วันที่ 1 เมษายน ก่อนวันคัดเลือกหนึ่งวัน ในหัวตอนนั้นก็ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเสี่ยงจับ หรือผ่อนผันต่อ
เหตุผลที่ผมไม่มั่นใจว่าจะจับหรือผ่อนผัน เพราะผมเป็นนักศึกษา ม รัฐแห่งหนึ่งแต่ยังไม่จบ เหลืออีกสามวิชา เกรดก็มะรอมมะร่อว่าจะโดนรีไทนไหม และมีความคิดว่าถ้าไม่ไหวก็จะชิงลาออกก่อนและโอนหน่วยไปเรียนที่อื่นในเทอมหน้าครับ เรื่องนี้คุยกับที่บ้านแล้วไม่มีปัญหาอะไร
ตอนนั้นยังพอคิดว่าถ้าไปเริ่มเรียนที่อื่นก็ยังจะพอทำให้จบตรีได้ภายในสองถึงสามปี แล้วจะกลับมาต่อโทที่เดิมที่ลาออกและจะต้องจบจากที่เดิมให้ได้
ใจหนึ่งก็อยากผ่อน ใจหนึ่งก้อยากเสร็จ (เรื่องทหาร เผื่อไม่ติด) ช่วงอาทิตย์ที่รอวันคัดเลือก เครียดมากครับ เป็นคนซึมเศร้าไปเลย
พอคุยกับพ่อแม่ ท่านก็บอกว่าอยากให้ลองเสี่ยงจับให้มันเสร็จๆ มันคงไม่ติดหรอก ถ้าติดก็ไป ถ้าผ่อนผันอีก ปีหน้าก็ต้องมาเสี่ยงจับอยู่ดี
ใจผมตอนนั้นก็เริ่มไม่ไหว อยากจบปัญหานี้เต็มที เลยตัดสินใจว่า เอ่า จับก็จับ ติดก็ไป ไม่ติดก็ไปหาที่เรียนใหม่ (ออกแนวประชดชีวิตตัวเองนิดหนึงครับตอนนั้น)
พอถึงวันที่ต้องไปคัดเลือก 2 เมษายน
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมร์ที่แบบว่า เฮ้ยย กูคิดดีแล้วหรอว่ะ ถ้าติดนี้สองปีเลยน่ะ วุฒิ ป ตรี ที่จะไปลดหย่อนก็ไม่มี แต่ก็ยังยืนยันความคิดเดิมที่ตัดสินใจไปแล้ว
ตอนนั้นมีความคิดอยู่งอย่างครับ
- ถ้าติดก็ไป จะเป็นจะตายยังไงก็ช่างมัน ถ้าใมันจะดวงดีขนาดนี้ก็ให้มันรู้ไป (ออกแนวประชดตัวเอง)
- อีกอารมณ์ก็ยังหวังว่า จะจับได้ใบดำ จะได้ไปหาที่เรียนตามที่ตั้งใจไว้
ขั้นตอนในวันนั้น ตั้งแต่เข้าไปเขียนใบคำร้องขอสละสิทธิ์ผ่อนผัน จนถึงก่อนรอจับใบดำแดง ความคิดมันฮึกมากครับ หวังอย่างมากว่าจะไม่ติด ว่าจะได้ใบดำ
จนมาถึงตอนนั่งรอจะจับ ผมเป็นคนแรกของตำบลผ่อนผัน ซึ่งเป็นตำบลที่สามของการจับจากทั้งหมดห้าตำบล
ยอดคนที่จะได้จับทั้งหมด 302 คน มีใบแดง 119 ใบ ในทั้งหมที่นั่งรอจับ ผมน่าจะเป็นคนที่ร้อยนิดนิด
พอเริ่มการจับ เห็นคนนั้น คนนี้ ขึ้นไปจับ ด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป ได้ดำ ได้แดง ต่างกันไป ช่วงแรกๆ ก็มีอารมณ์สนุกบ้างครับ คนรอบข้างหัวเราะบ้าง แต่ในเสียงหัวเราะของทุกคนมันเต็มไปด้วยความกลัวและเครียดด้วยกันทั้งนั้น
จนลำดับที่เข้าใกล้ผมทุกๆที ใบดำ ใบแดง ก็สลับกันออกไปเรื่อยๆ ความคิดผมตอนนั้นรู้เลยว่าไม่อยากจับได้ใบแดงสุดๆ กลัวไปหมด เรื่องต่างๆ มันวิ่งเข้ามาในหัวว่าถ้าใด้ใบแดงจะทำยังไง ชีวิตจะเปลี่ยนไปแค่ไหน นั่งก้มหน้ากุมมือ ลำรึกนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยให้จับได้ใบดำได้
พอจะมาถึงก่อนผมซักห้าคน มือผมเริ่มชา เท้าช้า ไม่มีความรู้สึกเลยครับ ความคิดผมแน่วแน่ไปที่ประตูทางออกที่จะเดินไปหลังจากที่ได้ยินคำว่า ดำ!!! (กูจะต้องไม่ได้เดินขึ้นไปลงชื่อทหารข้างบนแน่ๆ)
พอมาถึงผม ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความหวัง พยายามเดินให้ปรกติที่สุด ทำสีหน้าที่ปรกติที่สุด ทั้งที่ความคิดตอนนั้นมันวิ่งวุ่นไปหมดครับ
เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยตื่นเต้นอะไรมากมายขนาดนี้ (ชีวิตกูต้องมาผูกติดกับไอ้ฉลากใบเดียวบ้าบอนี้หรอ)
ผมยกมือขวาขึ้นไปอย่างมั่นใจ แล้วล้วงลงไปในหม้อ มันก็จับใด้สลากอันหนึ่งขึ้นมา (ตอนนั้นผมไม่ได้ค้น หรือเลือกเลย พอมือล้วงลงไปถึงก็จับได้ขึ้นมาเลย)
แล้วก็ยื่นให้ทหารคนนั้นอ่าน
เวลามันรวดเร็วมากครับ เร็วจนไม่รู้สึกว่าตอนนั้นคิดอะไรไปบ้าง แล้วก็ได้ยินเสียงดังมากกก .... ทบ 2 ส่งช่วย (อะไรสักอย่าง...) ลพบุรี
พอผมได้ยินคำว่า ทบ 2 หูผมอื่อไปหมดเลยครับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย (แต่ผมจำได้ว่าตัวเอง ยิ้มออกมาอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมาก่อนตลอดทั้งสัปดาห์เลยครับ) ก็มีคนมาจุงมือผมเดินไปปั้มลายนิ้วมือ จูงแขนเดินขึ้นไปลงชื่อสักอย่าง มาตั้งสติได้อีกที ก็เลยถามคนที่ให้ลงชื่อว่า
ตกลงผมติดที่ไหนนะครับ เพื่อความแน่ใจ
จากนั้นก็เดินลงมา เดินออกจากบริเวณตรงนั้น เดินออกมาเจอพ่อ แล้วก็น้อง คำแรกที่พ่อพูดกับผมคือ
ยิ่งกลัวว่าจะติด ก็ยิ่งติด แม่ งงเอ้ย ผมเห็นแววตาของพ่อที่รุ้เลยว่าผิดหวังแค่ไหน
แล้วผมก็บอกพ่อว่ากลับเหอะ พ่อก็ยื่นกุญแจรถให้ ผมก็ขับรถพาพ่อกลับ ตลอดทางที่กำลังกลับ ไม่มีเสียงสนทนาระหว่างผมกับพ่อเลย
ตลอดเวลาสามวันตั้งแต่กลับมาจากอำเภอ ผมครุ่นคิดตลอดเวลาว่ามันคือเรื่องจริงหรอ ตื่นเช้ามาแต่ละวัน เวลาส่องกระจกยังคิดว่านี่กูกำลังจะไปเป็นทหารหรอ จริงหรอว่ะ ไม่เคยมีความคิดนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิด
บางทีก็คิดพาลคนอื่น แอบคิดว่าเพราะแม่นั่นแหละที่บอกให้จับ พูดให้เราใจอ่อนจนได้ ทั้งที่ตั้งใจตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าจะผ่อนผัน พาลคิดว่าทำไมพ่อไม่ช่วย ไม่วิ่งเต้นยื่นเงินหรืออะไรที่จะช่วยได้ พาลคนอื่นๆ ที่มาพุดคุยมาถามที่บ้านว่าติดทหารหรอ
อาบน้ำเสร็จ แทบไม่อยากทาครีมบำรงบำรุงอะไรให้กับใบหน้าหรือร่างกายเลย จากปรกติแค่สิวขึ้นเม็ดเดียวก็โวยวายยิ่งใหญ่แล้ว ซื้อคอสทำหน้าแพงๆ ก็ไม่เสียดาย แล้วตอนนี้จะบำรุงไปทำไม ดูแลตัวเองไปทำไมว่ะ พอไปเข้ากรมฝึก ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ความคิดนี้โหดร้ายกับผมมาก จนตอนนี้ยังกระหน่ำทุกครั้งที่ส่องกระจกครับ
แต่ความรุ้สึกหนึ่งที่มีตอนนี้ ที่ผมคิดว่ามันโอเคคือ โล่งครับ โล่งกว่าตอนก่อนจะจับเยอะะะะะะะ
ผมก็ได้แต่หวังว่าความรู้สึกที่ไม่ดีเหลานี้จะหายไปโดยเร็วที่สุด เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเข้าไปรับใช้ชาติ อย่างที่ใครๆ ก็บอกว่าดี บอกว่า เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ผมก็หวังงว่าแต่อย่างนั้น
...เล่ามาซะยืดยาว ตรงนี้คือประเด็นที่ผมกังวลที่สุดตอนนี้ครับ
แต่สิ่งที่ผมกังวงที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว หรืออะไรที่จะต้องเจอในระหว่างการฝึก แต่ผมกังวลเรื่องเวลาครับ
เวลาที่ผมจะต้องเสียไปสองปี (ที่ใครๆ ก็ว่าดี) แต่สำหรับผมแล้ว มันอาจจะทำให้การเรียนของผมยืดยาวออกไปอีกย่างมากมาย
ผมต้องรอให้ปลดจากทหาร ซึ่งก็จะเป็น พศจิกายน 59 ถึงจะได้ไปเริ่มเรียนอีกครั้งหรือ ถึงตอนนั้นผมจะยังมีไฟฝัน ที่ยังอยากเรียนอยู่ไหม ยังมีหัวสมองที่จะเรียนรู้และสอบผ่านไหม ผมจะคว้าปริญญามาให้ที่บ้านและนำไปเรียนต่อจนจบโท อย่างที่ผมหวังได้ไหม อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เครียดครับตอนนี้
ผมเคยได้ยิน มาบ้าง จากรุ่นพี่ที่เคยเป็นทหาร คนรู้จัก และในอินเตอเน็ตต่างๆ
ว่าทหารเกณฑ์ที่ฝึกเสร็จสองเดือนแล้ว จะมีการจำหน่ายออกไปที่ต่างๆ รวมถึงสามารถขอจำหน่ายตัวเองออกมาได้ โดยยกเงินเดือน เงินเบี้ยต่างๆ ให้นาย แล้วมาอยู่บ้านเฉยๆ กลับมาทำงานที่บ้าน หรือต่างๆ พอถึงเวลากอยร้อยเรียกก็กลับไปเป็นครั้งคราว หรือถึงเวลาปลดประจำการก็กลับไปปลด
ผมไม่มั่นใจว่า มันทำได้จริงๆไหม แล้วต้องทำอย่างไร มันมีโอกาสยากแค่ไหนครับ จะมีสมาชิกคนไหนหรือพี่ๆ คนไหนที่เคยผ่านหรือพอรู้บ้าง ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ ตอนนี้ผมกังวลจริงๆว่า จะได้กลับมาเรียนตอนไหน
หรือหลังจากฝึกเสร็จ ขึ้นกองร้อยแล้ว จะสามารถลงเรียนที่ไหนควบคุ่ไปด้วยได้ไหมครับ
ถ้าทำแบบที่ว่าได้ ผมจะก็มาเรียนอีกครั้ง พอถึงเวลาปลดก็เข้าไปปลด หรือเข้าไปตามที่กอยร้อยเรียก จะเป็นไปได้ไหม ผมรู้ว่ามันอาจเป็นวิธีที่ผิด หรือไม่ถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ แต่ผมคิดว่ามันคือวิธีการเดียวที่ผมมีความหวังที่สุดตอนนี้ครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นที่จะให้กำลังใจผม และเข้ามาแนะนำเรื่องต่างๆ นะครับ
ขอบคุณมากครับผม
ถ้าแทกผิดห้องต้องขออภัยนะครับ ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องแทกห้องไหนบ้างครับ ^^
วันที่สาม หลังจากผมจับได้ใบแดง
เหตุผลที่ผมไม่มั่นใจว่าจะจับหรือผ่อนผัน เพราะผมเป็นนักศึกษา ม รัฐแห่งหนึ่งแต่ยังไม่จบ เหลืออีกสามวิชา เกรดก็มะรอมมะร่อว่าจะโดนรีไทนไหม และมีความคิดว่าถ้าไม่ไหวก็จะชิงลาออกก่อนและโอนหน่วยไปเรียนที่อื่นในเทอมหน้าครับ เรื่องนี้คุยกับที่บ้านแล้วไม่มีปัญหาอะไร
ตอนนั้นยังพอคิดว่าถ้าไปเริ่มเรียนที่อื่นก็ยังจะพอทำให้จบตรีได้ภายในสองถึงสามปี แล้วจะกลับมาต่อโทที่เดิมที่ลาออกและจะต้องจบจากที่เดิมให้ได้
ใจหนึ่งก็อยากผ่อน ใจหนึ่งก้อยากเสร็จ (เรื่องทหาร เผื่อไม่ติด) ช่วงอาทิตย์ที่รอวันคัดเลือก เครียดมากครับ เป็นคนซึมเศร้าไปเลย
พอคุยกับพ่อแม่ ท่านก็บอกว่าอยากให้ลองเสี่ยงจับให้มันเสร็จๆ มันคงไม่ติดหรอก ถ้าติดก็ไป ถ้าผ่อนผันอีก ปีหน้าก็ต้องมาเสี่ยงจับอยู่ดี
ใจผมตอนนั้นก็เริ่มไม่ไหว อยากจบปัญหานี้เต็มที เลยตัดสินใจว่า เอ่า จับก็จับ ติดก็ไป ไม่ติดก็ไปหาที่เรียนใหม่ (ออกแนวประชดชีวิตตัวเองนิดหนึงครับตอนนั้น)
พอถึงวันที่ต้องไปคัดเลือก 2 เมษายน
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมร์ที่แบบว่า เฮ้ยย กูคิดดีแล้วหรอว่ะ ถ้าติดนี้สองปีเลยน่ะ วุฒิ ป ตรี ที่จะไปลดหย่อนก็ไม่มี แต่ก็ยังยืนยันความคิดเดิมที่ตัดสินใจไปแล้ว
ตอนนั้นมีความคิดอยู่งอย่างครับ
- ถ้าติดก็ไป จะเป็นจะตายยังไงก็ช่างมัน ถ้าใมันจะดวงดีขนาดนี้ก็ให้มันรู้ไป (ออกแนวประชดตัวเอง)
- อีกอารมณ์ก็ยังหวังว่า จะจับได้ใบดำ จะได้ไปหาที่เรียนตามที่ตั้งใจไว้
ขั้นตอนในวันนั้น ตั้งแต่เข้าไปเขียนใบคำร้องขอสละสิทธิ์ผ่อนผัน จนถึงก่อนรอจับใบดำแดง ความคิดมันฮึกมากครับ หวังอย่างมากว่าจะไม่ติด ว่าจะได้ใบดำ
จนมาถึงตอนนั่งรอจะจับ ผมเป็นคนแรกของตำบลผ่อนผัน ซึ่งเป็นตำบลที่สามของการจับจากทั้งหมดห้าตำบล
ยอดคนที่จะได้จับทั้งหมด 302 คน มีใบแดง 119 ใบ ในทั้งหมที่นั่งรอจับ ผมน่าจะเป็นคนที่ร้อยนิดนิด
พอเริ่มการจับ เห็นคนนั้น คนนี้ ขึ้นไปจับ ด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป ได้ดำ ได้แดง ต่างกันไป ช่วงแรกๆ ก็มีอารมณ์สนุกบ้างครับ คนรอบข้างหัวเราะบ้าง แต่ในเสียงหัวเราะของทุกคนมันเต็มไปด้วยความกลัวและเครียดด้วยกันทั้งนั้น
จนลำดับที่เข้าใกล้ผมทุกๆที ใบดำ ใบแดง ก็สลับกันออกไปเรื่อยๆ ความคิดผมตอนนั้นรู้เลยว่าไม่อยากจับได้ใบแดงสุดๆ กลัวไปหมด เรื่องต่างๆ มันวิ่งเข้ามาในหัวว่าถ้าใด้ใบแดงจะทำยังไง ชีวิตจะเปลี่ยนไปแค่ไหน นั่งก้มหน้ากุมมือ ลำรึกนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยให้จับได้ใบดำได้
พอจะมาถึงก่อนผมซักห้าคน มือผมเริ่มชา เท้าช้า ไม่มีความรู้สึกเลยครับ ความคิดผมแน่วแน่ไปที่ประตูทางออกที่จะเดินไปหลังจากที่ได้ยินคำว่า ดำ!!! (กูจะต้องไม่ได้เดินขึ้นไปลงชื่อทหารข้างบนแน่ๆ)
พอมาถึงผม ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความหวัง พยายามเดินให้ปรกติที่สุด ทำสีหน้าที่ปรกติที่สุด ทั้งที่ความคิดตอนนั้นมันวิ่งวุ่นไปหมดครับ
เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยตื่นเต้นอะไรมากมายขนาดนี้ (ชีวิตกูต้องมาผูกติดกับไอ้ฉลากใบเดียวบ้าบอนี้หรอ)
ผมยกมือขวาขึ้นไปอย่างมั่นใจ แล้วล้วงลงไปในหม้อ มันก็จับใด้สลากอันหนึ่งขึ้นมา (ตอนนั้นผมไม่ได้ค้น หรือเลือกเลย พอมือล้วงลงไปถึงก็จับได้ขึ้นมาเลย)
แล้วก็ยื่นให้ทหารคนนั้นอ่าน
เวลามันรวดเร็วมากครับ เร็วจนไม่รู้สึกว่าตอนนั้นคิดอะไรไปบ้าง แล้วก็ได้ยินเสียงดังมากกก .... ทบ 2 ส่งช่วย (อะไรสักอย่าง...) ลพบุรี
พอผมได้ยินคำว่า ทบ 2 หูผมอื่อไปหมดเลยครับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย (แต่ผมจำได้ว่าตัวเอง ยิ้มออกมาอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมาก่อนตลอดทั้งสัปดาห์เลยครับ) ก็มีคนมาจุงมือผมเดินไปปั้มลายนิ้วมือ จูงแขนเดินขึ้นไปลงชื่อสักอย่าง มาตั้งสติได้อีกที ก็เลยถามคนที่ให้ลงชื่อว่า ตกลงผมติดที่ไหนนะครับ เพื่อความแน่ใจ
จากนั้นก็เดินลงมา เดินออกจากบริเวณตรงนั้น เดินออกมาเจอพ่อ แล้วก็น้อง คำแรกที่พ่อพูดกับผมคือ ยิ่งกลัวว่าจะติด ก็ยิ่งติด แม่ งงเอ้ย ผมเห็นแววตาของพ่อที่รุ้เลยว่าผิดหวังแค่ไหน
แล้วผมก็บอกพ่อว่ากลับเหอะ พ่อก็ยื่นกุญแจรถให้ ผมก็ขับรถพาพ่อกลับ ตลอดทางที่กำลังกลับ ไม่มีเสียงสนทนาระหว่างผมกับพ่อเลย
ตลอดเวลาสามวันตั้งแต่กลับมาจากอำเภอ ผมครุ่นคิดตลอดเวลาว่ามันคือเรื่องจริงหรอ ตื่นเช้ามาแต่ละวัน เวลาส่องกระจกยังคิดว่านี่กูกำลังจะไปเป็นทหารหรอ จริงหรอว่ะ ไม่เคยมีความคิดนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิด
บางทีก็คิดพาลคนอื่น แอบคิดว่าเพราะแม่นั่นแหละที่บอกให้จับ พูดให้เราใจอ่อนจนได้ ทั้งที่ตั้งใจตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าจะผ่อนผัน พาลคิดว่าทำไมพ่อไม่ช่วย ไม่วิ่งเต้นยื่นเงินหรืออะไรที่จะช่วยได้ พาลคนอื่นๆ ที่มาพุดคุยมาถามที่บ้านว่าติดทหารหรอ
อาบน้ำเสร็จ แทบไม่อยากทาครีมบำรงบำรุงอะไรให้กับใบหน้าหรือร่างกายเลย จากปรกติแค่สิวขึ้นเม็ดเดียวก็โวยวายยิ่งใหญ่แล้ว ซื้อคอสทำหน้าแพงๆ ก็ไม่เสียดาย แล้วตอนนี้จะบำรุงไปทำไม ดูแลตัวเองไปทำไมว่ะ พอไปเข้ากรมฝึก ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ความคิดนี้โหดร้ายกับผมมาก จนตอนนี้ยังกระหน่ำทุกครั้งที่ส่องกระจกครับ
แต่ความรุ้สึกหนึ่งที่มีตอนนี้ ที่ผมคิดว่ามันโอเคคือ โล่งครับ โล่งกว่าตอนก่อนจะจับเยอะะะะะะะ
ผมก็ได้แต่หวังว่าความรู้สึกที่ไม่ดีเหลานี้จะหายไปโดยเร็วที่สุด เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเข้าไปรับใช้ชาติ อย่างที่ใครๆ ก็บอกว่าดี บอกว่า เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ผมก็หวังงว่าแต่อย่างนั้น
...เล่ามาซะยืดยาว ตรงนี้คือประเด็นที่ผมกังวลที่สุดตอนนี้ครับ
แต่สิ่งที่ผมกังวงที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว หรืออะไรที่จะต้องเจอในระหว่างการฝึก แต่ผมกังวลเรื่องเวลาครับ
เวลาที่ผมจะต้องเสียไปสองปี (ที่ใครๆ ก็ว่าดี) แต่สำหรับผมแล้ว มันอาจจะทำให้การเรียนของผมยืดยาวออกไปอีกย่างมากมาย
ผมต้องรอให้ปลดจากทหาร ซึ่งก็จะเป็น พศจิกายน 59 ถึงจะได้ไปเริ่มเรียนอีกครั้งหรือ ถึงตอนนั้นผมจะยังมีไฟฝัน ที่ยังอยากเรียนอยู่ไหม ยังมีหัวสมองที่จะเรียนรู้และสอบผ่านไหม ผมจะคว้าปริญญามาให้ที่บ้านและนำไปเรียนต่อจนจบโท อย่างที่ผมหวังได้ไหม อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เครียดครับตอนนี้
ผมเคยได้ยิน มาบ้าง จากรุ่นพี่ที่เคยเป็นทหาร คนรู้จัก และในอินเตอเน็ตต่างๆ
ว่าทหารเกณฑ์ที่ฝึกเสร็จสองเดือนแล้ว จะมีการจำหน่ายออกไปที่ต่างๆ รวมถึงสามารถขอจำหน่ายตัวเองออกมาได้ โดยยกเงินเดือน เงินเบี้ยต่างๆ ให้นาย แล้วมาอยู่บ้านเฉยๆ กลับมาทำงานที่บ้าน หรือต่างๆ พอถึงเวลากอยร้อยเรียกก็กลับไปเป็นครั้งคราว หรือถึงเวลาปลดประจำการก็กลับไปปลด
ผมไม่มั่นใจว่า มันทำได้จริงๆไหม แล้วต้องทำอย่างไร มันมีโอกาสยากแค่ไหนครับ จะมีสมาชิกคนไหนหรือพี่ๆ คนไหนที่เคยผ่านหรือพอรู้บ้าง ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ ตอนนี้ผมกังวลจริงๆว่า จะได้กลับมาเรียนตอนไหน
หรือหลังจากฝึกเสร็จ ขึ้นกองร้อยแล้ว จะสามารถลงเรียนที่ไหนควบคุ่ไปด้วยได้ไหมครับ
ถ้าทำแบบที่ว่าได้ ผมจะก็มาเรียนอีกครั้ง พอถึงเวลาปลดก็เข้าไปปลด หรือเข้าไปตามที่กอยร้อยเรียก จะเป็นไปได้ไหม ผมรู้ว่ามันอาจเป็นวิธีที่ผิด หรือไม่ถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ แต่ผมคิดว่ามันคือวิธีการเดียวที่ผมมีความหวังที่สุดตอนนี้ครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นที่จะให้กำลังใจผม และเข้ามาแนะนำเรื่องต่างๆ นะครับ
ขอบคุณมากครับผม
ถ้าแทกผิดห้องต้องขออภัยนะครับ ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องแทกห้องไหนบ้างครับ ^^