สวัสดีอีกรอบครับ ต่อจากกระทู้ที่ผ่านมา
http://pantip.com/topic/31862077 นะครับ ที่พูดถึงเรื่องที่ต้องทำใจก่อนมาเยือนรัสเซีย
เรื่องที่สามถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับขาช็อปก็ว่าได้ ก็คือเรื่องของการต่อราคาสินค้าในรัสเซีย ถามว่าต่อรองราได้ไหม ตอบเลยว่าได้เป็นร้านๆไปครับ ถ้ามีเวลาได้เข้าร้านขายของที่ระลึกที่เป็นร้านในตัวตึกสวยงามอร่ามตา ร้านพวกนี้จะไม่สามารถต่อรองราคาได้เลยครับ เพราะว่าเป็นร้านสำหรับให้ทัวร์มาลง ถ้าเราเผลอเดินเข้าไปก็จะต้องตกตะลึงในราคาอันสุดโหด เพราะราคาดังกล่าวเป็นราคาที่บวกค่าคอมให้กับไกด์ เรียบร้อยแล้ว แต่งานจะดูดีกว่าข้างนอกครับ
แต่ถ้าเป็นร้านค้าที่เป็นบู๊ทเล็กๆน้อยๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็สามารถต่อรองราคาได้ครับ แต่การต่อรองราคานั้น ก่อนจะต่อรองให้คิดให้แน่ใจก่อนว่าเราอยากได้จริงๆ ไม่ใช่ต่อเล่นๆนะครับ จะบอกก่อนว่าโดยทั่วไปแล้วพนง ขายในบู๊ทตามสถานที่ท่องเที่ยวนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของร้านโดยตรง เป็นแค่พนง ขาย เขาจะมีราคาตายตัวอยู่แล้ว เช่น ราคาที่เจ้าของร้านให้คือ 200 แต่พนง จะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งขายได้เยอะ เค้าจะได้ส่วนต่างเยอะ ดังนั้นเค้าจะตั้ง300 บาทเผื่อเราต่อราคา นิสัยการต่อของนักท่องเที่ยวไทยเหมือนโดนปลูกฝังว่าต่อทั้งทีให้ลองต่อครึ่งๆดูก่อน ถ้าเป็นจีนอาจจะได้ แต่เป็นรัสเซียก็ได้เหมือนกันครับ ได้คำด่ามาเต็มๆ เคยมีบางครั้งที่ลูกทัวร์ใช้ให้ต่อให้แบบน้องเป้ถามหน่อยว่า 100 บาทได้ไหม ถ้าได้ซื้อ 5 ตัวเลย รู้อยู่ในใจว่าไม่ได้แต่เสนอมาตั้ง 5 ตัวอาจจะยอมลดให้ก็ได้ ปรากฏว่าโดนกระชากของกลับแล้วด่าตามหลัง ไม่พอ เดินไปไหน เดินตามไปด่าด้วย หลังจากนั้นผมไม่กล้าเดินผ่านแถวนั้นไปหลายเดือนเลยครับ... แต่สมัยนี้ผมว่าดีขึ้นกว่าเดิมในเรื่องของราคาค่าเงิน เพราะคิดง่ายๆ 100 รูเบิลจะเท่ากับ 96 - 98 บาทไทยครับ สมัยก่อน 100 รูเบิลเท่ากับ 150 บาทไทย ตอนนี้ค่าเงินรูเบิลตกเราเลยได้สินค้าในราคาถูกกว่าเดิม และที่สำคัญจากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมว่าราคาของที่ระลึกจำพวกแม็กเนท สโนว์บอล ราคาจะถูกกว่าสมัยก่อนเยอะมากครับ สมัยก่อนแม็กเน็ทอันละ 100 รูเบิลขั้นต่ำ แต่สมัยนี้ 50 รูเบิลยังมีเลยครับ ส่วนสโนว์บอลก็อันเล็กประมาณ 150 รูเบิลครับ ส่วนตุ๊กตาแม่ลูกดก ราคาต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ความละเอียด ขนาด จำนวน และ ศิลปินผู้วาดครับ
เสริมความรู้เล็กน้อยนะครับว่าประเทศรัสเซียไม่ได้มีกฏเหมือนเมืองไทยที่ต้องมีราคาสินค้าบนผลิตภัณฑ์ ดังนั้นเวลาซื้อเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน ขนาดเดียวกัน แต่ราคาต่างกันราวฟ้ากับเหว บางครั้งร้านติดกันราคาขายต่างกัน 10 - 50 บาทเลยทีเดียว โดยนิสัยของคนรัสเซียต่างกับเราตรงที่ว่า ถ้าต้องการซื้อของเพียงแค่ 1 หรือ 2 ชิ้น เขาจะเดินเข้าร้านขายของชำ ดีกว่าเดินเข้าห้าง แม้ว่าราคาจะต่างกันมาก ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ร้านขายของชำในรัสเซียถึงได้อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ และขายดีขึ้นๆ เพราะคนรัสเซียถือว่า ถ้าต้องเดินเข้าห้างเขาจะต้องเสียเวลาเดินไกลกว่า หรือเดินทางไกลกว่า แม้ว่า ร้านขายของชำห่างจากห้าง 300 - 500 เมตร ประการต่อไปคือ ต้องต่อคิวยาว เพราะคนเข้าห้างคือคนจะซื้อของจำนวนเยอะๆ ประการที่สาม ถ้าเขาเดินเข้าห้างเขาอาจจะได้ของอีกมากมายนอกเหนือจากสิ่งที่ต้องการ.....ด้วยสาเหตุอันทั้งหลายทั้งปวงเลยทำให้ร้านขายของชำในรัสเซียอยู่รอด เสียดายที่รัสเซียไม่มีเซเว่น ไม่งั้นร้านขายของชำคงตายสนิท
ส่วนเรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของมิจฉาชีพนะครับ เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้แล้วในหัวข้อ ควรทำอย่างไรเมื่อโดนล้วงกระเป๋า ณ เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รัสเซีย
http://pantip.com/topic/31687432 เพราะอยากจะให้นักท่องเที่ยวที่มีแพลนจะมาเที่ยวได้อ่านเพื่อเตรียมตัวไว้นะครับ วันนี้ขอตัวไปอ่านหนังสือแล้วจะมาเล่าตอนที่ 3 ให้ฟังต่อไปนะครับ
เพราะที่นี่คือ รัสเซีย 2 ...
เรื่องที่สามถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับขาช็อปก็ว่าได้ ก็คือเรื่องของการต่อราคาสินค้าในรัสเซีย ถามว่าต่อรองราได้ไหม ตอบเลยว่าได้เป็นร้านๆไปครับ ถ้ามีเวลาได้เข้าร้านขายของที่ระลึกที่เป็นร้านในตัวตึกสวยงามอร่ามตา ร้านพวกนี้จะไม่สามารถต่อรองราคาได้เลยครับ เพราะว่าเป็นร้านสำหรับให้ทัวร์มาลง ถ้าเราเผลอเดินเข้าไปก็จะต้องตกตะลึงในราคาอันสุดโหด เพราะราคาดังกล่าวเป็นราคาที่บวกค่าคอมให้กับไกด์ เรียบร้อยแล้ว แต่งานจะดูดีกว่าข้างนอกครับ
แต่ถ้าเป็นร้านค้าที่เป็นบู๊ทเล็กๆน้อยๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็สามารถต่อรองราคาได้ครับ แต่การต่อรองราคานั้น ก่อนจะต่อรองให้คิดให้แน่ใจก่อนว่าเราอยากได้จริงๆ ไม่ใช่ต่อเล่นๆนะครับ จะบอกก่อนว่าโดยทั่วไปแล้วพนง ขายในบู๊ทตามสถานที่ท่องเที่ยวนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของร้านโดยตรง เป็นแค่พนง ขาย เขาจะมีราคาตายตัวอยู่แล้ว เช่น ราคาที่เจ้าของร้านให้คือ 200 แต่พนง จะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งขายได้เยอะ เค้าจะได้ส่วนต่างเยอะ ดังนั้นเค้าจะตั้ง300 บาทเผื่อเราต่อราคา นิสัยการต่อของนักท่องเที่ยวไทยเหมือนโดนปลูกฝังว่าต่อทั้งทีให้ลองต่อครึ่งๆดูก่อน ถ้าเป็นจีนอาจจะได้ แต่เป็นรัสเซียก็ได้เหมือนกันครับ ได้คำด่ามาเต็มๆ เคยมีบางครั้งที่ลูกทัวร์ใช้ให้ต่อให้แบบน้องเป้ถามหน่อยว่า 100 บาทได้ไหม ถ้าได้ซื้อ 5 ตัวเลย รู้อยู่ในใจว่าไม่ได้แต่เสนอมาตั้ง 5 ตัวอาจจะยอมลดให้ก็ได้ ปรากฏว่าโดนกระชากของกลับแล้วด่าตามหลัง ไม่พอ เดินไปไหน เดินตามไปด่าด้วย หลังจากนั้นผมไม่กล้าเดินผ่านแถวนั้นไปหลายเดือนเลยครับ... แต่สมัยนี้ผมว่าดีขึ้นกว่าเดิมในเรื่องของราคาค่าเงิน เพราะคิดง่ายๆ 100 รูเบิลจะเท่ากับ 96 - 98 บาทไทยครับ สมัยก่อน 100 รูเบิลเท่ากับ 150 บาทไทย ตอนนี้ค่าเงินรูเบิลตกเราเลยได้สินค้าในราคาถูกกว่าเดิม และที่สำคัญจากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมว่าราคาของที่ระลึกจำพวกแม็กเนท สโนว์บอล ราคาจะถูกกว่าสมัยก่อนเยอะมากครับ สมัยก่อนแม็กเน็ทอันละ 100 รูเบิลขั้นต่ำ แต่สมัยนี้ 50 รูเบิลยังมีเลยครับ ส่วนสโนว์บอลก็อันเล็กประมาณ 150 รูเบิลครับ ส่วนตุ๊กตาแม่ลูกดก ราคาต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ความละเอียด ขนาด จำนวน และ ศิลปินผู้วาดครับ
เสริมความรู้เล็กน้อยนะครับว่าประเทศรัสเซียไม่ได้มีกฏเหมือนเมืองไทยที่ต้องมีราคาสินค้าบนผลิตภัณฑ์ ดังนั้นเวลาซื้อเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน ขนาดเดียวกัน แต่ราคาต่างกันราวฟ้ากับเหว บางครั้งร้านติดกันราคาขายต่างกัน 10 - 50 บาทเลยทีเดียว โดยนิสัยของคนรัสเซียต่างกับเราตรงที่ว่า ถ้าต้องการซื้อของเพียงแค่ 1 หรือ 2 ชิ้น เขาจะเดินเข้าร้านขายของชำ ดีกว่าเดินเข้าห้าง แม้ว่าราคาจะต่างกันมาก ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ร้านขายของชำในรัสเซียถึงได้อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ และขายดีขึ้นๆ เพราะคนรัสเซียถือว่า ถ้าต้องเดินเข้าห้างเขาจะต้องเสียเวลาเดินไกลกว่า หรือเดินทางไกลกว่า แม้ว่า ร้านขายของชำห่างจากห้าง 300 - 500 เมตร ประการต่อไปคือ ต้องต่อคิวยาว เพราะคนเข้าห้างคือคนจะซื้อของจำนวนเยอะๆ ประการที่สาม ถ้าเขาเดินเข้าห้างเขาอาจจะได้ของอีกมากมายนอกเหนือจากสิ่งที่ต้องการ.....ด้วยสาเหตุอันทั้งหลายทั้งปวงเลยทำให้ร้านขายของชำในรัสเซียอยู่รอด เสียดายที่รัสเซียไม่มีเซเว่น ไม่งั้นร้านขายของชำคงตายสนิท
ส่วนเรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของมิจฉาชีพนะครับ เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้แล้วในหัวข้อ ควรทำอย่างไรเมื่อโดนล้วงกระเป๋า ณ เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รัสเซีย http://pantip.com/topic/31687432 เพราะอยากจะให้นักท่องเที่ยวที่มีแพลนจะมาเที่ยวได้อ่านเพื่อเตรียมตัวไว้นะครับ วันนี้ขอตัวไปอ่านหนังสือแล้วจะมาเล่าตอนที่ 3 ให้ฟังต่อไปนะครับ