เรื่องราวดีๆ ที่อยากแชร์ : พิธีกรรม vs การรับฟังเสียงคิดของลูก

รอบนี้เป็นบทความที่คุณพ่อเขียนไว้ล่าสุด
คิดว่าเอามาแชร์ต่อในนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับวงกว้างมากขึ้นไปอีก
หลายบ้านอาจทำบ่อยๆ แต่บางบ้านก็หลงลืม อยากให้ลองอ่านดูค่ะ

----------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่9 พิธีกรรม

หลายคนเห็นชื่อตอนแล้วอาจจะงงว่า เลี้ยงลูก ทำไมมีพิธีกรรมด้วย
สงสัยจะเป็นเรื่องงมงายแน่ๆ ช้าก่อนๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะครับ

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมได้มาจาก การร่วม “ work shop คลาสพ่อแม่คลาสหนึ่ง”
เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดตัวตนของพ่อ แม่ให้ใกล้ชิดกับลูก สร้างสัมพันธ์ทางใจ ระหว่างพ่อ แม่ ลูกได้อีกด้วย
วิธีนี้ยังเป็นการ ทำให้ Implicit Memory แปลเปลี่ยนเป็น Explicit Memoryได้อีกด้วยนะครับ
(การที่ไม่ทิ้งสิ่งที่ติดค้างไว้ในใจลูก )

วิธีการก็คือ ง่ายๆครับ หาเวลาที่สบายๆ ที่อยู่พร้อมหน้าพ่อ แม่ลูก อาจจะจุดเทียนซัก 1 เล่ม
จะกินขนมกันไปด้วยก็ได้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศ ให้ความรู้สึกอบอุ่นนิ่งสงบมั่นคง
แล้วเริ่มบอกลูกของเราว่า “ ถ้าแม่ทำอะไรผิดไป แม่ขอโทษนะแม่รักลูกนะ ”
อาจจะมีด้ายสายสินธ์ มาผูกที่ข้อมือลูกด้วยก็ได้ ผมเชื่อว่าหลายท่านไม่เคยทำแน่ๆ
ผมเองก็ไม่เคยทำ ซึ่งวิธีนี้ผมว่าเป็นเครื่องมือในการลดตัวตนของคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราๆได้เป็นอย่างดีเลย

ผมคิดว่าการเปิดใจขอโทษและรับฟังลูกนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สังคมไทยในสมัยนี้ละเลย
อาจจะด้วยสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่เร่งรีบ แข่งขันจนเราละเลยที่เราจะรับฟังเสียงในครอบครัว
พ่อ แม่ หลายคนเลี้ยงลูกแบบ ลูกต้องฟัง ฉันๆถูกเสมอเพราะฉันเป็นพ่อแม่ของเธอนะ
โดยที่ไม่เคยรับฟังเสียงเล็กๆของลูกเลย ลองคิดดูสิครับถ้าเราไม่ลดตัวตนของเราเพื่อไปฟังลูกหรือขอโทษลูกบ้าง
เมื่อเราทำผิดกับเค้า อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อลูกเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ลูกก็จะติดเพื่อนมากขึ้นเพราะเค้ากลัวคุณ
และเพื่อนจะรับฟังเค้ามากกว่าคุณ (พวกเราทราบดีเพราะเราก็ต่างผ่านช่วงวัยนั้นมาแล้ว)
ระยะห่างระหว่างคุณกับเค้าจะห่างออกไปเรื่อยๆ ถ้าคบเพื่อนดีก็ดีไป ถ้าคบเพื่อนแย่ก็แย่ตาม

ผมมีเรื่องจากคุณแม่นุช ที่ สัมมนา work shop  มาแชร์ให้อ่านครับ (เพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆให้สังคมครับ)

“ได้กลับไปทำพิธีกรรมเล็กๆในการพูดคุยหลังจากอบรมวันแรก
คือล้อมวงสนทนาในบรรยากาศสบายๆก่อนนอนระหว่างพ่อ.แม่ ลูก จุดเทียน.หาที่นอน
หมอนนุ่มๆมานั่งคุยกัน
ลูกสาว4ขวบกว่ารู้สึกติ่นเต้นมาก เขาขออ่านนิทาน และร้องเพลงพร้อมทั้งเชิญชวนให้ทำท่าประกอบตามเขา.
และขอเป็นผู้นำวงสนทนา เขาขอให้จัดแบบนี้ทุกคืนเราก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง.ทุกครั้งที่ทำจะรู้สึกดี
ล่าสุดมีวันนึงไปซื้อของที่โลตัส ขณะจ่ายเงินเราหาเงินในกระเป๋านึกว่าหาย.ก็เริ่มคิดและหงุดหงิด
ลูกสาวร้องเรียกและเซ้าซี้ให้แม่ดูเขาเล่น.เราดุกลับไปเดี๋ยวก่อนได้มั้ย
ลูกสาวก็เงียบไป.พอตกกลางคืน ลูกสาวพูดขึ้นในวงว่า
ลูก : "วันนี้หนูรู้สึกเสียใจมี่แม่ดุ”(เค้ายังติดใจอยู่)
แม่: "อืมแม่ขอโทษ แม่ขอสารภาพว่าตอนนั้นแม่หาเงินไม่เจอ และเริ่มหงุดหงิดไม่มีสติ มัวแต่คิดว่าเงินหายไปไหน แม่ต้องขอโทษด้วยนะที่ดุหนู"
ลูก: "ไม่เป็นไร ค่ะ หนูใหอภัย .แต่คราวหลังแม่พูดอย่างนี้ก็ได่ว่า"ตอนนี้แม่กำลังคิดอยู่อย่าเพิ่งรบกวนแม่ได้มั้ยจ้ะ” "หนูชอบให้พูดดีๆเพราะๆ ไม่ชอบให้ดุ”
แม่: "อ๋อ อยากให้แม่พูดแบบนี้เหรอลูก ได้สติ ขอบใจนะที่บอกความต้องการ และเสนอวิธีการเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนี้อีก "
รู้สึกเห็นประโยชน์จากการทำพิธีกรรมเล็กๆแบบนี้เพราะมันช่วยให้คลายสิ่งที่ติดอยู่ในใจที่อาจประสบได้ในแต่ละวัน ได้เคลียร์ไม่ค้างคา พร้อใทั้งร่วมหาทางออก อีกทั้งเป็นการฝึกลูกเมื่อเขาโตขึ้นเขาจะมีรูปแบบการแก้ไขปัญหาได้.เขาพร้อมจะปรึกษาพูดคุยกับเรา และมีสัมพันธภาพที่อบอุ่นใกล้ชิด


ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆของแม่นุชไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ซึ่งทำให้ผมรับรู้ได้ว่าวิธีนี้ใช้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวแล้วยังทำให้เราทราบความรู้สึกของลูกได้อีกด้วย
ถ้าทุกครอบครัวทำพิธีนี้กันทุกๆวันผมเชื่อว่าในอนาคตปัญหาสังคมจะลดน้อยลงและมีเยาวชน ที่ดีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน


ส่วนผมแม้ว่าลูกผมจะยังพูดไม่ได้เยอะแบบเด็กโต
แต่ผมก็จะค่อยๆเริ่มพิธีกรรมนี้ก่อนนอนกับเค้าดูครับ
ให้เค้าได้ซึมซับการรับฟังและการเปิดใจกันในครอบครัวครับ

จาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
---------------------------------------

หวังว่าเรื่องราวนี้จะเป้นประโยชน์กับหลายๆบ้านนะคะ   ส่วนตัวคิดว่าใช้ได้กับลูกๆทุกวัย ขอแค่เพียงคุณพ่อคุณแม่เปิดใจ
เร่ืองเล็กๆแค่การรับฟังเด็กๆ ลูกๆของเรา อาจจะทำให้พวกเราได้ฟังความคิดหรือเรื่องราวของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่