ใครเคยพยายามฆ่าตัวตายบ้างมั้ยคะ แล้วผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง
รบกวนช่วยเล่าประสบการณ์ให้เราฟังหน่อยได้มั้ยคะ
เวลาที่อยากฆ่าตัวตายควรคิดยังไง บอกตัวเองยังไงให้ไม่ทำ
ถ้าหากเคยพยายามทำมาแล้ว คุณผ่านมันมาได้ยังไงคะ ชีวิตหลังจากลองพยายามฆ่าตัวตายมาเป็นยังไงบ้าง
บอกตัวเองยังไงไม่ให้พยายามทำอีกรอบ ทำยังไงดีให้ตัวเองรู้สึกว่าควรมีชีวิตต่อไป
เราเพิ่งไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกมาเมื่อวานค่ะ หมอบอกว่าเป็น Dysthymia ซึ่งตัวเราว่าเรามีอาการแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว
ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตเพื่อหายใจไปวันๆ ไม่มีความหวัง ความฝัน หรือเป้าหมายอะไรทั้งนั้น อยู่เพื่อรอวันจะตาย
บวกกับที่เราเป็นคนกลัวการเข้าสังคมมาก รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนบนโลกเลยที่เป็นที่ของเรา
เหมือนเราไม่มีที่จะยืน อยากแต่จะเก็บตัวอยู่ในห้อง
เราอายุ 22 อยู่ปี 4 ค่ะ เพื่อนวัยเดียวกันเค้าแจ้งจบ และหางานทำกันหมดแล้ว แต่ว่าเรากลับไม่กล้าทำอะไรเลย
ทั้ง ๆ ที่เก็บตัวเรียนครบหมดแล้ว เหลือแค่ไปฝึกงานกับทำสารนิพนธ์เท่านั้นเอง..
เรารู้สึกกลัวมาก กลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัว ต้องไปเข้าหาสังคมใหม่ๆ อีกครั้ง
ซึ่งเราเคยเป็นแบบนี้ตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเรากลัวมาก เครียดมาก จนปี 1 เทอม 1 ทั้งเทอมแทบจะไม่ไปเข้าคลาสเลย
เพิ่งจะมาปรับตัวได้ตอนประมาณปลายปี1 เพราะเริ่มชินคนแล้วเลยพอเข้าหาได้ แต่เราก็แทบไม่ได้ร่วมกิจกรรมใดๆในคณะอยู่ดี
เป็นมนุษย์หลืบ
เราพยายามหลบ พยายามหนีความจริงมาตลอด คิดเอาว่าอยู่คนเดียวถึงเหงาแต่อย่างน้อยก็รู้สึกเซฟกว่า
ทีนี้ มันมีปัญหามากเข้ามา 2 อย่าง
1. คือ วิชาสุดท้ายที่เรียนในปี 4 เทอม 2 ดันมีปัญหากับเพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน
มันทำให้เรารู้สึกว่า เห้ย ทำไมคนมันใจร้ายจังเลย เราไม่อยากเจอแบบนี้ เราไม่อยากทนไม่อยากเสียใจ เราเกลียดตัวเองที่มานั่งร้องไห้
2. คือ มีความเครียดจากการกดดันที่ตัวเอง "ต้อง" เปลี่ยนสังคมอีกรอบ ทั้งที่สังคมปัจจุบันเรายังปรับแทบไม่รอด ทุลักทุเล
สังคมการทำงานรู้เลยว่าต้องเจอหนักกว่าเดิมแน่ คนคงโหด โลกคงอยู่ยากขึ้นคุณสามเท่า เราจะทำยังไงดี บลาๆๆ คิดมากต่างๆนาๆ
แม่ก็กดดันว่าเมื่อไหร่เราจะกระตือรือล้นซะที อยู่อย่างนี้ทุกวันมันใช้ไม่ได้
ส่วนคุณพ่อท่านไม่ได้รับรู้เรื่องอาการและความคิดอะไรกับเราด้วย
คือท่านรักเรามากและหวังกับเรามากเพราะเราเป็นลูกคนเล็ก ท่านจะคิดว่าเราเป็นเด็กเรียนดีเรียนเก่งมีอนาคต
ทั้งที่ความจริงเราเกรดรวมแค่ 2 กว่าๆเอง ..ตรงนี้ก็ทำให้เราเครียดและผิดหวังในตัวเองมาก
ที่ดีได้ไม่เท่าที่พ่อแม่เค้าคิดว่าเราดี จนกลายเป็นการกดดันตนเอง
เวลาที่พ่อพูดชมเราแต่ละครั้ง ในใจเราก็ดีใจนะ แต่มันรู้สึกจุกอก เหมือนมีก้อนอยู่ที่คอ
น้ำตามันก็จะไหล เพราะความจริงเราไม่ได้ดีแบบนั้นเลย
สุดท้ายพี่สาวเลยพาเราไปหาหมอ แต่ครั้งแรกนี่เราก็ยังประหม่าและก็ยังเล่าเรื่องให้คุณหมอฟังไม่หมดอยู่ดี ดันรู้สึกเกรงใจคุณหมอ
เลยเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าคือนิสัย คือ"ตัวเอง" จริงๆ เป็นอาการของคนที่ซึมเศร้าเพราะสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ
เช่น นอนยากบางทีนอนตอนเช้า น้ำหนักขึ้น เหม่อลอย สมาธิน้อย ฯลฯ อะไรพวกนี้.. เราก็รับฟังและพยักหน้าอือๆไป
สุดท้ายคุณหมอก็จ่ายยา Lexapro กับ Rivotril มาค่ะ ต้องกินวันละครึ่งเม็ดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนัดครั้งหน้า
แต่ว่าทีนี้.. ปัญหาของเราถ้าใครมาฟังก็คงคิดว่ามันเล็กน้อยมาก ปัญญาอ่อนหรือเปล่า นี่คิดไปเองทั้งนั้น
แต่สำหรับเรามันคือสุดๆแล้ว ที่พูดออกมาอย่างนี้ไม่รู้จะโทษตัวเองหรือโทษสารเคมีในหัวดี แต่มันหนักสำหรับเราแล้วจริงๆ
ถ้าหากคนไม่ได้มาเป็นอย่างเรา คงยากที่จะอธิบายให้เค้าเข้าใจว่าเรารู้สึกยังไง ..มันมีอะไรมากไปกว่านั้นมากก
ตอนนี้เรามองเจ้ายา 2 ชนิดที่หมอสั่งมานี่ก็คิดว่า ยา 2 เม็ดนี่มันเล็ก ๆ จัง Lexapro เท่าที่รู้มาคือผลข้างเคียงเยอะด้วย
ใจนึงอยากให้โอกาสตัวเองมีความสุขเหมือนคนอื่นดูซักครั้ง
แต่อีกใจก็คิดว่ายาเม็ดเล็กแบบนี้กลืนมันลงไปหมดทุกเม็ดคราวเดียวก็ไม่น่ายาก
ทำยังไงดีคะ เราอยากจะหยุดรู้สึกแย่ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้ไม่สนเท่าไหร่แล้วว่าตัวเองจะหายหรือไม่หาย
แต่ไม่อยากจะรู้สึกแย่แบบนี้อีกแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันจบๆไปซะที ไม่อยากรับรู้อนาคตหรือต้องตัดสินใจอะไรแล้ว
ตอนนี้ ขณะที่พิมพ์อยู่นี่ก็สับสนมาก อยากจะจบทุกอย่างแต่พอคิดถึงพ่อแม่แล้วก็ยิ่งน้ำตาไหลหนัก
จะทำยังไงดี ใครก็ได้ที่เคยผ่านจุดนี้ เราเชื่อว่าจะต้องมีคนที่เคยเป็นแบบเรา ช่วยมาเล่าประสบการณ์ทีค่ะ เผื่อเราจะฉลาดขึ้นได้
สำหรับเราตอนนี้ ความตายมันเป้นเหมือนป้าย exit ตัวใหญ่ๆสว่างๆ ที่เราจะไม่รู้จะเดินก้าวข้ามไปเลยดีมั้ย
ใครเคยพยายามฆ่าตัวตายบ้างมั้ยคะ แล้วผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง
รบกวนช่วยเล่าประสบการณ์ให้เราฟังหน่อยได้มั้ยคะ
เวลาที่อยากฆ่าตัวตายควรคิดยังไง บอกตัวเองยังไงให้ไม่ทำ
ถ้าหากเคยพยายามทำมาแล้ว คุณผ่านมันมาได้ยังไงคะ ชีวิตหลังจากลองพยายามฆ่าตัวตายมาเป็นยังไงบ้าง
บอกตัวเองยังไงไม่ให้พยายามทำอีกรอบ ทำยังไงดีให้ตัวเองรู้สึกว่าควรมีชีวิตต่อไป
เราเพิ่งไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกมาเมื่อวานค่ะ หมอบอกว่าเป็น Dysthymia ซึ่งตัวเราว่าเรามีอาการแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว
ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตเพื่อหายใจไปวันๆ ไม่มีความหวัง ความฝัน หรือเป้าหมายอะไรทั้งนั้น อยู่เพื่อรอวันจะตาย
บวกกับที่เราเป็นคนกลัวการเข้าสังคมมาก รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนบนโลกเลยที่เป็นที่ของเรา
เหมือนเราไม่มีที่จะยืน อยากแต่จะเก็บตัวอยู่ในห้อง
เราอายุ 22 อยู่ปี 4 ค่ะ เพื่อนวัยเดียวกันเค้าแจ้งจบ และหางานทำกันหมดแล้ว แต่ว่าเรากลับไม่กล้าทำอะไรเลย
ทั้ง ๆ ที่เก็บตัวเรียนครบหมดแล้ว เหลือแค่ไปฝึกงานกับทำสารนิพนธ์เท่านั้นเอง..
เรารู้สึกกลัวมาก กลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัว ต้องไปเข้าหาสังคมใหม่ๆ อีกครั้ง
ซึ่งเราเคยเป็นแบบนี้ตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเรากลัวมาก เครียดมาก จนปี 1 เทอม 1 ทั้งเทอมแทบจะไม่ไปเข้าคลาสเลย
เพิ่งจะมาปรับตัวได้ตอนประมาณปลายปี1 เพราะเริ่มชินคนแล้วเลยพอเข้าหาได้ แต่เราก็แทบไม่ได้ร่วมกิจกรรมใดๆในคณะอยู่ดี
เป็นมนุษย์หลืบ
เราพยายามหลบ พยายามหนีความจริงมาตลอด คิดเอาว่าอยู่คนเดียวถึงเหงาแต่อย่างน้อยก็รู้สึกเซฟกว่า
ทีนี้ มันมีปัญหามากเข้ามา 2 อย่าง
1. คือ วิชาสุดท้ายที่เรียนในปี 4 เทอม 2 ดันมีปัญหากับเพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน
มันทำให้เรารู้สึกว่า เห้ย ทำไมคนมันใจร้ายจังเลย เราไม่อยากเจอแบบนี้ เราไม่อยากทนไม่อยากเสียใจ เราเกลียดตัวเองที่มานั่งร้องไห้
2. คือ มีความเครียดจากการกดดันที่ตัวเอง "ต้อง" เปลี่ยนสังคมอีกรอบ ทั้งที่สังคมปัจจุบันเรายังปรับแทบไม่รอด ทุลักทุเล
สังคมการทำงานรู้เลยว่าต้องเจอหนักกว่าเดิมแน่ คนคงโหด โลกคงอยู่ยากขึ้นคุณสามเท่า เราจะทำยังไงดี บลาๆๆ คิดมากต่างๆนาๆ
แม่ก็กดดันว่าเมื่อไหร่เราจะกระตือรือล้นซะที อยู่อย่างนี้ทุกวันมันใช้ไม่ได้
ส่วนคุณพ่อท่านไม่ได้รับรู้เรื่องอาการและความคิดอะไรกับเราด้วย
คือท่านรักเรามากและหวังกับเรามากเพราะเราเป็นลูกคนเล็ก ท่านจะคิดว่าเราเป็นเด็กเรียนดีเรียนเก่งมีอนาคต
ทั้งที่ความจริงเราเกรดรวมแค่ 2 กว่าๆเอง ..ตรงนี้ก็ทำให้เราเครียดและผิดหวังในตัวเองมาก
ที่ดีได้ไม่เท่าที่พ่อแม่เค้าคิดว่าเราดี จนกลายเป็นการกดดันตนเอง
เวลาที่พ่อพูดชมเราแต่ละครั้ง ในใจเราก็ดีใจนะ แต่มันรู้สึกจุกอก เหมือนมีก้อนอยู่ที่คอ
น้ำตามันก็จะไหล เพราะความจริงเราไม่ได้ดีแบบนั้นเลย
สุดท้ายพี่สาวเลยพาเราไปหาหมอ แต่ครั้งแรกนี่เราก็ยังประหม่าและก็ยังเล่าเรื่องให้คุณหมอฟังไม่หมดอยู่ดี ดันรู้สึกเกรงใจคุณหมอ
เลยเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าคือนิสัย คือ"ตัวเอง" จริงๆ เป็นอาการของคนที่ซึมเศร้าเพราะสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ
เช่น นอนยากบางทีนอนตอนเช้า น้ำหนักขึ้น เหม่อลอย สมาธิน้อย ฯลฯ อะไรพวกนี้.. เราก็รับฟังและพยักหน้าอือๆไป
สุดท้ายคุณหมอก็จ่ายยา Lexapro กับ Rivotril มาค่ะ ต้องกินวันละครึ่งเม็ดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนัดครั้งหน้า
แต่ว่าทีนี้.. ปัญหาของเราถ้าใครมาฟังก็คงคิดว่ามันเล็กน้อยมาก ปัญญาอ่อนหรือเปล่า นี่คิดไปเองทั้งนั้น
แต่สำหรับเรามันคือสุดๆแล้ว ที่พูดออกมาอย่างนี้ไม่รู้จะโทษตัวเองหรือโทษสารเคมีในหัวดี แต่มันหนักสำหรับเราแล้วจริงๆ
ถ้าหากคนไม่ได้มาเป็นอย่างเรา คงยากที่จะอธิบายให้เค้าเข้าใจว่าเรารู้สึกยังไง ..มันมีอะไรมากไปกว่านั้นมากก
ตอนนี้เรามองเจ้ายา 2 ชนิดที่หมอสั่งมานี่ก็คิดว่า ยา 2 เม็ดนี่มันเล็ก ๆ จัง Lexapro เท่าที่รู้มาคือผลข้างเคียงเยอะด้วย
ใจนึงอยากให้โอกาสตัวเองมีความสุขเหมือนคนอื่นดูซักครั้ง
แต่อีกใจก็คิดว่ายาเม็ดเล็กแบบนี้กลืนมันลงไปหมดทุกเม็ดคราวเดียวก็ไม่น่ายาก
ทำยังไงดีคะ เราอยากจะหยุดรู้สึกแย่ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้ไม่สนเท่าไหร่แล้วว่าตัวเองจะหายหรือไม่หาย
แต่ไม่อยากจะรู้สึกแย่แบบนี้อีกแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันจบๆไปซะที ไม่อยากรับรู้อนาคตหรือต้องตัดสินใจอะไรแล้ว
ตอนนี้ ขณะที่พิมพ์อยู่นี่ก็สับสนมาก อยากจะจบทุกอย่างแต่พอคิดถึงพ่อแม่แล้วก็ยิ่งน้ำตาไหลหนัก
จะทำยังไงดี ใครก็ได้ที่เคยผ่านจุดนี้ เราเชื่อว่าจะต้องมีคนที่เคยเป็นแบบเรา ช่วยมาเล่าประสบการณ์ทีค่ะ เผื่อเราจะฉลาดขึ้นได้
สำหรับเราตอนนี้ ความตายมันเป้นเหมือนป้าย exit ตัวใหญ่ๆสว่างๆ ที่เราจะไม่รู้จะเดินก้าวข้ามไปเลยดีมั้ย