สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
คิดไปเองหรอเปล่าครับ
ที่บินวนรอเพราะเร็วไปนี่ ปรกติเขาไม่วนรอเพราะเร็วไปหรอก เขาวนรอเพราะติดการจราจรที่สนามบินปลายทาง บินวนรอเพราะติดสภาพอากาศ
และสำหรับแอร์เอเชีย(และสายการบินเกือบทุกสายในภูมิภาคนี้) บอร์ดดิงไทม์จะเขียนไว้ก่อนเวลาจริงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สถานีที่ไม่ใช่ Hub เพราะว่า ในเวลา Boarding time จะเขียนไว้ 30-40 นาทีก่อนเครื่องออก (เพื่อให้ผู้โดยสารไปที่เกทเร็วๆ) แต่จริงๆ แล้วเครื่องบิน(โดยเฉพาะโลวคอสต์) จะไปถึงสถานีแค่ 30-25 นาทีก่อนบินกลับ ดังนั้นในความเป็นจริงเขาเรียกขึ้นเครื่องได้หลังจากบอร์ดดิงไทม์ทั้งนั้นแหละ (เพราะเครื่องยังไม่มา)
อีกประการหนึ่งคือ ความเร็วในการเดินทางเขาก็มีการส่งไฟลท์แปลนให้กับทั้งสนามบินและวิทยุการบินครับ และมีคนคอยกำหนดอยู่ ดังนั้นทั้งเส้นทางการบินและความเร็วถ้าในประเทศนี้ไม่มีทางที่นักบินจะทำได้ตามใจเลยครับ เพราะว่าวิทยุการบินควบคุมหมด (ลองหาหนังสือหรือนิตยสารที่ให้ข้อมูลเรื่องวิทยุการบินอ่านดูนะครับ) นอกจากนั้น ความเร็วบนฟ้าจะค่อนข้างแน่นอนมากๆ โดยนักบินรวมถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบินจะสามารถคำนวนได้ในไม่ช้าหลังจากทำการบินขึ้นว่า จะไปถึงปลายทางเวลากี่โมง โดยคำนวนเวลาจากเส้นทางการบินที่ใช้ ความเร็วที่ใช้ ความเร็วของลมที่ส่งท้ายหรือต้านในช่วงต่างๆ ของการเดินทาง ตามแผนบินหรือไฟลท์แปลนที่ส่งไป(เราจึงเห็น เวลา confirmed arrival time ที่จอของสนามบินปลายทางได้อย่างแม่นยำ แม้เครื่องบินจะเพิ่งขึ้นออกจากต้นทางได้ไม่กี่นาทีและอยู่ห่างจากปลายทางหลายพันกิโลเมตร)
เรื่องความรู้สึกว่าบินเร็วๆมากๆ แล้วหัวสั่นคลอนนี่ยิ่งเป็นไปได้ยากครับ เพราะว่าจริงๆ แล้ว บินปรกติเครื่องบินก็ทำความเร็วราว ๆ 7-800 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าความเร็วจะเปลี่ยนไปจนถึงขนาดคนที่นั่งรู้สึกได้นี่จะต้องเปลี่ยนไปชนิดเกินร้อยละ 50 ของความเร็วเดิมซึ่งนั่นอาจจะเกินขีดจำกัดของเครื่องบินพาณิชย์ด้วยซ้ำ อาการสั่นคลอนที่รู้สึกน่าจะมาจากกระแสลมมากกว่าครับ ยิ่งกระแสลมแรง(ซึ่งมีผลต่อความเร็วเครื่องบินด้วย แม้นักบินจะใช้ความเร็วของเครื่องบินเท่าเดิม แต่ลมที่ส่งหรือต้านแรงก็จะทำให้ความเร็วที่ใช้เดินทางเปลี่ยน) อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกสั่นคลอนได้ง่าย
ที่บินวนรอเพราะเร็วไปนี่ ปรกติเขาไม่วนรอเพราะเร็วไปหรอก เขาวนรอเพราะติดการจราจรที่สนามบินปลายทาง บินวนรอเพราะติดสภาพอากาศ
และสำหรับแอร์เอเชีย(และสายการบินเกือบทุกสายในภูมิภาคนี้) บอร์ดดิงไทม์จะเขียนไว้ก่อนเวลาจริงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สถานีที่ไม่ใช่ Hub เพราะว่า ในเวลา Boarding time จะเขียนไว้ 30-40 นาทีก่อนเครื่องออก (เพื่อให้ผู้โดยสารไปที่เกทเร็วๆ) แต่จริงๆ แล้วเครื่องบิน(โดยเฉพาะโลวคอสต์) จะไปถึงสถานีแค่ 30-25 นาทีก่อนบินกลับ ดังนั้นในความเป็นจริงเขาเรียกขึ้นเครื่องได้หลังจากบอร์ดดิงไทม์ทั้งนั้นแหละ (เพราะเครื่องยังไม่มา)
อีกประการหนึ่งคือ ความเร็วในการเดินทางเขาก็มีการส่งไฟลท์แปลนให้กับทั้งสนามบินและวิทยุการบินครับ และมีคนคอยกำหนดอยู่ ดังนั้นทั้งเส้นทางการบินและความเร็วถ้าในประเทศนี้ไม่มีทางที่นักบินจะทำได้ตามใจเลยครับ เพราะว่าวิทยุการบินควบคุมหมด (ลองหาหนังสือหรือนิตยสารที่ให้ข้อมูลเรื่องวิทยุการบินอ่านดูนะครับ) นอกจากนั้น ความเร็วบนฟ้าจะค่อนข้างแน่นอนมากๆ โดยนักบินรวมถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบินจะสามารถคำนวนได้ในไม่ช้าหลังจากทำการบินขึ้นว่า จะไปถึงปลายทางเวลากี่โมง โดยคำนวนเวลาจากเส้นทางการบินที่ใช้ ความเร็วที่ใช้ ความเร็วของลมที่ส่งท้ายหรือต้านในช่วงต่างๆ ของการเดินทาง ตามแผนบินหรือไฟลท์แปลนที่ส่งไป(เราจึงเห็น เวลา confirmed arrival time ที่จอของสนามบินปลายทางได้อย่างแม่นยำ แม้เครื่องบินจะเพิ่งขึ้นออกจากต้นทางได้ไม่กี่นาทีและอยู่ห่างจากปลายทางหลายพันกิโลเมตร)
เรื่องความรู้สึกว่าบินเร็วๆมากๆ แล้วหัวสั่นคลอนนี่ยิ่งเป็นไปได้ยากครับ เพราะว่าจริงๆ แล้ว บินปรกติเครื่องบินก็ทำความเร็วราว ๆ 7-800 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าความเร็วจะเปลี่ยนไปจนถึงขนาดคนที่นั่งรู้สึกได้นี่จะต้องเปลี่ยนไปชนิดเกินร้อยละ 50 ของความเร็วเดิมซึ่งนั่นอาจจะเกินขีดจำกัดของเครื่องบินพาณิชย์ด้วยซ้ำ อาการสั่นคลอนที่รู้สึกน่าจะมาจากกระแสลมมากกว่าครับ ยิ่งกระแสลมแรง(ซึ่งมีผลต่อความเร็วเครื่องบินด้วย แม้นักบินจะใช้ความเร็วของเครื่องบินเท่าเดิม แต่ลมที่ส่งหรือต้านแรงก็จะทำให้ความเร็วที่ใช้เดินทางเปลี่ยน) อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกสั่นคลอนได้ง่าย
ความคิดเห็นที่ 13
เอ่อ...เรื่อง "ซิ่ง" เนี่ยอาจเกิดขึ้นได้บ้างครับแต่ถึงขนาดที่ จขกท เล่ามาผมว่าไม่น่าใช่ครับ
ปกติแล้วนักบินจะใช้ความเร็วที่คำนวณตามแผนการบินที่วางไว้อยู่แล้วครับแต่อาจมีการยืดหยุ่นได้บ้างในกรณีที่เกิดการล่าช้าเช่น รอผู้โดยสาร ฝ่ายภาคพื้น หรือแม่แต่การจราจรภาคพื้นในสนามบิน เพื่อรักษาเวลาให้ได้ตามตารางบินครับ แต่ผลที่ได้จะทำให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้นอย่างเก่ง(เท่าที่ผมเจอมา) ก็10-15 นาทีครับ ยิ่งถ้าเป็นไฟลท์ใกล้ๆ(เช่นไฟลท์ในประเทศ หรือประเทศเพื่อนบ้าน)ยิ่งแทบไม่เห็นผลครับ
การออกจากรันเวย์หลังการลงจอดที่บางท่านคิดว่า เบรคแรงหัวทิ่มบ้าง ดริ๊ฟออกจากรันเวย์บ้าง บางครั้งก็เป็นคำสั่ง ATC หรือข้อกำหนดของบางสนามบินครับ ยกตัวอย่างที่ไทเปช่วงนี้ รันเวย์ปิด 1 เส้น ทางสนามบินจึงมีข้อกำหนดให้ออกจากรันเวย์ที่ทางออกความเร็วสูงแรกหรือทางถัดมาเท่านั้น เพื่อลดเวลาในการใช้รันเวย์ เครื่องอื่นจะได้ใช้วิ่งขึ้น-ลดจอดต่ออย่างต่อเนื่องครับ
ส่วนที่บางท่านติว่าบางสายการบิน"ซิ่ง"บน taxiway อันนี้เคยโดนกับตัวเหมือนกันครับ(เป็นผู้โดยฯเองนะครับ) ปกติความเร็วในช่วงนี้จะถูกจัดกัดด้วยข้อกำหนดของสนามบิน ATC ผู้ผลิตเครื่องบิน และนโยบายสายการบินครับ (แต่ละสายอาจกำหนดต่างกันได้แต่ต้องไม่เกิน/ขัดคำสั่งสามอย่างแรกแน่นอน)
การวนรอที่ปลายทางส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากความหนาแน่นของการจราจร ณ สนามบินนั้นๆ ไม่ก็หลีกทางให้ เครื่องฉุกเฉิน/VIP ลงก่อนครับ ไม่มีแน่นอนไอ้ที่ว่าไปถึงก่อนแล้วให้วนรอ(ยกเว้นบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น ถ้าไปถึงตอนเช้า สนามบินเค้ายังไม่อญุญาตให้ลงเพราะมีกฎห้ามลงก่อนกี่โมงก็ว่ากันไป อันนี้เค้าจะสั่งให้วนรอครับ) และถ้าผมจำไม่ผิดตอนนี้เครื่องช่วยการร่อนลงจอดแบบ ILS ที่สนามบินดอนเมืองกำลังปิดซ่อมบำรุงอยู่ 1 ข้างอาจเป็นสาเหตุร่วมให้มีการบินวนรอกันครับ
เรื่องจำกัดความเร็ว แต่ละเครื่องมี limit อยู่แล้วเรียกว่า Max Operating Spd/Mach No. ไม่มีนักบินคนไหนบินเกินนี้แน่ๆครับ และเอาเข้าจริงๆเวลาบิน ATC จะเป็นคนจัดการและสั่งความเร็วของเครื่องในบ้างครับเพื่อจัดระยะห่างระหว่างเครื่องแต่ละลำที่อยู่บน Airway (ถนนบนฟ้า)เดียวกันด้วยซ้ำครับ
นักบินอาจพยายามที่จะรักษาเวลาให้คุณผู้โดยสารทุกท่าน แต่ไม่มากไปกว่าความปลอดภัยหรอกครับ ไม่ต้องกลัว
ปกติแล้วนักบินจะใช้ความเร็วที่คำนวณตามแผนการบินที่วางไว้อยู่แล้วครับแต่อาจมีการยืดหยุ่นได้บ้างในกรณีที่เกิดการล่าช้าเช่น รอผู้โดยสาร ฝ่ายภาคพื้น หรือแม่แต่การจราจรภาคพื้นในสนามบิน เพื่อรักษาเวลาให้ได้ตามตารางบินครับ แต่ผลที่ได้จะทำให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้นอย่างเก่ง(เท่าที่ผมเจอมา) ก็10-15 นาทีครับ ยิ่งถ้าเป็นไฟลท์ใกล้ๆ(เช่นไฟลท์ในประเทศ หรือประเทศเพื่อนบ้าน)ยิ่งแทบไม่เห็นผลครับ
การออกจากรันเวย์หลังการลงจอดที่บางท่านคิดว่า เบรคแรงหัวทิ่มบ้าง ดริ๊ฟออกจากรันเวย์บ้าง บางครั้งก็เป็นคำสั่ง ATC หรือข้อกำหนดของบางสนามบินครับ ยกตัวอย่างที่ไทเปช่วงนี้ รันเวย์ปิด 1 เส้น ทางสนามบินจึงมีข้อกำหนดให้ออกจากรันเวย์ที่ทางออกความเร็วสูงแรกหรือทางถัดมาเท่านั้น เพื่อลดเวลาในการใช้รันเวย์ เครื่องอื่นจะได้ใช้วิ่งขึ้น-ลดจอดต่ออย่างต่อเนื่องครับ
ส่วนที่บางท่านติว่าบางสายการบิน"ซิ่ง"บน taxiway อันนี้เคยโดนกับตัวเหมือนกันครับ(เป็นผู้โดยฯเองนะครับ) ปกติความเร็วในช่วงนี้จะถูกจัดกัดด้วยข้อกำหนดของสนามบิน ATC ผู้ผลิตเครื่องบิน และนโยบายสายการบินครับ (แต่ละสายอาจกำหนดต่างกันได้แต่ต้องไม่เกิน/ขัดคำสั่งสามอย่างแรกแน่นอน)
การวนรอที่ปลายทางส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากความหนาแน่นของการจราจร ณ สนามบินนั้นๆ ไม่ก็หลีกทางให้ เครื่องฉุกเฉิน/VIP ลงก่อนครับ ไม่มีแน่นอนไอ้ที่ว่าไปถึงก่อนแล้วให้วนรอ(ยกเว้นบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น ถ้าไปถึงตอนเช้า สนามบินเค้ายังไม่อญุญาตให้ลงเพราะมีกฎห้ามลงก่อนกี่โมงก็ว่ากันไป อันนี้เค้าจะสั่งให้วนรอครับ) และถ้าผมจำไม่ผิดตอนนี้เครื่องช่วยการร่อนลงจอดแบบ ILS ที่สนามบินดอนเมืองกำลังปิดซ่อมบำรุงอยู่ 1 ข้างอาจเป็นสาเหตุร่วมให้มีการบินวนรอกันครับ
เรื่องจำกัดความเร็ว แต่ละเครื่องมี limit อยู่แล้วเรียกว่า Max Operating Spd/Mach No. ไม่มีนักบินคนไหนบินเกินนี้แน่ๆครับ และเอาเข้าจริงๆเวลาบิน ATC จะเป็นคนจัดการและสั่งความเร็วของเครื่องในบ้างครับเพื่อจัดระยะห่างระหว่างเครื่องแต่ละลำที่อยู่บน Airway (ถนนบนฟ้า)เดียวกันด้วยซ้ำครับ
นักบินอาจพยายามที่จะรักษาเวลาให้คุณผู้โดยสารทุกท่าน แต่ไม่มากไปกว่าความปลอดภัยหรอกครับ ไม่ต้องกลัว

แสดงความคิดเห็น
ใครมีประสบการณ์นั่งเครื่องบินขับซิ่งมั่ง!!!
ใน Boarding Pass บอกว่า Boarding 18.15 น. เอาเข้าจริง 18.30 แอร์เพิ่งจะมาเปิดเคาน์เตอร์แบบกระหืดกระหอบ และก็รีบๆ รนๆ ยังไงไม่รู้
พอเครื่องขึ้น กัปตันก็ซิ่งแหลก นั่งหัวสั่นหัวคลอนกันไปหมด รู้สึกได้เลยว่าบินเร็วมั่กๆ กัปตันไม่มีพูดคุยกะผู้โดยสารเหมือนทุกที
ใจเราก็ตุ้มๆ ต่อมๆ สักพักก็ไปหยุดรอ landing อีกเกือบ 20 นาที เข้าใจว่าน่าจะถึงเร็วกว่ากำหนดเกินไปเลยต้องบินลอยอยู่บนฟ้า
เราอยากรู้ว่าปกติขับเครื่องบินเขามีจำกัดความเร็วกันหรือเปล่า???
เข้าใจนะว่าตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญ แต่ขับซิ่งมันปลอดภัยไหม ใครพอจะมีความรู้มั่ง??
แบบนี้ร้องเรียนได้มั๊ย เคยเห็นแต่ร้องเรียน Flight Delay จริงๆ เราเจอแบบนี้มาหลายทีละ แต่ครั้งนี้รู้สึกเร็วจนเครียดบอกเลย