ผมสังเกตหลายทีละ ค่ายหนังไทย ค่ายที่เป็นที่นิยมทีสุดคือ GTH คงไม่มีใครเถียง นอกจากงานหนังของค่ายนี้จะดูดีมีคุณภาพ มีเครดิตน่าเชื่อถือกว่าค่ายอื่นๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ค่ายนี้ทำหนังเพื่อเอาใจคนดูมาก แบบ สปอยคนดูสุดๆไปเลย เหมือนทีมงานเอาคนดูเป็นโจทย์ ว่าถ้าทำอย่างนี้ อย่างนี้ คนดูจะคิดยังไง ตอบสนองยังไง แล้วถ้าอย่างนี้ อย่างนี้ คนดูจะรู้สึกยังไง เป็นต้น หนังของค่ายนี้เลยออกมาในแนวตอบโจทย์ความต้องการของคนดูหนังส่วนใหญ่ และ ทำรายไได้งามๆเป็นส่วนมาก ผมยกตัวอย่างหนังที่ทำเงินมากที่สุดแห่งสยามประเทศอย่าง พี่มากพระโขนง ที่เห็นชัดๆเลยคือตอนจบ
ด้วยความที่ต้องการเอาใจคนดู GTH ก็ทำให้ตำนานจบเศร้าเรื่องนี้ จบแบบ แฮปปี้เอนดิ้งได้อย่างเหลือเชื่อ โดยเปลี่ยนตอนจบให้ผีใช้ชีวิตร่วมกับคนได้อย่างมีความสุข ซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนักในโลกภาพยนตร์ ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะจบอย่างนี้ แทบจะเป็นคำตอบอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเพื่อตอบสนองความฟีลกู้ดของคนดู ของแฟนๆ GTH นั่นเอง เรียกว่าคนดูต้องการอะไร GTH จะทำวิจัยและทำออกมาดักหน้าดักหลังไว้หมดเลยทีเดียวอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังของค่ายนี้ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้
ส่วนค่ายหนังไทยอื่นๆ อย่างหนังของ M 39 คุณเรียว กิติกร หรือ หนังหม่อมน้อย หนังออกมาเหมือนไม่เคยวิจัยคนดูทั้งคู่ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ สนองนี้ดของผู้กำกับล้วนๆ ดูคู่กรรม ดูจันดาราแล้ว แบบว่า คนที่ชอบก็ชอบเลย คนที่เกลียด ก็เกลียดเลย เหมือนผู้กำกับก็ไม่ได้แคร์ ไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าคนจะชอบ หรือไม่ชอบหนังฉัน ขอแค่ให้ฉันชอบหนังของฉันก็พอ เรียกว่าทำไปแบบไม่แคร์คนดูว่างั้น เมื่อหนังไม่แคร์คนดู คนดูก็เลยไม่แคร์หนัง ก็จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องรายได้ ถึงแม้มีคนชื่นชอบก็จะเป็นเรื่องของเฉพาะกลุ่มไป จะเรียกว่าไม่ Mass ก็ได้ เวลาดูหนังของผู้กำกับเหล่านี้เรียกว่าลายเซ็นผู้กำกับโผล่หรามาในหนังเลย แทบไม่ต้องดู เครดิตก็เดาได้ว่าฝีมือใคร
หนังของผู้กำกับอย่างท่านมุ้ย อย่างสุริโยทัย และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร อันนี้ดูยากหน่อยว่าจริงๆแล้วท่านทำแบบตามใจฉัน หรือ แคร์คนดู เหมือนเป็นลูกผสมๆ ดูกลมกล่อมกว่าของสองค่ายที่ยกตัวอย่างข้างบน มีทั้งส่วนที่ทำตามใจฉันจนแสดงลายเซ็นผู้กำกับออกมา เช่น การดำเนินเรื่องแบบเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ไม่มีย้อนหน้าย้อนหลัง หักมุม หรือจุดพลิกผันให้ลุ้น ให้ใจเต้นรัว หนังเดินไปยังกะดูสารคดี มีทั้งส่วนที่เหมือนเอาใจคนดู เช่นการผูกเรื่องรักสามเส้าของไอ้บุญทิ้ง กับ เลอขิ่น เข้ามาในหนัง และ อีตาสองออกญาคู่จิ้น ( ผมจำชื่อไม่ได้แล้วจำได้แต่หน้า ) แต่ไม่รู้เพราะข้อจำกัดของฝีมือนักแสดงหรือการกำกับ ผมว่าตัวละครในหนังของท่านมุ้ยยังขาดชีวิตชีวาของตัวละครไปโข เมื่อตัวละครไม่มีชีวิตแต่แรก ถึงตายไปคนดูก็ไม่เสียดายประมาณนั้น ( ไอ้บุญทิ้งอยู่กับเรามาตั้ง 3 ภาค โดนหอกเสียบตายภาค 4 กลับไม่ทำให้รู้สึกว่า โธ่ บุญทิ้งไม่น่าตายอนาถเยี่ยงนั่นเลย ) เทียบกับตอน เฮกเตอร์ แห่ง Troy โดน อคิลลิส เสียบแล้วแบบว่า ใจลงไปอยู่ตาตุ่มเลยนั้น คงเพราะบุญทิ้งไม่เคยมีอารมณ์ส่วนตัว นอกจากความจงรักภักดี กับความเจ้าชู้ัยักษณ์ ขณะที่เฮกเตอร์ เขาดูเป็นคนดี รักลูก รักเมีย รักน้อง รักแผ่นดิน และมีความกลัวตาย ชัด
หนังของผู้กำกับอย่างคุณอุ๋ย นนทรี ล่าสุด Timeline ก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะมาเอาใจคนดูซักเท่าไหร่ แต่ใช้วิธีเล่นกับความรู้สึกคนดูแทน จะบอกว่าทำแบบไม่แคร์คนดูก็ไม่เชิงทีเดียวเพราะป้าหมายของหนังคือการพังทะลายความรู้สึกของคนดูให้บ่อน้ำตาแตกไปกับเรื่องให้ได้ เป้าหมายของหนังยังเป็นคนดู ผู้กำกับไม่ได้ทำแบบตามใจฉัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำแบบเจตนาเอาใจคนดูเหมือนของ GTH เขา แต่ใช้คนดูเป็นเป้าหมายพุ่งชน ไม่ได้เอาใจแบบดักทุกทางประมาณนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ดี ถ้าไม่สำเร็จก็เป็กไป ภูมิคุ้มกันคนดูแต่ละคนก็ไม่เท่ากันความสำเร็จและรายได้จึงขึ้นกับความแหลมคมตรงเป้าของการนำเสนอเป็นหลัก
หนังเทศอย่าง Transformer , Iron man, Avenger, อันนี้ดูปั๊บรู้เลย ทำมาตอบสนองคนดูสุดๆ คนดูอยากเห็นอะไรจัดให้จนอิ่มเลยเรียกว่าเสิร์ฟป้อนเข้าปากเขย่าคอให้กลื่นกันเลยทีเดียว ขณะที่หนังอย่าง กำลังแสดงผลการค้นหาสำหรับ Blue jasmine ,LIFE OF PI, Saving Private Ryan จะเหมือนอาหารที่เสิร์ฟที่มาวางตรงหน้าให้คนชิมตัดสินใจเอาเองว่าถูกปากไม่ถูกปาก
จึงมีคำถามว่า จริงๆแล้ว หนังต้องทำเพื่อคนดู ว่าคนดูอยากเห็นอะไรในหนัง หรือ ต้องทำหนังเพื่อผู้กำกับว่าอยากสร้างอะไรให้คนดู
คิดว่าอันไหนคือโจทย์ที่ถูกต้องในการทำหนังซักเรื่องกันแน่ครับ แล้วมันไปด้วยกันได้ไหมที่หนังเรื่องหนึ่งจะนำมาทั้งเงินทั้งกล่องพร้อมๆกัน
ป.ล. ผมแค่คนดูหนังธรรมดาที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่แค่รู้สึกได้ ว่าผู้กำกับแต่ละคนทำหนังไม่เหมือนกัน
การทำหนัง ตามหลักวิชา ต้องทำเพื่อตอบโจทย์คนดู หรือ ทำเพื่อตอบโจทย์ผู้กำกับครับ
ด้วยความที่ต้องการเอาใจคนดู GTH ก็ทำให้ตำนานจบเศร้าเรื่องนี้ จบแบบ แฮปปี้เอนดิ้งได้อย่างเหลือเชื่อ โดยเปลี่ยนตอนจบให้ผีใช้ชีวิตร่วมกับคนได้อย่างมีความสุข ซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนักในโลกภาพยนตร์ ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะจบอย่างนี้ แทบจะเป็นคำตอบอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเพื่อตอบสนองความฟีลกู้ดของคนดู ของแฟนๆ GTH นั่นเอง เรียกว่าคนดูต้องการอะไร GTH จะทำวิจัยและทำออกมาดักหน้าดักหลังไว้หมดเลยทีเดียวอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังของค่ายนี้ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้
ส่วนค่ายหนังไทยอื่นๆ อย่างหนังของ M 39 คุณเรียว กิติกร หรือ หนังหม่อมน้อย หนังออกมาเหมือนไม่เคยวิจัยคนดูทั้งคู่ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ สนองนี้ดของผู้กำกับล้วนๆ ดูคู่กรรม ดูจันดาราแล้ว แบบว่า คนที่ชอบก็ชอบเลย คนที่เกลียด ก็เกลียดเลย เหมือนผู้กำกับก็ไม่ได้แคร์ ไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าคนจะชอบ หรือไม่ชอบหนังฉัน ขอแค่ให้ฉันชอบหนังของฉันก็พอ เรียกว่าทำไปแบบไม่แคร์คนดูว่างั้น เมื่อหนังไม่แคร์คนดู คนดูก็เลยไม่แคร์หนัง ก็จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องรายได้ ถึงแม้มีคนชื่นชอบก็จะเป็นเรื่องของเฉพาะกลุ่มไป จะเรียกว่าไม่ Mass ก็ได้ เวลาดูหนังของผู้กำกับเหล่านี้เรียกว่าลายเซ็นผู้กำกับโผล่หรามาในหนังเลย แทบไม่ต้องดู เครดิตก็เดาได้ว่าฝีมือใคร
หนังของผู้กำกับอย่างท่านมุ้ย อย่างสุริโยทัย และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร อันนี้ดูยากหน่อยว่าจริงๆแล้วท่านทำแบบตามใจฉัน หรือ แคร์คนดู เหมือนเป็นลูกผสมๆ ดูกลมกล่อมกว่าของสองค่ายที่ยกตัวอย่างข้างบน มีทั้งส่วนที่ทำตามใจฉันจนแสดงลายเซ็นผู้กำกับออกมา เช่น การดำเนินเรื่องแบบเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ไม่มีย้อนหน้าย้อนหลัง หักมุม หรือจุดพลิกผันให้ลุ้น ให้ใจเต้นรัว หนังเดินไปยังกะดูสารคดี มีทั้งส่วนที่เหมือนเอาใจคนดู เช่นการผูกเรื่องรักสามเส้าของไอ้บุญทิ้ง กับ เลอขิ่น เข้ามาในหนัง และ อีตาสองออกญาคู่จิ้น ( ผมจำชื่อไม่ได้แล้วจำได้แต่หน้า ) แต่ไม่รู้เพราะข้อจำกัดของฝีมือนักแสดงหรือการกำกับ ผมว่าตัวละครในหนังของท่านมุ้ยยังขาดชีวิตชีวาของตัวละครไปโข เมื่อตัวละครไม่มีชีวิตแต่แรก ถึงตายไปคนดูก็ไม่เสียดายประมาณนั้น ( ไอ้บุญทิ้งอยู่กับเรามาตั้ง 3 ภาค โดนหอกเสียบตายภาค 4 กลับไม่ทำให้รู้สึกว่า โธ่ บุญทิ้งไม่น่าตายอนาถเยี่ยงนั่นเลย ) เทียบกับตอน เฮกเตอร์ แห่ง Troy โดน อคิลลิส เสียบแล้วแบบว่า ใจลงไปอยู่ตาตุ่มเลยนั้น คงเพราะบุญทิ้งไม่เคยมีอารมณ์ส่วนตัว นอกจากความจงรักภักดี กับความเจ้าชู้ัยักษณ์ ขณะที่เฮกเตอร์ เขาดูเป็นคนดี รักลูก รักเมีย รักน้อง รักแผ่นดิน และมีความกลัวตาย ชัด
หนังของผู้กำกับอย่างคุณอุ๋ย นนทรี ล่าสุด Timeline ก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะมาเอาใจคนดูซักเท่าไหร่ แต่ใช้วิธีเล่นกับความรู้สึกคนดูแทน จะบอกว่าทำแบบไม่แคร์คนดูก็ไม่เชิงทีเดียวเพราะป้าหมายของหนังคือการพังทะลายความรู้สึกของคนดูให้บ่อน้ำตาแตกไปกับเรื่องให้ได้ เป้าหมายของหนังยังเป็นคนดู ผู้กำกับไม่ได้ทำแบบตามใจฉัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำแบบเจตนาเอาใจคนดูเหมือนของ GTH เขา แต่ใช้คนดูเป็นเป้าหมายพุ่งชน ไม่ได้เอาใจแบบดักทุกทางประมาณนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ดี ถ้าไม่สำเร็จก็เป็กไป ภูมิคุ้มกันคนดูแต่ละคนก็ไม่เท่ากันความสำเร็จและรายได้จึงขึ้นกับความแหลมคมตรงเป้าของการนำเสนอเป็นหลัก
หนังเทศอย่าง Transformer , Iron man, Avenger, อันนี้ดูปั๊บรู้เลย ทำมาตอบสนองคนดูสุดๆ คนดูอยากเห็นอะไรจัดให้จนอิ่มเลยเรียกว่าเสิร์ฟป้อนเข้าปากเขย่าคอให้กลื่นกันเลยทีเดียว ขณะที่หนังอย่าง กำลังแสดงผลการค้นหาสำหรับ Blue jasmine ,LIFE OF PI, Saving Private Ryan จะเหมือนอาหารที่เสิร์ฟที่มาวางตรงหน้าให้คนชิมตัดสินใจเอาเองว่าถูกปากไม่ถูกปาก
จึงมีคำถามว่า จริงๆแล้ว หนังต้องทำเพื่อคนดู ว่าคนดูอยากเห็นอะไรในหนัง หรือ ต้องทำหนังเพื่อผู้กำกับว่าอยากสร้างอะไรให้คนดู
คิดว่าอันไหนคือโจทย์ที่ถูกต้องในการทำหนังซักเรื่องกันแน่ครับ แล้วมันไปด้วยกันได้ไหมที่หนังเรื่องหนึ่งจะนำมาทั้งเงินทั้งกล่องพร้อมๆกัน
ป.ล. ผมแค่คนดูหนังธรรมดาที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่แค่รู้สึกได้ ว่าผู้กำกับแต่ละคนทำหนังไม่เหมือนกัน