โดย แอนโทนี่ บราวนี่
ไทมส์ 5 กุมภาพันธ์ 2005
ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับ ชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับความกลัวอย่างรุนแรง
อิฐก้อนแรกได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุก นิสซาร์ ฮัซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน
ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ
นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่
ครอบครัวนี้กำลังเตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลา
กว่า 3 ปี รถของนาย ฮัซเซน ถูกกระแทก ทุบตี และ ถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด
เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่
ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง
โดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า "พวกคริสต์สารเลว (Christian Bastard)"
ปัญหาไม่ได้มาจากสิ่งที่นายฮัซซัน ผู้มีบิดามารดามาจากปากีสถาน เชื่อ แต่มาจากสิ่งที่เขาไม่ได้เชื่อ เขาเกิดมาเป็นอิสลาม
แต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ได้ 8 ปีมาแล้ว และภรรยาของเขาก็มาจากปากีสถานและได้ทำตามด้วยเช่นกัน
ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลามอย่าง แคท สตีฟเว่นส์ (Cat Stevens) เจมิมาร์ คาน (Jemima Khan)
และบุตรของ แฟรงค์ ด๊อบซัน (Frank Dobson) เลขานุการองค์กรสุขภาพอย่างเป็นทางการ และ ลอร์ด เบิร์ต (Birt) ผู้อำนวยการทั่วไป
ของทาง BBC ได้ฉลองรื่นเริงกับศาสนาใหม่ของตน คนที่ออกจากอิสลามไปศาสนาอื่นกลับต้องประสบสารพันภัยคุกคาม
และการประทุษร้ายต่าง ๆ นาย ฮัซเซน เป็นบุรุษพยาบาล อายุ 39 ปี ในโรงพยาบาล แบดฟอร์ด
เป็นหนึ่งในเหยื่อชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบริเทน เหยื่อเหล่านี้จะถูกรังเกียจจากชุมชนมุสลิมรอบข้าง ถูกทำร้าย ถูกลักพาตัว
และบางรายถูกฆาตกรรม ถึงกับขนาดต้องมีองค์กรลับใต้ดินในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ที่ ออกจากอิสลามเลยทีเดียว
มีผู้ประเมินออกมาว่ามีมุสลิมกว่า 15 % ในสังคมตะวันตกที่เสื่อมศรัทธาในศาสนา ซึ่งหมายความว่าในบริเทนมีผู้ออกจากศาสนาร่วม 2 แสนคนเลยทีเดียว
สำหรับทางตำรวจนั้น เรื่องของสิทธิทางศาสนาและการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นพวกเขาจะถูกฟ้องร้องจากบรรดาเหยื่อได้
หากปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ปัญหาก็มีมาจากวิกฤตการณ์ความเป็นอิสลามตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ
เลวร้ายลงมากขึ้น เพราะบรรดามุสลิมถูกคุกคามมากยิ่งขึ้น
บรรดามุสลิมผู้ออกจากศาสนาจะถูกประหารชีวิตหรือจับขังคุกตามคำสอนของทางมุสลิม ในประเทศอิสลามหลาย ๆ ประเทศ
รวมถึงประเทศ ซาอุดิ อารเบีย ปากีสถาน อียิปต์ และ เยเมน
ในประเทศ เนเธอร์แลนด์นั้น อยัน ฮีร์สิ อาลี (Ayaan Hirsi Ali) สมาชิก MP มุสลิมอย่างเป็นทางการ จำต้องหลบซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างแอบ ๆ
หลังตนได้ประกาศละทิ้งความเชื่อทางโทรทัศน์

อยัน ฮีร์สิ อาลี
เจ้าชายแห่งเวลส์ ได้ทรงจัดประชุมกับผู้นำทางศาสนาเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อพิจารณาหาวิธีหยุดยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมกระทำการทารุณกรรม
ตามความเชื่อทางศาสนาในประเทศอื่น ๆ แต่ในบริเทนเองกลับได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
นายฮัซเซนได้บอกกับทาง ไทมส์ ว่า นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง ที่นี่คือประเทศอังกฤษที่ผมได้เกิดและเติบโตขึ้นมา แต่คุณคงไม่เคยจินตนการเลยว่า
คริสตศาสนิกชนจะต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ที่นี่ ตำรวจไม่ได้จับกุมผู้ใด เพียงแต่บอกพวกเขาให้ไปให้พ้นจากที่นั่นเสีย พวกเรารู้สึกถูกโดดเดี่ยว
และไม่สามารถทำอะไรได้เลย และผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธ์อำนาจอะไรเลย ถ้าหากนี่กลายเป็นกรณีการเหยียดสีผิวของคนขาวต่อคนเอเซียแทน
เรื่องนี้คงกลายเป็นประเด็นร้อนแรง เป็นการประท้วงยกใหญ่ไปแล้ว
นาย ฮัซเซนกล่าวว่า พวกเขาพยายามจะเอาผมออกจากบ้าน และผมต้องยืนยันจุดยืนในฐานะคริสตศาสนิกชนชาวเอเซีย
ยัซมิน (Yasmin) ผู้เติบโตมาในเขตเหนือของประเทศอังกฤษเคยถูกบังคับให้ออกจาเมืองที่เธอ อาศัยอยู่มาครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้
เธอกำลังพยายามขัดขืนไม่ให้ถูกขับไล่ออกไปอีก ยัซมินเติบโตมาในครอบครัวมุสลิม แต่ได้เปลี่ยนศาสนาหลังได้เห็นภาพนิมิต
ของพระเยซูคริสต์ในตอนที่เธอกำลัง ให้กำเนิดบุตรคนเล็กของเธอ และเธอได้รับศีลล้างบาปในตอนที่เธอมีอายุได้ 30 ปี
ครอบครัวดิฉันได้ตัดขาดฉันออกไปเลย พวกเขาคิดว่าฉันได้กระทำบาปที่ร้ายแรงที่สุดลงไปแล้ว เพราะพวกเขาเชื่อว่าฉันเกิดมาเป็นมุสลิม
ก็ต้องตายเป็นมุสลิม แม้แต่สามีของฉันเมื่อเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ตัดขาดกับลูกของฉัน มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งหลังรู้เรื่องนี้เขาก็พยายาม
จะบีบคอฉันในทันที นางยัซมินกล่าว มีก้อน อิฐขว้างผ่าน หน้าต่างของเราเข้ามา และตอนที่ฉันเดินบนถนนก็เจอคนอื่นถ่มน้ำลายรดใส่
พวกเขาคิดว่าฉันได้เหยียบย่ำอิสลาม เราต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจหลายต่อหลายครั้ง และต้องไปศาลเพื่อยื่นฟ้องสามีของฉันเอง
เพราะเขาคอยยุยงให้คนอื่นมาคอยทำร้ายฉัน
นางยัซมินได้หลบหนีไปยังพื้นที่อื่นของบริเทน แต่การคุกคามก็ยังคงดำเนินต่อไปทันทีที่ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นพบความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
"ฉันจะไม่ไปจากที่นี่อีกแล้ว" นาง ยัซมินกล่าว พร้อมเสริมว่าการเลือกปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดมากที่สุด
"พวกเขาปลิ้นปล้อนสิ้นดี พวกเขาต้องการให้เราอดรนทนยอมต่อทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาไม่เคยอดทนอะไรเลยต่อพวกเรา"
ขณะที่ กับในส่วนของผู้เปลี่ยนศาสนาอื่น ๆ นั้น นางยัซมิน ได้มีส่วนช่วยในการตั้งกลุ่มช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับเธอ
ไปทั่วประเทศอังกฤษ โดยมีจุดประสงค์ในการต่อต้านการกระทำที่เผด็จการ
"ไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องพบกันอย่างลับ ๆ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์เรื่องราวของกลุ่มเลย ซ้ำยังต้องคอยระแวงว่า
ผู้ที่มาเข้าร่วมจะเป็นไส้ศึกอีกด้วยหรือเปล่า มีผู้คนจำนวนมากได้เปลี่ยนศาสนาจากอิสลามสู่คริสต์ เรามีรายชื่อกว่า 70 คน อยู่บนลิสต์รายชื่อ
ผู้ช่วยเหลือของเรา และรายชื่อมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย เพราะว่าเราไม่ต้องการให้มีใครต้องประสบทุกข์ลำเข็ญเช่นพวกเราอีก" นางยัซมิน กล่าว
ถึงแม้จะมีหลายต่อหลายคนที่ประสบการคุกคามเช่นนี้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ประสบเคราะห์กรรมหนักกว่านั้นอีก
"มีเด็กสาวอายุ 18 ปี คนหนึ่งจากครอบครัวหนึ่งที่ยัซมินกำลังให้ความช่วยเหลืออยู่ เธอซ่อนพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไว้ในห้องของเธอ และแอบไปโบสถ์อย่างลับ ๆ
อยู่เป็นประจำ ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเธอ แต่พวกเขาเอาตัวธอไปปากีสถานตอนช่วงวันหยุด และ 3 สัปดาห์หลังจากนั้น เธอก็จมน้ำตาย
พวกเขาบอกว่าเธอออกไปกลางคืนแล้วพลัดลื่นตกแม่น้ำไปเอง แต่จริง ๆ เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่" นางยัซมินกล่าว
นาง นรู (รอดชีวิตจากการถูกฆาตกรรมโดยครอบครัวของเธอ หลังจากเธอบอกครอบครัวว่าเธอได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว
พวกเขาขังเธอไว้ในห้องตลอดฤดูร้อนเลยทีเดียว) กล่าวว่า "พวกเขากลัวว่าฉันจะไปพบคริสต์ศาสนิกชนคนอื่น ๆ ส่วนพี่ของฉัน
ก็คอยทำรุนแรงทุบตีฉันอยู่เสมอ จนกระทั่งภายหลังที่เขาพยายามจะฆ่าฉัน" นางรูธกล่าว และแม้แต่เพื่อนบ้านของเธอก็แนะนำให้
พาเธอไปฆ่าที่ปากีสถาน นาง นูร (Noor) จากมิดแลนด์ เติบโตมาเป็นมุสลิมแต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์เมื่ออายุ 21 ปี
"การบอกพ่อเป็นเรื่องที่ยากที่สุดที่ฉันเคยทำมา ฉันคิดว่าพ่อคงจะโกรธจัดขนาดฆ่าฉันได้ทันทีที่เห็น แต่พ่อฉันกลับมีท่าทีช็อคแทน" เธอกล่าว แต่ในท้ายสุด
พ่อของเธอก็ลักพาตัวเธอไปอยู่ดี
"เขาใช้วิธีที่รุนแรง พาครอบครัวไปปากีสถาน ไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่มีแม้แต่ถนนที่นำทางสู่หมู่บ้าน
เขากักฉันไว้ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี พร้อมคอยกดดันให้ฉันละทิ้งศาสนาคริสต์ ฉันต้องทนทุกข์ทั้งทางกายและทางใจเป็นเวลานาน
ที่สุดแสนใครจะทนไหวได้" เธอกล่าว
จนกระทั่งเมื่อพ่อของเธอตระหนักว่าไม่สามารถสั่นคลอนศรัทธาอันแน่วแน่ของเธอได้ เขาจึงยอมปล่อยเธอไปแต่ก็ตั้งกฎที่เข้มงวดตามมา
"ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง พ่อได้ขู่จะเอาชีวิตฉัน เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าหากใครซะคนเปลี่ยนศาสนาไป มันเป็นหน้าที่และเกียรติยศศักดิ์ศรีของครอบครัว
ที่จะนำคนผู้นั้นกลับมาหาอิสลามให้ได้ มิฉะนั้นก็ควรฆ่าเขาทิ้งเสีย"
ชาวอิสลามในบริเทนในบางครั้งก็เรียกคนที่ละทิ้งความเชื่อไปมาฆ่า ถ้าพวกเขาวิจารณ์ศาสนาอิสลามมากเกินไป
อัน วาร์ เชคห์ (Anwar Sheikh) อาจารย์ประจำมัสยิดจากปากีสถานได้กลายมาถืออเทวนิยมไปหลังจากเดินทางมาที่บริเทน และปัจจุบัน
ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดหวั่น ต้องระวังตัวเป็นพิเศษในบ้านของเขาในคาร์ดิฟหลังจากเขาได้วิพากษ์วิจารณ์อิสลามลงไปจากชุดหนังสือของเขา
"ผมมีคนมาคุกคามร่วม 18 คน พวกเขาโทรศัพท์มาหาผม ไม่รีรอที่จะเขียนมาแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ผมได้รับโทรศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์
ก่อนหน้านี้ พวกเขาบอกให้ผมสำนึกผิดต่อบาปที่ได้ทำลงไปเสีย มิฉะนั้นพวกเขาจะจับผมแขวนคอ" อันวาร์ กล่าว
"แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้เขียนลงไป และผมจะไม่ดึงมันกลับ ผมยอมรับผลที่ตามมาถ้านั่นเป็นค่าของสิ่งที่ผมทำได้ลงไป ผมก็ยินดีที่จะชดใช้มัน"

นาย อิบน์ วารัค
นาย อิบน์ วารัค (Ibn Warraq) เป็นหนึ่งในผู้ออกจากศาสนาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเกิดที่ปากีสถาน ได้รับการศึกษาสูง และทำหน้าที่
เป็นอาจารย์ในลอนดอน เขาได้เสียสิ้นศรัทธาไปหลังเหตุกรณีซัลมาน รัช ได้แถลงชี้แจงเหตุผลทั้งหมดลงในหนังสื่อที่ชื่อว่าทำไมผมถึงไม่เป็นมุสลิม
(Why I am not Muslim)
เขา พึ่งได้ตรวจเช็คหนังสือเรื่องออกจากอิสลาม (Leaving Islam) และพบว่ามันเป็นการยากมากที่จะอธิบายถึงความเป็นศัตรูที่เขาได้รับมา
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก แม้แต่ชาวมุสลิมที่มีหัวก้าวหน้าเสรีนิยมที่สุดก็ยังสามารถกลายเป็นคนดุร้ายได้ในพริบตาเพียงแค่คุณวิจารณ์อิสลาม
พูดไม่ดีเกี่ยวกับอิสลาม หรือ ออกจากอิสลาม แต่ตัวเขาก็ได้เฝ้าระวังเรื่องนี้ไว้ ก่อนด้วยการใช้นามปากกาแทนนามจริง และใช้ชีวิตอย่างไม่เปิดเผย
ในแผ่นดินหลักของยุโรป เขาคิดว่าการละทิ้งความเชื่ออิสลามนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคมตะวันตกนั้น มีคนละทิ้งศาสนาอย่างน้อย 10-15 %
แต่เรื่องนี้ก็พูดยากเพราะผู้คนไม่ยอมรับมัน
แพทริค สุขดีโอ (Patrick Sookhdeo) ผู้อำนวยการกลุ่มความไว้ใจบาร์นาบัส ผู้ให้ความช่วยเหลือคริสตศาสนิกชนที่ถูกคุกคามจากทั่วโลกได้กล่าวว่า
งานของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบริเทน มันเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันนี้การเปลี่ยนศาสนาถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี บุช
ที่พยายามให้โลกกลับใจเสียใหม่ ผู้คนสับสนระหว่าง ประชาธิปไตยกับคริสต์ศาสนา
"ปัญหาความยากลำบากในบริเทนเกิดจากความเป็น อริศัตรูกันระหว่างชนกลุ่มน้อยมุสลิม และกลุ่มคริสตชนหลัก การแพร่ธรรมของคริสตศาสนิกชน
ในเมืองภายในถูกมองว่าเป็นการรุกโจมตี" ดร.สุขดีโอ กล่าว
"เราได้แต่ร้องหาซึ่งอิสรภาพทางศาสนาที่เหมาะสมกับทุกคนและทุกความเชื่อ"
มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว
โดย แอนโทนี่ บราวนี่
ไทมส์ 5 กุมภาพันธ์ 2005
ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับ ชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับความกลัวอย่างรุนแรง
อิฐก้อนแรกได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุก นิสซาร์ ฮัซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน
ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ
นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่
ครอบครัวนี้กำลังเตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลา
กว่า 3 ปี รถของนาย ฮัซเซน ถูกกระแทก ทุบตี และ ถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด
เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่
ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง
โดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า "พวกคริสต์สารเลว (Christian Bastard)"
ปัญหาไม่ได้มาจากสิ่งที่นายฮัซซัน ผู้มีบิดามารดามาจากปากีสถาน เชื่อ แต่มาจากสิ่งที่เขาไม่ได้เชื่อ เขาเกิดมาเป็นอิสลาม
แต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ได้ 8 ปีมาแล้ว และภรรยาของเขาก็มาจากปากีสถานและได้ทำตามด้วยเช่นกัน
ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลามอย่าง แคท สตีฟเว่นส์ (Cat Stevens) เจมิมาร์ คาน (Jemima Khan)
และบุตรของ แฟรงค์ ด๊อบซัน (Frank Dobson) เลขานุการองค์กรสุขภาพอย่างเป็นทางการ และ ลอร์ด เบิร์ต (Birt) ผู้อำนวยการทั่วไป
ของทาง BBC ได้ฉลองรื่นเริงกับศาสนาใหม่ของตน คนที่ออกจากอิสลามไปศาสนาอื่นกลับต้องประสบสารพันภัยคุกคาม
และการประทุษร้ายต่าง ๆ นาย ฮัซเซน เป็นบุรุษพยาบาล อายุ 39 ปี ในโรงพยาบาล แบดฟอร์ด
เป็นหนึ่งในเหยื่อชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบริเทน เหยื่อเหล่านี้จะถูกรังเกียจจากชุมชนมุสลิมรอบข้าง ถูกทำร้าย ถูกลักพาตัว
และบางรายถูกฆาตกรรม ถึงกับขนาดต้องมีองค์กรลับใต้ดินในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ที่ ออกจากอิสลามเลยทีเดียว
มีผู้ประเมินออกมาว่ามีมุสลิมกว่า 15 % ในสังคมตะวันตกที่เสื่อมศรัทธาในศาสนา ซึ่งหมายความว่าในบริเทนมีผู้ออกจากศาสนาร่วม 2 แสนคนเลยทีเดียว
สำหรับทางตำรวจนั้น เรื่องของสิทธิทางศาสนาและการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นพวกเขาจะถูกฟ้องร้องจากบรรดาเหยื่อได้
หากปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ปัญหาก็มีมาจากวิกฤตการณ์ความเป็นอิสลามตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ
เลวร้ายลงมากขึ้น เพราะบรรดามุสลิมถูกคุกคามมากยิ่งขึ้น
บรรดามุสลิมผู้ออกจากศาสนาจะถูกประหารชีวิตหรือจับขังคุกตามคำสอนของทางมุสลิม ในประเทศอิสลามหลาย ๆ ประเทศ
รวมถึงประเทศ ซาอุดิ อารเบีย ปากีสถาน อียิปต์ และ เยเมน
ในประเทศ เนเธอร์แลนด์นั้น อยัน ฮีร์สิ อาลี (Ayaan Hirsi Ali) สมาชิก MP มุสลิมอย่างเป็นทางการ จำต้องหลบซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างแอบ ๆ
หลังตนได้ประกาศละทิ้งความเชื่อทางโทรทัศน์
อยัน ฮีร์สิ อาลี
เจ้าชายแห่งเวลส์ ได้ทรงจัดประชุมกับผู้นำทางศาสนาเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อพิจารณาหาวิธีหยุดยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมกระทำการทารุณกรรม
ตามความเชื่อทางศาสนาในประเทศอื่น ๆ แต่ในบริเทนเองกลับได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
นายฮัซเซนได้บอกกับทาง ไทมส์ ว่า นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง ที่นี่คือประเทศอังกฤษที่ผมได้เกิดและเติบโตขึ้นมา แต่คุณคงไม่เคยจินตนการเลยว่า
คริสตศาสนิกชนจะต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ที่นี่ ตำรวจไม่ได้จับกุมผู้ใด เพียงแต่บอกพวกเขาให้ไปให้พ้นจากที่นั่นเสีย พวกเรารู้สึกถูกโดดเดี่ยว
และไม่สามารถทำอะไรได้เลย และผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธ์อำนาจอะไรเลย ถ้าหากนี่กลายเป็นกรณีการเหยียดสีผิวของคนขาวต่อคนเอเซียแทน
เรื่องนี้คงกลายเป็นประเด็นร้อนแรง เป็นการประท้วงยกใหญ่ไปแล้ว
นาย ฮัซเซนกล่าวว่า พวกเขาพยายามจะเอาผมออกจากบ้าน และผมต้องยืนยันจุดยืนในฐานะคริสตศาสนิกชนชาวเอเซีย
ยัซมิน (Yasmin) ผู้เติบโตมาในเขตเหนือของประเทศอังกฤษเคยถูกบังคับให้ออกจาเมืองที่เธอ อาศัยอยู่มาครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้
เธอกำลังพยายามขัดขืนไม่ให้ถูกขับไล่ออกไปอีก ยัซมินเติบโตมาในครอบครัวมุสลิม แต่ได้เปลี่ยนศาสนาหลังได้เห็นภาพนิมิต
ของพระเยซูคริสต์ในตอนที่เธอกำลัง ให้กำเนิดบุตรคนเล็กของเธอ และเธอได้รับศีลล้างบาปในตอนที่เธอมีอายุได้ 30 ปี
ครอบครัวดิฉันได้ตัดขาดฉันออกไปเลย พวกเขาคิดว่าฉันได้กระทำบาปที่ร้ายแรงที่สุดลงไปแล้ว เพราะพวกเขาเชื่อว่าฉันเกิดมาเป็นมุสลิม
ก็ต้องตายเป็นมุสลิม แม้แต่สามีของฉันเมื่อเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ตัดขาดกับลูกของฉัน มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งหลังรู้เรื่องนี้เขาก็พยายาม
จะบีบคอฉันในทันที นางยัซมินกล่าว มีก้อน อิฐขว้างผ่าน หน้าต่างของเราเข้ามา และตอนที่ฉันเดินบนถนนก็เจอคนอื่นถ่มน้ำลายรดใส่
พวกเขาคิดว่าฉันได้เหยียบย่ำอิสลาม เราต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจหลายต่อหลายครั้ง และต้องไปศาลเพื่อยื่นฟ้องสามีของฉันเอง
เพราะเขาคอยยุยงให้คนอื่นมาคอยทำร้ายฉัน
นางยัซมินได้หลบหนีไปยังพื้นที่อื่นของบริเทน แต่การคุกคามก็ยังคงดำเนินต่อไปทันทีที่ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นพบความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
"ฉันจะไม่ไปจากที่นี่อีกแล้ว" นาง ยัซมินกล่าว พร้อมเสริมว่าการเลือกปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดมากที่สุด
"พวกเขาปลิ้นปล้อนสิ้นดี พวกเขาต้องการให้เราอดรนทนยอมต่อทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาไม่เคยอดทนอะไรเลยต่อพวกเรา"
ขณะที่ กับในส่วนของผู้เปลี่ยนศาสนาอื่น ๆ นั้น นางยัซมิน ได้มีส่วนช่วยในการตั้งกลุ่มช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับเธอ
ไปทั่วประเทศอังกฤษ โดยมีจุดประสงค์ในการต่อต้านการกระทำที่เผด็จการ
"ไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องพบกันอย่างลับ ๆ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์เรื่องราวของกลุ่มเลย ซ้ำยังต้องคอยระแวงว่า
ผู้ที่มาเข้าร่วมจะเป็นไส้ศึกอีกด้วยหรือเปล่า มีผู้คนจำนวนมากได้เปลี่ยนศาสนาจากอิสลามสู่คริสต์ เรามีรายชื่อกว่า 70 คน อยู่บนลิสต์รายชื่อ
ผู้ช่วยเหลือของเรา และรายชื่อมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย เพราะว่าเราไม่ต้องการให้มีใครต้องประสบทุกข์ลำเข็ญเช่นพวกเราอีก" นางยัซมิน กล่าว
ถึงแม้จะมีหลายต่อหลายคนที่ประสบการคุกคามเช่นนี้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ประสบเคราะห์กรรมหนักกว่านั้นอีก
"มีเด็กสาวอายุ 18 ปี คนหนึ่งจากครอบครัวหนึ่งที่ยัซมินกำลังให้ความช่วยเหลืออยู่ เธอซ่อนพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไว้ในห้องของเธอ และแอบไปโบสถ์อย่างลับ ๆ
อยู่เป็นประจำ ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเธอ แต่พวกเขาเอาตัวธอไปปากีสถานตอนช่วงวันหยุด และ 3 สัปดาห์หลังจากนั้น เธอก็จมน้ำตาย
พวกเขาบอกว่าเธอออกไปกลางคืนแล้วพลัดลื่นตกแม่น้ำไปเอง แต่จริง ๆ เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่" นางยัซมินกล่าว
นาง นรู (รอดชีวิตจากการถูกฆาตกรรมโดยครอบครัวของเธอ หลังจากเธอบอกครอบครัวว่าเธอได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว
พวกเขาขังเธอไว้ในห้องตลอดฤดูร้อนเลยทีเดียว) กล่าวว่า "พวกเขากลัวว่าฉันจะไปพบคริสต์ศาสนิกชนคนอื่น ๆ ส่วนพี่ของฉัน
ก็คอยทำรุนแรงทุบตีฉันอยู่เสมอ จนกระทั่งภายหลังที่เขาพยายามจะฆ่าฉัน" นางรูธกล่าว และแม้แต่เพื่อนบ้านของเธอก็แนะนำให้
พาเธอไปฆ่าที่ปากีสถาน นาง นูร (Noor) จากมิดแลนด์ เติบโตมาเป็นมุสลิมแต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์เมื่ออายุ 21 ปี
"การบอกพ่อเป็นเรื่องที่ยากที่สุดที่ฉันเคยทำมา ฉันคิดว่าพ่อคงจะโกรธจัดขนาดฆ่าฉันได้ทันทีที่เห็น แต่พ่อฉันกลับมีท่าทีช็อคแทน" เธอกล่าว แต่ในท้ายสุด
พ่อของเธอก็ลักพาตัวเธอไปอยู่ดี
"เขาใช้วิธีที่รุนแรง พาครอบครัวไปปากีสถาน ไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่มีแม้แต่ถนนที่นำทางสู่หมู่บ้าน
เขากักฉันไว้ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี พร้อมคอยกดดันให้ฉันละทิ้งศาสนาคริสต์ ฉันต้องทนทุกข์ทั้งทางกายและทางใจเป็นเวลานาน
ที่สุดแสนใครจะทนไหวได้" เธอกล่าว
จนกระทั่งเมื่อพ่อของเธอตระหนักว่าไม่สามารถสั่นคลอนศรัทธาอันแน่วแน่ของเธอได้ เขาจึงยอมปล่อยเธอไปแต่ก็ตั้งกฎที่เข้มงวดตามมา
"ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง พ่อได้ขู่จะเอาชีวิตฉัน เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าหากใครซะคนเปลี่ยนศาสนาไป มันเป็นหน้าที่และเกียรติยศศักดิ์ศรีของครอบครัว
ที่จะนำคนผู้นั้นกลับมาหาอิสลามให้ได้ มิฉะนั้นก็ควรฆ่าเขาทิ้งเสีย"
ชาวอิสลามในบริเทนในบางครั้งก็เรียกคนที่ละทิ้งความเชื่อไปมาฆ่า ถ้าพวกเขาวิจารณ์ศาสนาอิสลามมากเกินไป
อัน วาร์ เชคห์ (Anwar Sheikh) อาจารย์ประจำมัสยิดจากปากีสถานได้กลายมาถืออเทวนิยมไปหลังจากเดินทางมาที่บริเทน และปัจจุบัน
ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดหวั่น ต้องระวังตัวเป็นพิเศษในบ้านของเขาในคาร์ดิฟหลังจากเขาได้วิพากษ์วิจารณ์อิสลามลงไปจากชุดหนังสือของเขา
"ผมมีคนมาคุกคามร่วม 18 คน พวกเขาโทรศัพท์มาหาผม ไม่รีรอที่จะเขียนมาแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ผมได้รับโทรศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์
ก่อนหน้านี้ พวกเขาบอกให้ผมสำนึกผิดต่อบาปที่ได้ทำลงไปเสีย มิฉะนั้นพวกเขาจะจับผมแขวนคอ" อันวาร์ กล่าว
"แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้เขียนลงไป และผมจะไม่ดึงมันกลับ ผมยอมรับผลที่ตามมาถ้านั่นเป็นค่าของสิ่งที่ผมทำได้ลงไป ผมก็ยินดีที่จะชดใช้มัน"
นาย อิบน์ วารัค
นาย อิบน์ วารัค (Ibn Warraq) เป็นหนึ่งในผู้ออกจากศาสนาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเกิดที่ปากีสถาน ได้รับการศึกษาสูง และทำหน้าที่
เป็นอาจารย์ในลอนดอน เขาได้เสียสิ้นศรัทธาไปหลังเหตุกรณีซัลมาน รัช ได้แถลงชี้แจงเหตุผลทั้งหมดลงในหนังสื่อที่ชื่อว่าทำไมผมถึงไม่เป็นมุสลิม
(Why I am not Muslim)
เขา พึ่งได้ตรวจเช็คหนังสือเรื่องออกจากอิสลาม (Leaving Islam) และพบว่ามันเป็นการยากมากที่จะอธิบายถึงความเป็นศัตรูที่เขาได้รับมา
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก แม้แต่ชาวมุสลิมที่มีหัวก้าวหน้าเสรีนิยมที่สุดก็ยังสามารถกลายเป็นคนดุร้ายได้ในพริบตาเพียงแค่คุณวิจารณ์อิสลาม
พูดไม่ดีเกี่ยวกับอิสลาม หรือ ออกจากอิสลาม แต่ตัวเขาก็ได้เฝ้าระวังเรื่องนี้ไว้ ก่อนด้วยการใช้นามปากกาแทนนามจริง และใช้ชีวิตอย่างไม่เปิดเผย
ในแผ่นดินหลักของยุโรป เขาคิดว่าการละทิ้งความเชื่ออิสลามนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคมตะวันตกนั้น มีคนละทิ้งศาสนาอย่างน้อย 10-15 %
แต่เรื่องนี้ก็พูดยากเพราะผู้คนไม่ยอมรับมัน
แพทริค สุขดีโอ (Patrick Sookhdeo) ผู้อำนวยการกลุ่มความไว้ใจบาร์นาบัส ผู้ให้ความช่วยเหลือคริสตศาสนิกชนที่ถูกคุกคามจากทั่วโลกได้กล่าวว่า
งานของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบริเทน มันเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันนี้การเปลี่ยนศาสนาถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี บุช
ที่พยายามให้โลกกลับใจเสียใหม่ ผู้คนสับสนระหว่าง ประชาธิปไตยกับคริสต์ศาสนา
"ปัญหาความยากลำบากในบริเทนเกิดจากความเป็น อริศัตรูกันระหว่างชนกลุ่มน้อยมุสลิม และกลุ่มคริสตชนหลัก การแพร่ธรรมของคริสตศาสนิกชน
ในเมืองภายในถูกมองว่าเป็นการรุกโจมตี" ดร.สุขดีโอ กล่าว
"เราได้แต่ร้องหาซึ่งอิสรภาพทางศาสนาที่เหมาะสมกับทุกคนและทุกความเชื่อ"