เชื่อเหลือเกินว่า ณ เวลานี้ คงจะมีหลายท่านกำลังเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว เมื่อจะเดินทางทั้งที คงจะขาดไม่ได้ที่จะต้องเตรียมความพร้อมของยานพาหนะเพื่อให้การเที่ยวครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ผมเองช่วงสงกรานต์ไม่ได้ไปไหนครับ ติดทำรถที่อู่ นั่งดูข่าวไปเรื่อยๆเมื่อสักครู่นี้ เลยคิดว่าน่าจะทำกระทู้ซักหนึ่งอัน เพื่อให้หลายๆท่านได้มีความรู้เพื่อจะได้เตรียมตัวออกเดินทางอย่างเหมาะสม ทั้งนี้รายละเอียด เป็นการเขียนสดๆ ไม่ได้ก๊อปปี้จากที่ใดมา ดังนั้นอาจจะช้าซักเล็กน้อย โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ
กยิราเจ กยิราเถนัง Via W = Fs
Let's begin
หม้อน้ำ
ในรถยนต์นั้นจะมีระบบหล่อเย็นหลักเลยก็คือหม้อน้ำ ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องตรวจสอบความพร้อมของหม้อน้ำให้เรียบร้อยนะครับ ว่ามีน้ำแห้งหรือน้ำไม่เต็มในหม้อน้ำมั๊ย วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นก็มีดังนี้ครับ
1. กระปุกพักน้ำ - ให้สังเกตุที่ข้างกระปุกนะครับ มันจะมีคำว่า Max-Min เขียนอยู่ข้างๆ เวลาเติมน้ำเข้าไปนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้อยู่ในช่วงใกล้ๆ Max จะดีที่สุด แต่อย่าลืมนะครับว่า ถึงแม้เราเติมจนถึงคำว่า Max แล้ว แต่น้ำจะยังไม่เต็มกระปุกนะครับ อย่าไปเติมจนเต็มล่ะ
2. หม้อน้ำ - ลองเปิดฝาหม้อน้ำดูครับ ว่าเต็มหรือเปล่า ถ้าไม่เต็ม ก็เติมเข้าไปซะ แล้วอย่าลืมปิดฝาให้แน่นด้วยนะครับ เคยเจอบางท่าน เติมแล้วเติมเลยไม่ยอมปิดฝา งานจะเข้าเอาง่ายๆนะครับ อ่อผมเกือบลืมว่า ควรจะตรวจสอบด้วยว่ามีรอยน้ำแห้งเกรอะตรวจุดไหนด้วยนะครับ เผื่อบางทีอาจจะเกิดการรั่วซึมตรงจุดใดจุดหนึ่งในหม้อน้ำ
Note: น้ำที่ใช้ควรจะเป็นน้ำสะอาด อาทิเช่น น้ำดื่ม หรือน้ำยาหม้อน้ำ เป็นต้นครับ ไม่ควรใช้น้ำประปา แต่ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ
3. พัดลมหม้อน้ำ - อันนี้ค่อนข้างจำเป็นเหมือนกันครับ ต้องดูว่าพัดลมนั้นทำงานมั๊ย โดยปกติแล้วพัดลมจะไม่ทำงานตลอดเวลา แต่จะทำงานควบคู่กับวาล์วน้ำ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ถ้าอุณหภูมิถึงจุดๆนึงเมื่อไหร่ มันก็จะทำงานเอง ประมาณนั้นนะครับ วิธีการตรวจสอบก็คือ สตาร์ทรถทิ้งไว้ โดยไม่ต้องเปิดแอร์ ดูเข็มความร้อนไปเรื่อยๆ พอเข็มความร้อนได้ระดับ เราก็เฝ้าดูพัดลมเลยครับว่าทำงานหรือไม่ ถ้าพัดลมไม่ทำงาน เข็มมันจะกระดิกเกินกว่าที่มันควรจะเป็น (ในกรณีรถเดิมๆไม่ได้ติดตั้งเกจวัดเพิ่มนะครับ)
เครื่องยนต์
ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ผมมองว่าถ้าเดินทางไกลมากๆ หากเครื่องยนต์ยังปกติและยังทำงานไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะก็ ให้เช็คแค่น้ำมันเครื่องก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ โดยหลักๆ จะต้องดูว่ามีรอยน้ำมันเครื่องรั่วซึมบ้างหรือไม่ ถ้าหากรั่วซึมหากเดินทางไกลมากๆ ก็ควรจะพกน้ำมันเครื่องสำรองไปบ้างครับ ส่วนวิธีการเช็คระดับน้ำมันเครื่องนั้นมีดังนี้
- ดึงแท่งวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา เอาทิชชู่หรือผ้า เช็ดให้สะอาด
- น้ำแท่งวัดระดับน้ำมันเครื่องเสียบเข้าไปที่เดิมจนแน่น แล้วดึงออกมาอีกครั้ง
- จะเห็นว่ามีน้ำมันเครื่องติดมากับแท่งวัดระดับด้วย ซึ่งเราควรจะให้ระดับน้ำมันเครื่องนั้น อยู่ระดับตรงกลางระหว่างค่า Min-Max ครับ จะดีที่สุด
- หากน้ำมันเครื่องพร่อง ก็เปิดฝาน้ำมันเครื่องที่อยู๋บนฝาสูบ เติมเข้าไปได้เลย
- หากน้ำมันเครื่องสีดำมากถึงดำมากที่สุด ให้เปลี่ยนเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องถึงระยะทางที่เค้ากำหนด ก็เปลี่ยนก่อนได้ครับ
Note: หากเกิดปัญหาฉุกเฉินน้ำมันเครื่องพร่องหรือขาดระหว่างการเดินทาง คุณสามารถเติมน้ำมันเครื่องยี่ห้ออื่น ความหนืดอื่น เข้าไปผสมได้เลยนะครับ ไม่ต้องกลัว มันไม่พังแน่นอนครับ
ช่วงล่าง
หากรถของคุณได้ถูกใช้งานเป็นประจำอยู่แล้ว คุณก็คงจะทราบว่ามีเสียงผิดปกติอื่นใดขึ้นบ้าง หากเกิดขึ้นก็ควรเตรียมความพร้อมโดยการไปเช็คตามอู่ว่า เสียงแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ ที่แนะนำให้ไปอู่ก็เพราะว่า เรื่องช่วงล่างนั้นค่อนข้างจะละเอียดอ่อนครับ คุณไม่สามารถวิเคราะห์อาการของรถยนต์เองได้ถ้าไม่มีเครื่องมือหรือมีความรู้ทางด้านรถยนต์ครับ แต่จะแนะนำการตรวจเช็คเบื้องต้นดังนี้ครับ
- หากมีแม่แรง ก็ยกรถขึ้นให้ลอยเลยครับ จากนั้นลองขยับล้อดูว่าแน่นหรือเปล่า ถ้ามันคลอนๆ แปลว่าลูกหมากอาจจะกลับบ้านเก่าไปแล้ว ควรเปลี่ยนครับ
- น็อตล้อควรจะตรวจสอบว่าแน่นจริงๆ บ่อยครั้งที่ผมเจอบางอู่ลืมขันย้ำน็อตล้อ ทำให้วิ่งๆไปแล้วล้อแกว่ง ถึงขั้นหลุดก็ยังเคยเจอครับ
- เปิดยางหุ้มแกนโช๊คมาส่องดูแกนของโช๊คอัพว่ามีรอยขูดขีดบ้างหรือไม่ ลองเอานิ้วลูบดูว่ามีน้ำมันเยิ้มที่แกนหรือไม่ ด้วยครับ โช๊คที่ดีจะต้องไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็น อ่อ โช๊คที่ดี จะต้องไม่มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆ เวลาตกหลุมด้วยนะครับ
- เช็คน้ำมันเบรคว่าไม่พร่องจากเดิม ถ้าพร่องต้องหากจุดรั่วให้เจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ข้อต่อที่แป๊บเบรคครับ
ข้อมูลด้านบนผมได้บอกถึงการเช็คเบื้องต้นเกี่ยวกับช่วงล่างนะครับ แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายๆท่านจะต้องเช็คซึ่งสำคัญมาก นั่นก็คือลมยาง ดังนั้นผมขออนุญาติยกยอดมาไว้ตรงส่วนนี้ให้ก็แล้วกันครับ
ยางรถยนต์
- ควรตรวจดูสภาพของยางว่ามีการแตกลายงาหรือไม่ ถ้าถึงขั้นแตกลายงาแล้ว ก็ควรเปลี่ยนให้เรียบร้อยครับเดี๋ยวงานจะเข้าระหว่างการเดินทางเอา
- เช็คดอกยางว่ายังเหลือมั๊ย สภาพยางแข็งหรือเปล่า ทั้งนี้คุณควรจะรู้อยู่แล้วว่า ยางถึงระยะที่ควรเปลี่ยนหรือยัง ถ้าถึงระยะที่กำหนด ก็ควรเปลี่ยนครับ ของแบบนี้อย่าไปเสียดายเงิน
- ลมยางควรเติมให้เหมาะสมครับ แต่สำหรับการเดินทางไกลนั้น ผมแนะนำว่า ควรจะเติมให้มากกว่า Spec ราวๆ 2-3 ปอนด์ ยกตัวอย่างเช่น หากรถเดิมเค้าให้เติม 32 ปอนด์ ถ้าจะเดินทางไกล ก็ควรจะเพิ่มเป็น 34-35 ปอนด์ครับ เช่นเดียวกัน หากมีผู้โดยสารเต็มคัน บรรทุกของเต็มลำ ก็ควรจะใช้ลมยางที่มากกว่าปกติด้วยครับ ตรงจุดนี้ควรตรวจเช็คให้ดี อย่าให้ลมยางอ่อน เพราะเมื่อวิ่งทางไกลนานๆ ถ้าลมยางอ่อน จะทำให้เกิดความร้อนสูงที่หน้าสัมผัสยาง ส่งผลให้ยางสึกหรอเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หรือหนักกว่านั้นอาจจะเกิดความเสียหายจนถึงขั้นยางแตกได้เลยนะครับ
Note: ควรเตรียมยางอะไหล่ไปให้พร้อมด้วยนะครับ รวมถึงเครื่องมือสำหรับเปลี่ยนยางเช็ค บล็อคถอดล้อ แม่แรง เป็นค้น
[ W = Fs ] [บทความ] มาเตรียมรถให้พร้อม ก่อนออกเดินทางกันเถอะ !!
กยิราเจ กยิราเถนัง Via W = Fs
Let's begin
ในรถยนต์นั้นจะมีระบบหล่อเย็นหลักเลยก็คือหม้อน้ำ ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องตรวจสอบความพร้อมของหม้อน้ำให้เรียบร้อยนะครับ ว่ามีน้ำแห้งหรือน้ำไม่เต็มในหม้อน้ำมั๊ย วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นก็มีดังนี้ครับ
1. กระปุกพักน้ำ - ให้สังเกตุที่ข้างกระปุกนะครับ มันจะมีคำว่า Max-Min เขียนอยู่ข้างๆ เวลาเติมน้ำเข้าไปนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้อยู่ในช่วงใกล้ๆ Max จะดีที่สุด แต่อย่าลืมนะครับว่า ถึงแม้เราเติมจนถึงคำว่า Max แล้ว แต่น้ำจะยังไม่เต็มกระปุกนะครับ อย่าไปเติมจนเต็มล่ะ
2. หม้อน้ำ - ลองเปิดฝาหม้อน้ำดูครับ ว่าเต็มหรือเปล่า ถ้าไม่เต็ม ก็เติมเข้าไปซะ แล้วอย่าลืมปิดฝาให้แน่นด้วยนะครับ เคยเจอบางท่าน เติมแล้วเติมเลยไม่ยอมปิดฝา งานจะเข้าเอาง่ายๆนะครับ อ่อผมเกือบลืมว่า ควรจะตรวจสอบด้วยว่ามีรอยน้ำแห้งเกรอะตรวจุดไหนด้วยนะครับ เผื่อบางทีอาจจะเกิดการรั่วซึมตรงจุดใดจุดหนึ่งในหม้อน้ำ
Note: น้ำที่ใช้ควรจะเป็นน้ำสะอาด อาทิเช่น น้ำดื่ม หรือน้ำยาหม้อน้ำ เป็นต้นครับ ไม่ควรใช้น้ำประปา แต่ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ
3. พัดลมหม้อน้ำ - อันนี้ค่อนข้างจำเป็นเหมือนกันครับ ต้องดูว่าพัดลมนั้นทำงานมั๊ย โดยปกติแล้วพัดลมจะไม่ทำงานตลอดเวลา แต่จะทำงานควบคู่กับวาล์วน้ำ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ถ้าอุณหภูมิถึงจุดๆนึงเมื่อไหร่ มันก็จะทำงานเอง ประมาณนั้นนะครับ วิธีการตรวจสอบก็คือ สตาร์ทรถทิ้งไว้ โดยไม่ต้องเปิดแอร์ ดูเข็มความร้อนไปเรื่อยๆ พอเข็มความร้อนได้ระดับ เราก็เฝ้าดูพัดลมเลยครับว่าทำงานหรือไม่ ถ้าพัดลมไม่ทำงาน เข็มมันจะกระดิกเกินกว่าที่มันควรจะเป็น (ในกรณีรถเดิมๆไม่ได้ติดตั้งเกจวัดเพิ่มนะครับ)
ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ผมมองว่าถ้าเดินทางไกลมากๆ หากเครื่องยนต์ยังปกติและยังทำงานไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะก็ ให้เช็คแค่น้ำมันเครื่องก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ โดยหลักๆ จะต้องดูว่ามีรอยน้ำมันเครื่องรั่วซึมบ้างหรือไม่ ถ้าหากรั่วซึมหากเดินทางไกลมากๆ ก็ควรจะพกน้ำมันเครื่องสำรองไปบ้างครับ ส่วนวิธีการเช็คระดับน้ำมันเครื่องนั้นมีดังนี้
- ดึงแท่งวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา เอาทิชชู่หรือผ้า เช็ดให้สะอาด
- น้ำแท่งวัดระดับน้ำมันเครื่องเสียบเข้าไปที่เดิมจนแน่น แล้วดึงออกมาอีกครั้ง
- จะเห็นว่ามีน้ำมันเครื่องติดมากับแท่งวัดระดับด้วย ซึ่งเราควรจะให้ระดับน้ำมันเครื่องนั้น อยู่ระดับตรงกลางระหว่างค่า Min-Max ครับ จะดีที่สุด
- หากน้ำมันเครื่องพร่อง ก็เปิดฝาน้ำมันเครื่องที่อยู๋บนฝาสูบ เติมเข้าไปได้เลย
- หากน้ำมันเครื่องสีดำมากถึงดำมากที่สุด ให้เปลี่ยนเลยนะครับ ไม่จำเป็นต้องถึงระยะทางที่เค้ากำหนด ก็เปลี่ยนก่อนได้ครับ
Note: หากเกิดปัญหาฉุกเฉินน้ำมันเครื่องพร่องหรือขาดระหว่างการเดินทาง คุณสามารถเติมน้ำมันเครื่องยี่ห้ออื่น ความหนืดอื่น เข้าไปผสมได้เลยนะครับ ไม่ต้องกลัว มันไม่พังแน่นอนครับ
หากรถของคุณได้ถูกใช้งานเป็นประจำอยู่แล้ว คุณก็คงจะทราบว่ามีเสียงผิดปกติอื่นใดขึ้นบ้าง หากเกิดขึ้นก็ควรเตรียมความพร้อมโดยการไปเช็คตามอู่ว่า เสียงแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ ที่แนะนำให้ไปอู่ก็เพราะว่า เรื่องช่วงล่างนั้นค่อนข้างจะละเอียดอ่อนครับ คุณไม่สามารถวิเคราะห์อาการของรถยนต์เองได้ถ้าไม่มีเครื่องมือหรือมีความรู้ทางด้านรถยนต์ครับ แต่จะแนะนำการตรวจเช็คเบื้องต้นดังนี้ครับ
- หากมีแม่แรง ก็ยกรถขึ้นให้ลอยเลยครับ จากนั้นลองขยับล้อดูว่าแน่นหรือเปล่า ถ้ามันคลอนๆ แปลว่าลูกหมากอาจจะกลับบ้านเก่าไปแล้ว ควรเปลี่ยนครับ
- น็อตล้อควรจะตรวจสอบว่าแน่นจริงๆ บ่อยครั้งที่ผมเจอบางอู่ลืมขันย้ำน็อตล้อ ทำให้วิ่งๆไปแล้วล้อแกว่ง ถึงขั้นหลุดก็ยังเคยเจอครับ
- เปิดยางหุ้มแกนโช๊คมาส่องดูแกนของโช๊คอัพว่ามีรอยขูดขีดบ้างหรือไม่ ลองเอานิ้วลูบดูว่ามีน้ำมันเยิ้มที่แกนหรือไม่ ด้วยครับ โช๊คที่ดีจะต้องไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็น อ่อ โช๊คที่ดี จะต้องไม่มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆ เวลาตกหลุมด้วยนะครับ
- เช็คน้ำมันเบรคว่าไม่พร่องจากเดิม ถ้าพร่องต้องหากจุดรั่วให้เจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ข้อต่อที่แป๊บเบรคครับ
ข้อมูลด้านบนผมได้บอกถึงการเช็คเบื้องต้นเกี่ยวกับช่วงล่างนะครับ แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายๆท่านจะต้องเช็คซึ่งสำคัญมาก นั่นก็คือลมยาง ดังนั้นผมขออนุญาติยกยอดมาไว้ตรงส่วนนี้ให้ก็แล้วกันครับ
- ควรตรวจดูสภาพของยางว่ามีการแตกลายงาหรือไม่ ถ้าถึงขั้นแตกลายงาแล้ว ก็ควรเปลี่ยนให้เรียบร้อยครับเดี๋ยวงานจะเข้าระหว่างการเดินทางเอา
- เช็คดอกยางว่ายังเหลือมั๊ย สภาพยางแข็งหรือเปล่า ทั้งนี้คุณควรจะรู้อยู่แล้วว่า ยางถึงระยะที่ควรเปลี่ยนหรือยัง ถ้าถึงระยะที่กำหนด ก็ควรเปลี่ยนครับ ของแบบนี้อย่าไปเสียดายเงิน
- ลมยางควรเติมให้เหมาะสมครับ แต่สำหรับการเดินทางไกลนั้น ผมแนะนำว่า ควรจะเติมให้มากกว่า Spec ราวๆ 2-3 ปอนด์ ยกตัวอย่างเช่น หากรถเดิมเค้าให้เติม 32 ปอนด์ ถ้าจะเดินทางไกล ก็ควรจะเพิ่มเป็น 34-35 ปอนด์ครับ เช่นเดียวกัน หากมีผู้โดยสารเต็มคัน บรรทุกของเต็มลำ ก็ควรจะใช้ลมยางที่มากกว่าปกติด้วยครับ ตรงจุดนี้ควรตรวจเช็คให้ดี อย่าให้ลมยางอ่อน เพราะเมื่อวิ่งทางไกลนานๆ ถ้าลมยางอ่อน จะทำให้เกิดความร้อนสูงที่หน้าสัมผัสยาง ส่งผลให้ยางสึกหรอเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หรือหนักกว่านั้นอาจจะเกิดความเสียหายจนถึงขั้นยางแตกได้เลยนะครับ
Note: ควรเตรียมยางอะไหล่ไปให้พร้อมด้วยนะครับ รวมถึงเครื่องมือสำหรับเปลี่ยนยางเช็ค บล็อคถอดล้อ แม่แรง เป็นค้น