กรรมบัง ๒๙ มี.ค.๕๗

นิทานชาวสวน

เรื่องแรก

กรรมบัง

        “……ธรรมดาคนทั้งปวง จะทำสิ่งใดย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอด ก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่…….”

        ข้อความข้างต้นนี้ ท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับนิยายอิงพงศาวดารจีน เรื่องสามก๊ก ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า เป็นคำรำพึงของขงเบ้ง ในคราวที่ทำอุบายหลอกให้สุมาอี้ เข้ามาติดกับอยู่ในหุบเขาและจุดไฟคลอก  ทั้ง สุมาอี้กับบุตรชายสองคน ก็ไม่รู้ว่าจะหนีออกไปทางไหนได้ แต่เผอิญเกิดมีฝนตกหนักทำให้ไฟที่ล้อมรอบตัวสามพ่อลูก ดับลงจนหมดสิ้น ขงเบ้งซึ่งยืนบัญชาการอยู่บนภูเขา จึงทอดใจใหญ่และรำพึงรำพันออกมาด้วยประโยคนั้น

        เรื่องนี้น่าจะเป็นความจริงที่แท้แน่นอน สำนวนไทยของเราก็มีว่า บุญมีแต่กรรมบัง ไม่ต้องดูอื่นไกล ตัวผมเองก็เคยประสบมาบ่อยครั้ง ดังที่เคยได้เล่ามาแล้วว่า ตั้งใจจะทำทาน แต่ผู้นั้นไม่รับก็มี หรือเขาไม่ใช่คนขอทางก็มี อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน

        ถนนสามเสนที่ทอดผ่านชุมชนซึ่งผมอาศัย มีรถเมล์แล่นผ่านทั้งหมดประมาณ ๑๐ สาย แต่ขณะที่ผมยืนรออยู่หน้าป้ายเยื้องกับโรงพยาบาลวชิระ เป็นเวลานานกว่าสามสิบนาที มีรถเมล์วิ่งเข้ามาจอด ร่วมยี่สิบคัน ทั้งฟรีและไม่ฟรี ทั้งรถแอร์และรถธรรมดา ทั้งสีแดง สีขาว สีน้ำเงิน และสีเหลืองส้ม ขาดแต่สายที่ผมจะไปคือสาย ๑๖ หรือ ๕๐๕ เท่านั้น น่าแปลกไหม

        ปลายทางที่ผมจะไปนั้น สาย ๑๖ ก็ลงที่แยกปทุมวันหรือมาบุญครอง สาย ๕๐๕ ก็ลงที่แยกราชประสงค์หรือเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วจึงจะเดินไปยังวัดที่อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ        

ผมเคยเล่ามาแล้วหลายครั้งว่า ผมตั้งใจทำบุญทุกวันอาทิตย์ มาเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว ครั้งแรกก็ไปวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ปากเกร็ด นนทบุรี กิจกรรมของเขาก็คือ เก้าโมงเช้าอุบาสกอุบาสิกาสวดมนต์ทำวัตต์เช้า ที่โรงเรียนพุทธธรรม พร้อม ๆ กับทายกทายิกาที่ปูเสื่อ นั่งอยู่ในระหว่างลานหินโค้ง หน้าโรงเรียนนั้นเอง

        สวดมนต์จบเวลาเก้าโมงครึ่ง จะมีปาฐกถาธรรมจากพระภิกษุ ที่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ท่านพุทธทาส สวนโมกขพลาราม หน้าที่นี้เดิมท่านปัญญานันทะหรือพระพรหมมังคลาจารย์ ท่านจะลงมาแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์ เว้นแต่จะมีกิจนิมนต์ไปที่อื่นเท่านั้น พระอาจารย์ท่านนี้เองที่สอนว่า เราควรจะมาวัดทำบุญในวันอาทิตย์ เหมือนศาสนาคริสต์ เพราะวันพระอาจเป็นวันทำงานราชการ ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันหยุดว่างงาน หลังจากที่ท่านมรณภาพเมื่ออายุ ๙๔ ปีแล้ว จึงมีพระภิกษุรูปอื่นผลัดเปลี่ยนกันมาแสดงธรรม

        ต่อมาผมก็ได้รู้จักวัดปทุมวนาราม ที่ถูกขนาบทั้งซ้ายขวา ด้วยศูนย์การค้าใหญ่มโหฬาร คือสยามพารากอน และเซนทรัลเวิลด์ วัดนี้ได้แบ่งอาณาเขตส่วนหนึ่ง เป็นสวนอันร่มรื่นไปด้วยต้นไม้สูงชะลุด และเบียดเสียดกันทำให้ใบไม้ด้านบนซ้อนประสานกัน จนแสงแดดแทบจะลอดผ่านลงมาไม่ได้ ที่น่าสนใจคือทั่วบริเวณมีลำโพงขยายเสียง ที่มีรูปแบบทนแดดทนฝน วางบนพื้นดินในระยะห่างกันพอสมควร และเปิดเสียงเบาพอได้ยินทั่วทุกจุดในสวนนั้น ดังนั้นใครจะทำกรรมวิธีอะไรบนศาลาใหญ่ข้างสวน เช่นเลี้ยงภัตตาหารเพล ฟังเทศน์ฟังธรรม คนที่นั่งบนเก้าอี้ยาวในสวนก็จะได้ยินและรับรู้ทุกประการ เมื่อไม่มีพิธีสงฆ์ เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดเทปธรรมะแทน

        สวนนี้มีชื่อว่าสวนป่าพระราชศรัทธา ตรงกลางสวนชิดไปทางด้านหนึ่ง เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปขนาดพระประธานในโบสถ์ และเรียงรายไปด้วยรูปปั้นเหมือนจริง ของพระภิกษุที่มีชื่อเสียงทั้งหลายนับสิบองค์ แถมด้วยรูปปั้นภาณยักษ์อีกสองตน และปัจจุบันนี้ก็มีรูปปั้นท่านท้าวจตุคามรามเทพ ที่จำลองมาจากเจดีย์บุโรพุทโธ จากประเทศอินโดนีเซียขนาดเท่าคนจริง เพิ่มขึ้นมาให้ผู้มีศรัทธา เคารพกราบไหว้อีกสามองค์ด้วย

        ต่อมาอีกไม่นาน ผมก็เกิดความศรัทธา ที่จะบริจาคเงินสร้างโลงศพ และช่วยเหลือกิจการ สาธารกุศลของมูลนิธิปอเต็กเซียงตึ๊ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็คือการเก็บศพไม่มีญาติ เผาศพไม่มีญาติ และงานทิ้งกระจาดทำทานแก่ผู้ยากไร้เป็นประจำทุกปี และยังแถมได้มีโอกาสทำทาน แก่ขอทานที่นั่งเรียงรายระหว่างทางเดินไปมูลนิธิ เป็นแถวยาวเหยียดมากกว่าสิบคน เพื่อขจัดกิเลสในตัวให้เบาบางลงอีกด้วย

        และสุดท้ายก็ได้พบวัด ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ซึ่งมีกิจกรรมให้เลือก ทำบุญมากมายหลายประการ คือวัดอินทรวิหาร ที่มีหลวงพ่อโตปางอุ้มบาตร อันเป็นพระพุทธรูปยืนที่สมเด็จพระพุทฒาจารย์(โต) เป็นผู้อำนวยการสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว

        ผมจะไปทำบุญตามสถานที่ดังกล่าว เรียงลำดับตามที่เล่ามาข้างต้น ทุกวันอาทิตย์เป็นเวลานานมาก แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันที่หลวงพ่อปัญญานันทได้มรณภาพไปแล้ว ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ปฎิบัติตนตามกำหนดการเดิม คงเป็นแต่นำเงินไปบริจาค เป็นทุนสร้างโบสถ์กลางน้ำ ในมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยของสงฆ์ที่วังน้อย พระนครศรีอยุธยาเท่านั้น แต่ต้องเดินทางไกลมาก ผมจึงเปลี่ยนมาบริจาคที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ท่าพระจันทร์แทน ดังเช่นในปัจจุบัน

        ขณะที่ผมกำลังชะเง้อหารถโดยสาร อยู่ที่ศาลารถประจำทางนั้น นาฬิกาที่ข้างฝาของร้านนาฬิกา ที่ได้ชื่อว่ามีสาขามากที่สุดในประเทศไทย บอกว่าผมได้มายืนอยู่ที่หน้าร้านของเขาเป็นเวลานานถึงสี่สิบห้านาทีแล้ว ผมหมดความอดทนที่จะรอ รถสายที่จะไปวัดปทุมวนาราม ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว และเปลี่ยนใจที่จะไปทำบุญ ที่วัดอินทรวิหารซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เพราะท้องไส้ที่เป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ท้องผูกบ้างท้องเสียบ้าง สลับกันไปไม่เป็นจังหวะจะโคนนั้น ทำท่าจะเป็นปฏิปักษ์กับการเดินทางเสียแล้ว แต่คราวนี้กลับไม่มีรถเมล์ ที่ว่ามีเยอะแยะนั้น ผ่านมาเลยสักคันเดียว เพราะติดอยู่ที่ไฟแดง ตรงเชิงสะพานข้ามคลองสามเสนเป็นกระจุก

        ตอนนี้เวลาดูมันช่างนานเสียเหลือเกิน เสียงโครกครากในท้องดูเหมือนจะดังออกมาให้ได้ยินถี่ขึ้น และลำไส้ใหญ่ก็พยายามจะขับไล่ของเสียให้พ้นไปจากกระเพาะ จนผมพิจารณาใหม่แล้วเห็นว่า ระยะทางจากป้ายรถเมล์ ถึงวัดอินทรวิหาร เทเวศม์ นั้น ยาวไกลกว่าระยะทางที่จะกลับไปเข้าบ้านมากมายนัก ผมจึงตัดสินใจว่าจะกลับบ้านก่อน เมื่อทำธุระอันหนักหนาสาหัสให้ลุล่วงไป แล้วค่อยออกมาเดินทางไปทำบุญใหม่ ด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิม คงจะดีกว่าเป็นแน่แท้

        ขณะที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินอย่างระมัดระวัง เข้าไปในซอยหน้าบ้านนั้น ผมก็รำพึงทำนองเดียวกับขงเบ้ง ในประโยคที่ยกมาไว้แต่ตอนต้นนั้นเหมือนกัน

        ผมเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ครับ.


เรื่องที่ ๒

โอกาสในการทำบุญ

        เมื่อเช้าวันที่ ๑๖ ก.พ.๕๕ ออกจากบ้านจะไปเทเวศร์ เพื่อถอนเงินจากบัญชีหนึ่งไปใช้หนี้อีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งได้ถอนเอาไปใช้รักษาตัว เมื่อต้นเดือน ม.ค.ที่ป่วยกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง กินยาอยู่ ๗ วันก็หายเป็นปกติดี แต่เดินไม่ได้ไกลก็เมื่อยมาก ลูกเขาบอกว่าให้เลิกขึ้นรถเมล์เสียที ไปไหนก็ขึ้นแท็กซี่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงว่าจะเกิดอุบัติเหตุขณะก้าวขึ้น หรือลงรถเมล์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ก็รับปากกับเขาว่าจะเชื่อฟัง แต่ทำใจได้ลำบากมาก สำหรับเราที่เคยขึ้นรถเมล์ใช้บัตรผู้เฒ่า แล้วกลับมาให้เสียค่าแท็กซี่ ซึ่งต่างกันราวฟ้ากับดิน

        และวันนี้เดินมาจนเกือบจะถึงหน้าวชิรพยาบาลแล้ว จึงนึกขึ้นมาๆได้ว่าแท็กซี่หาเรียกแถว ๆ หน้ามหาวิทยาลัยสวนดุสิตก็ได้ ไม่ต้องเดินมาหน้าวชิรพยาบาล คิดแล้วก็เลี้ยวออกไปทางถนนราชวิถี ไม่ช้าก็ได้แท็กซี่เขียวเหลืองค่อนข้างเก่าเป็นพาหนะ

        เมื่อถึงที่หมายคือธนาคารออมสินสาขาเทเวศร์ ก็เข้าไปเบิกเงินจากสมุดบัญชีสองเล่มตามจำนวนที่จะใช้หนี้ แล้วก็ได้เงินปีกหนึ่งยัดใส่กระเป่ากางเกง ออกมาจากธนาคาร มองไปทางฝั่งถนนตรงข้ามเห็นที่ทำการไปรษณีย์เทเวศร์ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ลืมหยิบซองหนังสือ ที่จะส่งพัสดุไปให้เป็นของขวัญวันเกิด แก่เพื่อนในอินเตอร์เนต

        แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเอาไว้วันหลังค่อยจัดการ จึงเดินย้อนกลับมาที่สะพานเทเวศร์นฤมิตร ตรงหัวมุมด้านเหนือเป็นที่ตั้งของธนาคารทหารไทย ที่เปิดใหม่เอี่ยม เข้าไปหยิบแบบฟอร์มมาจะเขียนฝากเงินทั้งหมด ใช้หนี้บัญชีที่ลูกเขาให้เงินไว้สำหรับเวลาไปหาหมอด้วยโรคฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาถามว่า จะฝากหรือถอนจะได้หยิบบัตรคิวให้ เราบอกว่าจะฝากแล้วก็ก้มหน้าจะเขียนใบฝาก เขาก็บอกว่าไม่ต้องเขียนแล้ว ไปบอกเจ้าหน้าที่ ประจำเคาน์เตอร์เลย จริงซีเขามีบริการแบบนี้ ตั้งนานแล้วลืมไปเสียได้

        เสร็จธุระแล้วก็ออกมายืนริมถนน ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดเทวราชกุญชร คราวนี้นึกได้ว่าต้องข้ามไปซื้อแครอดสัก ๕-๖ หัว เอาไปต้มแล้วเข้าเครื่องปั่นกินกับขนมปังนมเย็นตามที่หมอสั่ง เพื่อรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรง ค่อยยังชั่วหน่อย เช้านี้ลืมมาสามอย่างแล้ว

        เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วก็ข้ามถนน กลับมาเรียกแท็กซี่ที่เดิม ไปมูลนิธิ ปอเต็กตึ๊ง ที่มูลนิธิแห่งนี้ได้มาบริจาคเงินทำบุญ เกี่ยวกับโลงศพและเครื่องประกอบ การเก็บศพเป็นประจำ หมุนเวียนกันไปกับวัดสามสี่วัดทุกสัปดาห์ แต่คราวนี้เสียค่าแท็กซี่แทนค่ารถเมล์ จึงตั้งใจจะรวบรวมเงินที่จะบริจาค เป็นเดือนละแห่งเดียว หมุนเวียนกันไปทุกเดือนตลอดปี เพื่อประหยัดค่าเดินทาง

        เมื่อได้ใบรับเงินเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมารอรถหน้าศาลเจ้าไต้ฮงกง เหลียวหาขอทานที่เคยให้เป็นประจำทุกคราว เจอเพียงคนเดียว คงมีอีกหลายคน แต่ขี้เกียจเดินไปหาทางที่พวกเขานั่งกันเป็นกลุ่มให้เมื่อยขา

        เรื่องการทำทานนี้ บางทีก็เจอเยอะบางทีก็ไม่เจอเลย และบางทีเจอแล้วไม่ได้ทำก็มี ก็คงเหมือนกับการทำกิจกรรมเรื่องอื่น ๆ ซึ่งก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย อย่างที่เคยผ่าน ๆ มาแล้ว พอจะนึกขึ้นได้

        ครั้งหนึ่งในซอยหมู่บ้านของเราเอง เด็กหญิงคนหนึ่ง คะเนอายุคงไม่เกินประถมต้น ๆ แต่งตัวสวยงาม บ้านคงจะอยู่แถวนั้น เธอเดินแทะขนมปังกรอบที่มีช็อคโกแลตหุ้มอยู่ อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้เธอก็หยุดยืนรอ แล้วพูดด้วยเสียงน่ารักว่า

        “ ตาขา…ขอตังหนูห้าบาท “

        เราล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชิน แต่ด้วยความที่อยาก จะคุยกับเธอ จึงถามว่า

        “ หนูจะเอาไปทำอะไรหรือ “

        เราไม่ได้คิดว่าเธอจะเอาไปซื้อขนม เพราะมีอยู่ในมือแล้ว จึงอยากจะให้มากกว่าที่ขอนั้น แต่เธอกลับมองหน้าเราที่ช่างซักถามจู้จี้ เธอแกว่งตัวจนกระโปรงส่ายไปมา แล้วสะบัดหน้าเดินต่อไป แต่ไม่ก่อนที่จะพูดว่า

        “ ฮึ…หนูไม่เอาก็ได้ “

        เราก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำบุญ

        อีกคราวหนึ่งที่ศาลเจ้าไต้ฮงกงนี่เอง เมื่อครั้งที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งยังตั้งรวมอยู่ด้วยกัน หลังจากบริจาคเงินทำบุญแล้ว ก็จะเดินออกจากบริเวณ แต่ก่อนจะถึงประตูออกก็เห็นหญิงชราทั้งหน้าตาและการแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแบบไทยแท้คนหนึ่ง นั่งยอง ๆ พนมมือหลับตาอยู่

        เรารีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญบาทที่เหลือสองสามเหรียญ เดินรี่เข้าไปหา แต่หญิงชราผู้นั้นไม่ได้แบมือรับอย่างปกติ ก็พอดีมีหญิงกลางคนซึ่งขายนกปล่อย นั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ ๆ ตะโกนมาด้วยเสียงกราดเกรี้ยวว่า

        "เขาไหว้พระไม่ได้ขอเงิน"

        ทั้งเราและหญิงชราผู้พนมมือ ตกใจเกือบพร้อม ๆ กัน เรารีบก้มตัวลงพนมมือไหว้และบอกขอประทานโทษครับ แล้วก็รีบจ้ำออกประตูไปทันที

        ความนึกคิดต้องสะดุดหยุดลง เพราะมีรถแท็กซี่วิ่งปราดเข้ามาจอดเทียบตรงหน้า จึงก้าวขึ้นไปนั่ง และบอกทีหมายคือสี่แยกการเรือน ซึ่งย่อมไม่มีใครรู้จัก นอกจากจะบอกว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

        วันนี้จึงได้ทำกิจกรรม สำเร็จไปสามสี่อย่าง โดยใช้เงินค่ารถไปเกือบสองร้อยบาท ซึ่งถ้าขึ้นรถเมล์จะเสียเพียง ยี่สิบกว่าบาทเท่านั้น

        อนิจจา อนิจจังสังขาราหนอ.

###########

เจียวต้าย

ชุมชนสวนอ้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่