สวัสดีค่ะเพื่อนๆพี่ๆห้องสวนลุมทุกคนนะคะห่างหายจากการตั้งกระทู้ในห้องสวนลุมไปซะ 4 ปี กลับมาเจอพันทิปแบบใหม่งงนิดหน่อย
วันนี้ยังมีชีวิตอยู่หลังจากเคยหวาดกลัว กังวลว่าฉันจะรอดมั๊ย จะมีชีวิตได้อยู่กี่ปี ไม่มีงานทำแล้วจะทำยังไงต่อไปใครจะมาเลี้ยงดูเราบลาๆ((ออกแนววิตกจริต))
วันนี้ยังคงแข็งแรงและมีความสุขสดชื่นดีค่ะ
เกริ่นนำมาเยอะแล้วเข้าเรื่องกันเลยแล้วกันนะคะ จขกท.ป่วยเป็นโรคลูปัส หรือ S.L.E หรือที่คนไทยรู้จักกันแพร่หลายในชื่อของโรคพุ่มพวงค่ะ ป่วยแรกๆเพื่อนพ้องโทรมาสอบถามอิ่เจ้แกป่วยเป็นอะไรว๊า พอบอกเอสแอลอีเพื่อนทรพีมันดันไปเล่าต่อว่าอิ่เจ้ป่วยเป็นเฮชไอวี ตอนหลังเลยต้องบอกว่าฉันเป็นโรคพุ่มพวงนะจ๊ะถึงได้สยบข่าวลือลงไปได้ เราป่วยในช่วงปีแรกๆอาการทรงๆทรุดๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวทรุดปีนึงเข้าโรงพยาบาล3-7 ครั้ง เดี๋ยวป่วยๆด้วยสารพัดเหตุ รักษาตามสภาพด้วยบัตรทอง 30 บาท หมอนัดทุกเดือนก็กินยาตามหมอสั่ง((แอบสารภาพว่าช่วงไหนท้อแท้รู้สึกว่าชีวิตมันไม่น่าอยู่แล้วมันเหนื่อยเวลาป่วยมันทรมานเป็นภาระแม่ต้องทั้งหาเงินทั้งวิ่งไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเพื่อไปนอนเฝ้าเรายุงก็เยอะร้อนก็ร้อนเลยแอบทิ้งยาไปซะก็ตั้งเยอะ)) ก็ทรงๆทรุดๆกันมา 4 ปี จนในที่สุดคำที่ไม่อยากจะได้ยินจากคุณหมอก็คือ
"หมอคิดว่าหมอจะส่งธนัชชาไปเจาะเนื้อเยื่อของไตที่กรุงเทพพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกมานะ อยากไปไหนศิริราชหรือราชวิถี"
หนูไม่อยากไปซกกะที่ค่ะคุณหมอ T___T
ตอนนั้นคำว่าเจาะไตคือเป็นอะไรที่เรากลัวมากเพราะเรากลัวเข็มเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเจาะไตเชียวนะเว๊ย มันต้องเอาเข็มแหลมๆยาวๆแบบเข็มฉีดวัวฉีดควายเจาะลงไปในตัวเลยนะเว๊ย((อิ่นี่คิดไปไกลมาก))
แต่พอแม่ถามกลัวมั๊ย....กลัวเกลออะไรเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ((แต่ในใจแอบร้องไห้ไม่เจาะได้มั๊ยกลัวจะตายแล้วเนี่ย))
พอรู้ว่าจะต้องเจาะไตทำอะไรบ้าง....
คือตอนแรกที่หมอบอกให้เลือกโรงพยาบาลก็คิดแล้วจะเอายังไงดีถ้าไปราชวิถีก็แค่นั่งรถตู้ไปถึงก็ลงป้ายได้เลยเดินทางจากกาญจน์สะดวกสบายแต่เพื่อนแม่บอกว่าไปศิริราชเถอะลูกป้าก็รักษาที่นั่น
แม่ก็บอกเออไปสิศิริราชนั่นแหล่ะเค้าไม่ให้ญาติเฝ้าแต่พยาบาลดูแลดี
เอาวะ ศิริราชก็ศิริราช ตอนนั้นคิดว่าไปศิริราชก็ดีจะไปลงนามถวายพระพรในหลวงด้วยก็เลยแจ้งคุณหมอไปว่าขอส่งตัวไปศิริราชคุณหมอก็ทำใบส่งตัวให้มาจากนั้นก็หาข้อมูลในเน็ตค่ะว่า
"เจาะไตเจ็บมั๊ย" -..- รู้สึกตัวเองไม่มีสาระอะไรเอาซะเลยในการค้นคว้า
ยิ่งพออ่านแล้วเห็นการบรรยายคือยิ่งกลัวไปกรีดร้องโวยวายกับน้องๆที่รู้จักว่ากลัวอ่ะมีแต่คนบอกว่าเจ็บ บลาๆ น้องๆก็บอกว่ายังไม่ทันจะเจาะเลยจะรู้ได้ไงว่าเจ็บแค่เค้าบอกว่า เค้าเล่าว่าเองพี่ว่าน
ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พอทำใจได้เราก็เข้ากรุงเทพ((ช่วงนั้นลงทุนไปดูคอนมิวสิคเวฟกะว่าขอเจอเอ็กโซก่อนตายแล้วจะไม่เสียดายชีวิต ไปหากำลังใจ)) มีความสุขกับวิถีติ่งแล้ว ได้กำลังใจจากเพื่อนๆแล้ว ก็ไปกันเลย เลสโก ศิริราช...
วันแรกที่ไป.....เคว้งคว้าง....ต้องไปติดต่อที่ไหน ตึกนี้อยู่ไหน ไปยังไง อะไร เจาะเลือดห้องนั้น หิ้วฟิล์มไปห้องนี้ ไปชั้นสองห้องนี้ แล้วลงไปชั้นนี้ห้องนั้น เอาประวัติไปตึกนี้ แล้วย้อนไปตึกนู้น....เอ่อ...จะย้อนไปย้อนมาไปไหนทำไมมันหลายขั้นตอนแท้วุ่นวายไปหมดกว่าจะได้พบหมอคือบ่ายแล้วผลก็คือยังไงม่ได้เจาะ
หมอบอกว่าผลเลือดผลตรวจที่ส่งมาโบราณมากต้องตรวจใหม่ทั้งหมด....ตึ่งโป๊ะ!!!
สรุปวันนั้นไปเดินทัวร์ศิริราชค่ะก็กลับมาหอน้องเพราะหมอนัดอีก 3 วันต่อมา แล้วก็วนแบบเดิมไปๆกลับๆโรงพยาบาลเป็นเดือนตรวจนั่นตรวจนี่แล้วคุณหมอก็แจ้งว่า
"เป็นเอสแอลอีถูกแล้วนะคะ" อยากรัวเลข 5 ซักล้านตัว นึกว่าตรวจใหม่จะเปลี่ยนแปลง เอสแอลอีลงไต กระเพาะ กรดไหลย้อน เลือดจาง ภูมิแพ้
ทีนี้เราโชคดีที่การหาหมอที่ตึก OPD ครั้งนั้นเจอคุณหมอรัตนาท่านก็บอกว่าผลการตรวจของเราตรงกับที่โครงการของเมืองนอกต้องการสนใจจะเข้าร่วมมั๊ยเป็นโครงการวิจัยยาระยะเวลาในการวิจัย 1 ปี ก็ไม่คิดอะไรมากตอบตกลงแล้วบอกคุณหมอว่าเอาเลยค่ะหนูไม่มีความหวังอะไรในชีวิตแล้วถ้ามันจะเป็นประโยชน์หนูก็พร้อมแต่ถ้ามันไม่สำเร็จยังไงไม่วันใดวันหนึ่งหนูก็ต้องตาย
คุณหมอก็บอกว่าอยู่กับหมอไม่ตายง่ายๆหรอก((คุณหมอน่ารักมากค่ะเวลาไปหาเหมือนได้ไปผ่อนคลายท่านคุยสนุกพี่นิผู้ช่วยคุณหมอก็น่ารัก))
ทีนี้ถึงขั้นตอนการเจาะไตพี่นิก็จะให้คู่มือการเจาะไตมาอ่านมาศึกษา
มันไม่ได้ส่งตัวปุ๊บจะได้เจาะเลยต้องตรวจแล้วก็นัดวันเจาะก็โอเควันที่ 9 เมษา((มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิดของปีที่แล้วตรงกับวันอังคาร)) หมอนัดเราไปตอนเช้าไปถึงตึกผะอบด้วยหัวใจสั่นระรัว
ไร้ญาติ ขาดมิตร ไปคนเดียว กลัวก็กลัว บางทีก็ยากได้กำลังใจ น้องที่รู้จักอาสาจะมาเป็นเพื่อนแต่เกรงใจปฎิเสธไป
พอเปลี่ยนชุดเสร็จวัดความดันนู่นนี่นั่นเวลาดีก็มาถึง
ระหว่างที่นอนรอคือมีคนไปเจาะก่อนเราสองคนหมอก็เข็นไปขำๆแป๊บเดียวกลับมาแต่ป้าๆทำหน้าซีดทำไม ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วในที่สุดก็ถึงตาเราคุณหมอพาเราเข้าห้องเจาะจะมีหมอ 2 คนคือคุณหมอรัตนากับหมอผู้ชายเสียงหล่อๆอีกคน เรานอนคว่ำมีหมอนรองอีกทีท่านก็ขานระยะกันกี่เซ้นต์ๆ ก็ชวนเราคุย อิ่นี่ก็คุยเพลินเลยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หมอบอกเราอารมณ์ดีนะก็ฉีดยาชา....อันนี้ยอมรับว่าเจ็บมันเจ็บแบบจึ๊กๆอ่ะเจ็บเหมือนมีคนมาหยิกหนังเราแต่ก็แป๊บเดียวไม่น่าจะถึง 5 นาที
หมอก็คลำๆลูบๆท้องเราขยับตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยก็คุยๆจ้อ ใจก็จดจ่อว่าเมื่อไหร่หมอจะเจาะ แล้วก็ปล่อยมุขไม่หยุดราวๆ 5 นาทีหมอก็พูดว่า
"เสร็จแล้ว"
"ห๊า!!!! เจาะตอนไหนทำไมไม่รู้สึกเลย"
ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่าเจาะไตไม่เจ็บเลยยยยย
เสร็จแบบไม่รู้ตัว
แล้วที่กลัวๆมาเป็นเดือนคืออะไร???
พอเสร็จคุณหมอก็ให้เรากลับเตียงแล้วก็เข็นเรามาเก็บให้ห้องพักฟื้น พี่เตียงข้างๆก็แบบให้กำลังใจดีมากบอกว่าพี่เจาะมา 7 รอบแล้ว
สรุปคือต้องนอนนิ่งๆห้ามขยับ 6 ชม. ตอนข้าวเย็นมาคือต้องนอนทานคุณป้าพยาบาลก็เข้ามาถามว่าทานเองได้มั๊ยป้าป้อนให้มั๊ย((น้ำตาจะไหล)) แต่ก็บอกหนูทานได้ค่ะ
จากนั้นท่านก็จะมาถามปวดฉี่มั๊ย ด้วยความที่อายอ่ะเนอะก็บอกว่าไม่ปวด คุณป้าก็แบบถ้าไม่ฉี่ไม่ได้กลับบ้านนะ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องกดออดบอกท่านว่าหนูปวดฉี่แล้วค่ะ
เรานอนจนถึง 3 ทุ่ม พยาบาลก็มาบอกว่ากลับบ้านได้ที่ช้าเพราะไม่มีญาติมาเดินเอกสาร
สรุปอีกรอบถ้าอาการเราโอเคเจาะวันนั้นกลับวันนั้นได้เลยค่ะ
ยืนยันอีกครั้ง
เจาะไตไม่เจ็บเลยซักนิด((ยกเว้นตอนฉีดยาชา))
ประสบการณ์ เจาะไตใครว่าเจ็บ S.L.E
วันนี้ยังมีชีวิตอยู่หลังจากเคยหวาดกลัว กังวลว่าฉันจะรอดมั๊ย จะมีชีวิตได้อยู่กี่ปี ไม่มีงานทำแล้วจะทำยังไงต่อไปใครจะมาเลี้ยงดูเราบลาๆ((ออกแนววิตกจริต))
วันนี้ยังคงแข็งแรงและมีความสุขสดชื่นดีค่ะ
เกริ่นนำมาเยอะแล้วเข้าเรื่องกันเลยแล้วกันนะคะ จขกท.ป่วยเป็นโรคลูปัส หรือ S.L.E หรือที่คนไทยรู้จักกันแพร่หลายในชื่อของโรคพุ่มพวงค่ะ ป่วยแรกๆเพื่อนพ้องโทรมาสอบถามอิ่เจ้แกป่วยเป็นอะไรว๊า พอบอกเอสแอลอีเพื่อนทรพีมันดันไปเล่าต่อว่าอิ่เจ้ป่วยเป็นเฮชไอวี ตอนหลังเลยต้องบอกว่าฉันเป็นโรคพุ่มพวงนะจ๊ะถึงได้สยบข่าวลือลงไปได้ เราป่วยในช่วงปีแรกๆอาการทรงๆทรุดๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวทรุดปีนึงเข้าโรงพยาบาล3-7 ครั้ง เดี๋ยวป่วยๆด้วยสารพัดเหตุ รักษาตามสภาพด้วยบัตรทอง 30 บาท หมอนัดทุกเดือนก็กินยาตามหมอสั่ง((แอบสารภาพว่าช่วงไหนท้อแท้รู้สึกว่าชีวิตมันไม่น่าอยู่แล้วมันเหนื่อยเวลาป่วยมันทรมานเป็นภาระแม่ต้องทั้งหาเงินทั้งวิ่งไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเพื่อไปนอนเฝ้าเรายุงก็เยอะร้อนก็ร้อนเลยแอบทิ้งยาไปซะก็ตั้งเยอะ)) ก็ทรงๆทรุดๆกันมา 4 ปี จนในที่สุดคำที่ไม่อยากจะได้ยินจากคุณหมอก็คือ
"หมอคิดว่าหมอจะส่งธนัชชาไปเจาะเนื้อเยื่อของไตที่กรุงเทพพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกมานะ อยากไปไหนศิริราชหรือราชวิถี"
หนูไม่อยากไปซกกะที่ค่ะคุณหมอ T___T
ตอนนั้นคำว่าเจาะไตคือเป็นอะไรที่เรากลัวมากเพราะเรากลัวเข็มเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเจาะไตเชียวนะเว๊ย มันต้องเอาเข็มแหลมๆยาวๆแบบเข็มฉีดวัวฉีดควายเจาะลงไปในตัวเลยนะเว๊ย((อิ่นี่คิดไปไกลมาก))
แต่พอแม่ถามกลัวมั๊ย....กลัวเกลออะไรเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ((แต่ในใจแอบร้องไห้ไม่เจาะได้มั๊ยกลัวจะตายแล้วเนี่ย))
พอรู้ว่าจะต้องเจาะไตทำอะไรบ้าง....
คือตอนแรกที่หมอบอกให้เลือกโรงพยาบาลก็คิดแล้วจะเอายังไงดีถ้าไปราชวิถีก็แค่นั่งรถตู้ไปถึงก็ลงป้ายได้เลยเดินทางจากกาญจน์สะดวกสบายแต่เพื่อนแม่บอกว่าไปศิริราชเถอะลูกป้าก็รักษาที่นั่น
แม่ก็บอกเออไปสิศิริราชนั่นแหล่ะเค้าไม่ให้ญาติเฝ้าแต่พยาบาลดูแลดี
เอาวะ ศิริราชก็ศิริราช ตอนนั้นคิดว่าไปศิริราชก็ดีจะไปลงนามถวายพระพรในหลวงด้วยก็เลยแจ้งคุณหมอไปว่าขอส่งตัวไปศิริราชคุณหมอก็ทำใบส่งตัวให้มาจากนั้นก็หาข้อมูลในเน็ตค่ะว่า
"เจาะไตเจ็บมั๊ย" -..- รู้สึกตัวเองไม่มีสาระอะไรเอาซะเลยในการค้นคว้า
ยิ่งพออ่านแล้วเห็นการบรรยายคือยิ่งกลัวไปกรีดร้องโวยวายกับน้องๆที่รู้จักว่ากลัวอ่ะมีแต่คนบอกว่าเจ็บ บลาๆ น้องๆก็บอกว่ายังไม่ทันจะเจาะเลยจะรู้ได้ไงว่าเจ็บแค่เค้าบอกว่า เค้าเล่าว่าเองพี่ว่าน
ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พอทำใจได้เราก็เข้ากรุงเทพ((ช่วงนั้นลงทุนไปดูคอนมิวสิคเวฟกะว่าขอเจอเอ็กโซก่อนตายแล้วจะไม่เสียดายชีวิต ไปหากำลังใจ)) มีความสุขกับวิถีติ่งแล้ว ได้กำลังใจจากเพื่อนๆแล้ว ก็ไปกันเลย เลสโก ศิริราช...
วันแรกที่ไป.....เคว้งคว้าง....ต้องไปติดต่อที่ไหน ตึกนี้อยู่ไหน ไปยังไง อะไร เจาะเลือดห้องนั้น หิ้วฟิล์มไปห้องนี้ ไปชั้นสองห้องนี้ แล้วลงไปชั้นนี้ห้องนั้น เอาประวัติไปตึกนี้ แล้วย้อนไปตึกนู้น....เอ่อ...จะย้อนไปย้อนมาไปไหนทำไมมันหลายขั้นตอนแท้วุ่นวายไปหมดกว่าจะได้พบหมอคือบ่ายแล้วผลก็คือยังไงม่ได้เจาะ
หมอบอกว่าผลเลือดผลตรวจที่ส่งมาโบราณมากต้องตรวจใหม่ทั้งหมด....ตึ่งโป๊ะ!!!
สรุปวันนั้นไปเดินทัวร์ศิริราชค่ะก็กลับมาหอน้องเพราะหมอนัดอีก 3 วันต่อมา แล้วก็วนแบบเดิมไปๆกลับๆโรงพยาบาลเป็นเดือนตรวจนั่นตรวจนี่แล้วคุณหมอก็แจ้งว่า
"เป็นเอสแอลอีถูกแล้วนะคะ" อยากรัวเลข 5 ซักล้านตัว นึกว่าตรวจใหม่จะเปลี่ยนแปลง เอสแอลอีลงไต กระเพาะ กรดไหลย้อน เลือดจาง ภูมิแพ้
ทีนี้เราโชคดีที่การหาหมอที่ตึก OPD ครั้งนั้นเจอคุณหมอรัตนาท่านก็บอกว่าผลการตรวจของเราตรงกับที่โครงการของเมืองนอกต้องการสนใจจะเข้าร่วมมั๊ยเป็นโครงการวิจัยยาระยะเวลาในการวิจัย 1 ปี ก็ไม่คิดอะไรมากตอบตกลงแล้วบอกคุณหมอว่าเอาเลยค่ะหนูไม่มีความหวังอะไรในชีวิตแล้วถ้ามันจะเป็นประโยชน์หนูก็พร้อมแต่ถ้ามันไม่สำเร็จยังไงไม่วันใดวันหนึ่งหนูก็ต้องตาย
คุณหมอก็บอกว่าอยู่กับหมอไม่ตายง่ายๆหรอก((คุณหมอน่ารักมากค่ะเวลาไปหาเหมือนได้ไปผ่อนคลายท่านคุยสนุกพี่นิผู้ช่วยคุณหมอก็น่ารัก))
ทีนี้ถึงขั้นตอนการเจาะไตพี่นิก็จะให้คู่มือการเจาะไตมาอ่านมาศึกษา
มันไม่ได้ส่งตัวปุ๊บจะได้เจาะเลยต้องตรวจแล้วก็นัดวันเจาะก็โอเควันที่ 9 เมษา((มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิดของปีที่แล้วตรงกับวันอังคาร)) หมอนัดเราไปตอนเช้าไปถึงตึกผะอบด้วยหัวใจสั่นระรัว
ไร้ญาติ ขาดมิตร ไปคนเดียว กลัวก็กลัว บางทีก็ยากได้กำลังใจ น้องที่รู้จักอาสาจะมาเป็นเพื่อนแต่เกรงใจปฎิเสธไป
พอเปลี่ยนชุดเสร็จวัดความดันนู่นนี่นั่นเวลาดีก็มาถึง
ระหว่างที่นอนรอคือมีคนไปเจาะก่อนเราสองคนหมอก็เข็นไปขำๆแป๊บเดียวกลับมาแต่ป้าๆทำหน้าซีดทำไม ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วในที่สุดก็ถึงตาเราคุณหมอพาเราเข้าห้องเจาะจะมีหมอ 2 คนคือคุณหมอรัตนากับหมอผู้ชายเสียงหล่อๆอีกคน เรานอนคว่ำมีหมอนรองอีกทีท่านก็ขานระยะกันกี่เซ้นต์ๆ ก็ชวนเราคุย อิ่นี่ก็คุยเพลินเลยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หมอบอกเราอารมณ์ดีนะก็ฉีดยาชา....อันนี้ยอมรับว่าเจ็บมันเจ็บแบบจึ๊กๆอ่ะเจ็บเหมือนมีคนมาหยิกหนังเราแต่ก็แป๊บเดียวไม่น่าจะถึง 5 นาที
หมอก็คลำๆลูบๆท้องเราขยับตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยก็คุยๆจ้อ ใจก็จดจ่อว่าเมื่อไหร่หมอจะเจาะ แล้วก็ปล่อยมุขไม่หยุดราวๆ 5 นาทีหมอก็พูดว่า
"เสร็จแล้ว"
"ห๊า!!!! เจาะตอนไหนทำไมไม่รู้สึกเลย"
ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่าเจาะไตไม่เจ็บเลยยยยย
เสร็จแบบไม่รู้ตัว
แล้วที่กลัวๆมาเป็นเดือนคืออะไร???
พอเสร็จคุณหมอก็ให้เรากลับเตียงแล้วก็เข็นเรามาเก็บให้ห้องพักฟื้น พี่เตียงข้างๆก็แบบให้กำลังใจดีมากบอกว่าพี่เจาะมา 7 รอบแล้ว
สรุปคือต้องนอนนิ่งๆห้ามขยับ 6 ชม. ตอนข้าวเย็นมาคือต้องนอนทานคุณป้าพยาบาลก็เข้ามาถามว่าทานเองได้มั๊ยป้าป้อนให้มั๊ย((น้ำตาจะไหล)) แต่ก็บอกหนูทานได้ค่ะ
จากนั้นท่านก็จะมาถามปวดฉี่มั๊ย ด้วยความที่อายอ่ะเนอะก็บอกว่าไม่ปวด คุณป้าก็แบบถ้าไม่ฉี่ไม่ได้กลับบ้านนะ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องกดออดบอกท่านว่าหนูปวดฉี่แล้วค่ะ
เรานอนจนถึง 3 ทุ่ม พยาบาลก็มาบอกว่ากลับบ้านได้ที่ช้าเพราะไม่มีญาติมาเดินเอกสาร
สรุปอีกรอบถ้าอาการเราโอเคเจาะวันนั้นกลับวันนั้นได้เลยค่ะ
ยืนยันอีกครั้ง
เจาะไตไม่เจ็บเลยซักนิด((ยกเว้นตอนฉีดยาชา))