัตว์ต่างๆในปัจจุบัน เรียกว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ
ให้เรามาพิจารณาอย่างเป็นธรรมด้วยกัน
ประการแรก ทั้งบิ๊กแบงค์และทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ใช่ “ทฤษฎี”ทางวิทยาศาสตร์ เพราะไม่เคยมีการทดลองซ้ำๆหลายครั้งแล้วให้ผลออกมาเหมือนกันทุกครั้ง ที่จริงบิ๊กแบงค์และวิวัฒนาการ เป็นเพียง “แนวความคิด” หรือ “สมมติฐาน” เท่านั้น
ประการที่สอง ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ หากพบการทดลองหรือหลักฐานใดที่ขัดแย้งกับทฤษฎี ก็แสดงว่าทฤษฎีนั้นไม่สมบูรณ์หรือผิดพลาด เมื่อพิจารณาเรื่องวิวัฒนาการ เราพบว่ามีหลักฐานที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนี้เป็นจำนวนมาก เช่น
1. ทฤษฎีวิวัฒนาการ เกิดจากทฤษฎีพื้นฐาน 3 ทฤษฎี ได้แก่ การคัดสรรตามธรรมชาติ(ยีราฟคอยาวอยู่รอด) การใช้และไม่ใช้(อวัยวะที่ไม่ใช้จะหายไป) และ การผ่าเหล่า (ออกลูกมามีสองหัว เป็นต้น)
a. จำได้ว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการอ้างการทดลองหนึ่งแล้วสรุปว่าทฤฏีการใช้และไม่ใช้นั้นถูกต้อง
ทำนองเดียวกัน มีการทดลองตัดหางหนู แล้วให้ออกลูกเป็นระยะ 20 รุ่น ทุกรุ่นมีหาง กาทดลองนี้ค้านทฤษฎีการใช้และไม่ใช้ข้างต้น แล้วเกิดเป็นข้อสรุป(ทฤษฎีที่ถุก) ว่า ลักษณะที่ถ่ายทอดสู่ลูกหลานต้องเป็นเซลสืบพันธ์(ยีน) ไม่ใช่เซลร่างกาย
b. ข้อมูลของสัตว์ที่เกิดจากการผ่าเหล่า 100% เป็นลักษณะด้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับการอ้างอิงของทฤษฎีวิวัฒนาการที่เป็นการพัฒนาขึ้นสู่สปีชีย์ใหม่
c. ล่อ สัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธ์ระหว่างม้ากับลา ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ ยืนยันว่า สัตว์ที่พัฒนาเป็นพันธ์อื่น ไม่สามารถสืบทอดลูกหลานได้
2. ทฤษฎีวิวัฒนาการกับธรณีวิทยา
ทฤษฎีวิวัฒนาการใช้ฟอสซิลตามชั้นหินต่างๆมาสนับสนุนทฤษฎี
แต่ที่จริงหากทฤษฎีวิวัฒนาการถูก ชั้นหินล่างสุดต้องเป็นฟอสซิวของสัตว์วิวัฒนาการต่ำ ชั้นหินที่สูงมา ก็ต้องเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการสูง และ ต้องไม่มีสัตว์ต่างยุคสมัยกันอยู่ชั้นหินเดียวกัน
แต่ข้อมูลที่ขุดพบได้ มีทั้งฟอสซิวสัตว์ต่างยุคสมัยถูกขุดพบด้วยกันในชั้นหินเดียวกัน และ มีทั้งสัตว์วิวัฒนาการต่ำอยู่ชั้นหินสูงกว่าสัตว์อีกประเภทหนึ่ง
3. สัตว์ที่เป็นรอยต่อ
มีการพบปลาที่ต้องสูญพันธ์ไปแล้ว
มีการพบนกที่ปีกมีเล็บ(ซึ่งควรวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานได้แล้ว)
มนุษย์ลิง ที่เคยอ้างว่าเป็นรอยต่อระหว่างลิงกับคน ปัจจุบันวิทยาการห้องเล็บก้าวหน้ามากจนพิสูจน์ได้ว่า เป็นหลักฐานลวงโลก
(อ้างอิง Science Digest ฉบับที่ 39 หน้า 35 กล่าวว่า “ซากมนุษย์นีแอลเดอร์ธัลเป็นเพียงคนที่รูปร่างพิการ อาหารการกินของผู้นี้ขาดวิตามินดีอย่างแน่นอน” หรือมนุษย์พิลท์ดาวน์ แท้จริงกระดูกขากรรไกรเป็นของลิง,นมุษย์เนบราสก้า ซึ่งเราพบแค่ฟันหนึ่งซี่ แต่ต่อมาปรากฏว่าเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง เท่านั้น)
อาจจะมีประเด็นแย้งอื่นๆอีก แต่ที่จริงแม้เพียงข้อมูลหรือการทดลองที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเพียงชิ้นเดียว ก็ต้องล้มทฤษฎีนั้นๆแล้ว อย่าว่าแต่มีการขัดแย้งทฤษฎีตั้งหลายเรื่องดังที่ยกมาข้างบน แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้กลับไม่ถูกยกเลิก
ประการที่สาม เคยมีการทดลองในห้องแล็ป โดยใช้อนินทรียสารมาควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้วใช้พลังงานกระตุ้น อนินทรียสารเหล่านั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นอินทรีย์สารขึ้น ซึ่งกลุ่มนักวิทยาศาตร์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ได้ใช้ผลการทดลองนี้เพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น
แต่ที่จริง การทดลองของพวกเขากับยิ่งพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตต้องถูกสร้างขึ้น (นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเป็นผู้สร้าง) ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และรับพลังงานที่เหมาะสม ในลำดับเวลาก่อนหลังที่ถูกต้องอย่างที่ทำในห้องแล็ป(ต้องมีผู้ควบคุม) ซึ่งเป็นการพิสูจน์แนวคิดของคริสเตียนว่าถูกต้อง คือ มีผู้ควบคุมในการสร้างโลกและสิ่งมีชีวิต