US Box Office March 21-23, 2014

(แปล/เรียบเรียง: www.boxofficemojo.com)
หนังดัดแปลงจากนิยายแบบผู้ใหญ่วัยเยาว์ (Young-adult) Divergent ครองอันดับ 1 หนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์นี้ ด้วยรายได้ 56 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่หนัง Twilight ภาคแรกทำได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนท์ สานงานภาคต่อ ต่อไป สำหรับหนังเข้าใหม่เรื่องอื่น Muppets Most Wanted เปิดตัวได้ต่ำกว่าที่ภาคแรกทำเอาไว้ ส่วนหนังเกี่ยวกับศาสนา God's Not Dead ทำตัวเลขเพิ่มขึ้นได้อย่างน่าสนใจ
56 ล้านเหรียญเปิดตัวของ Divergent น้อยกว่าที่หนัง Twilight ภาคแรกทำเอาไว้ 20% และทาบไม่ติดกับ The Hunger Games แต่ก็มากพอจะรั้งอันดับ 2 หนังเปิดตัวสูงสุดของปีนี้ และอันดับ 8 สำหรับหนังเปิดตัวในเดือนมีนาคม แล้วยังเยอะกว่ารายได้เปิดตัวสามวันแรก ของหนังนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์คว่ำสนิท Beautiful Creatures, The Host และ Vampire Academy รวมกันเสียอีก
รายได้ของหนังแสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้สำหรับการเป็นงานภาคต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการทำงานในระยะยาวของสตูดิโอซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนท์ (ที่เป็นบริษัทลูกของไลออนเกทส์อีกที) ทำการตลาดกับหนังในระดับเป็นงานบล็อคบัสเตอร์เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้กำหนดรูปแบบเอาไว้อย่างชัดเจน โดยหลักๆ ก็พยายามขาย Divergent ในฐานะหนังในกลุ่มเดียวกับ Twilight และ Hunger Games ซึ่งทำให้หนังดูเหมือนงานเลียนแบบสำหรับคนดูบางกลุ่ม แต่ก็มีความพยายามจะดึงคนที่ไม่ใช่คอหนังสือเรื่องนี้เข้ามา ซึ่งก็ได้คนดูที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนราวๆ ครึ่งหนึ่ง ซึ่งน้อยกว่า Twilight (74%) และ The Hunger Games (76%) ถือว่าทำได้ไม่ดีนัก แต่กับเรื่องดีๆ ก็คือ หนังมีคนดูพอกันทั้งในเรื่องเพศ ได้ผู้ชาย 41% และอายุ อายุเกิน 25 และ 25 ปีลงมาอยู่ที่ 50:50 ขณะที่รายได้ 40% นั้นมาจากการฉายวันแรกในวันศุกร์ แสดงให้เห็นว่าคนดูแห่งกันมาดูตั้งแต่วันแรกๆ ซึ่ง มากกว่าที่ Twilight หรือ Hunger Games ทำได้ ส่วนคะแนนซีนีมาสกอร์นั้นอยู่ที่ A น่าจะได้เสียงปากต่อปากที่ดี
ในระยะยาว Divergent น่าจะทำเงินในอเมริการาวๆ 130 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดนอกอเมริกาถ้าทำได้ดี ก็พอที่จะเปิดหนังภาคต่ออีกสองภาคคือ Insurgent anละ Allegiant ซึ่งวางโปรแกรมฉายไว้เดือนมีนาคม 2015 และ 2016 ตามลำดับ
อันดับ 2 เป็นหนัง Muppets Most Wanted เปิดตัวที่ 16.5 ล้านเหรียญ ซึ่งผิดกับหนังหุ่นมหาสนุกเรื่องก่อนหน้าที่ทำไว้ถึง 29.2 ล้านเหรียญในสัปดาห์แรก แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ตรงๆ เพราะหนังThe Muppets ในปี 2011 เปิดฉายตั้งแต่วันพุธ ก่อนจะเจอสถานการณ์วันศุกร์ทมิฬ ทำให้รายได้สุดสัปดาห์ร่วงกราว แต่ถ้าไม่มองถึงตรงนี้ ถือว่าหนังได้รับความสนใจน้อยลง สำหรับคนดู Muppets Most Wanted มีอายุต่ำกว่า 25 ถึง 54% และเป็นผู้หญิง 54% หนังได้ B+ จากซีนีมาสกอร์ และกับการเป็นหนังครอบครัว หนังน่าจะยืนระยะไปได้อีกหลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่น่าจะทำรายได้เกินกว่า 50 ล้านเหรียญ หรือประมาณนั้น
Mr. Peabody & Sherman รายได้ตกลง 46% ทำเงินอีก 11.7 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 81 ล้านเหรียญส่วน 300: Rise of an Empire ตกหนักกว่า ร่วงถึง 55% ทำเงินมาอีก 8.7 ล้านเหรียญ รายได้รวมของหนังเป็น 93.8 ล้านเหรียญ
กับโรงฉายแค่ 780 โรง God's Not Dead ทำเงินได้อย่างไม่น่าเชื่อ 8.56 ล้านเหรียญ ครองอันดับ 7 หนังเกี่ยวกับความเชื่อ-ความศรัทธาเปิดตัวสูงสุด และเป็นอันดับ 1 สำหรับหนังแนวทางนี้ที่เปิดตัวน้อยกว่าพันโรง รายได้นี้น้อยกว่า Courageous (9.1 ล้านเหรียญ) แต่มากกว่า Fireproof (6.8 ล้านเหรียญ) หนังทำการตลาดจับกลุ่มคนดูเคร่งศาสนา ที่มักจะถูกเมินจากฮอลลีวูดเป็นหลัก แล้วก็มีดาราจากหนังซีรี่ส์ Duck Dynasty – วิลลี กับคอรี โรเบิร์ทสันและวงร็อคและเพลงเกี่ยวกับศาสนา นิวส์บอยส์ เจ้าของอัลบั้ม God's Not Dead ร่วมแสดงด้วย ที่สำคัญตัวเรื่องของหนังก็มีความน่าสนใจ เมื่อเป็นเรื่องของนักศึกษาปรัชญาในวิทยาลัยคริสเตียนที่ต้องต่อสู้กับอาจารย์ของตัวเองที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หนังจะมีการเพิ่มโรงฉายในสัปดาห์หน้า และด้วยเสียงบอกปากต่อปากที่ดี หนังน่าจะทำรายได้มากกว่า 30 ล้านเหรียญ
กับการฉายในสัปดาห์ที่สอง Need for Speed ทำเงินแค่ 7.78 ล้านเหรียญตกจากเดิม 56% ผ่าน 10 วัน หนังสร้างจากเกมทำเงินไปแล้ว 30.4 ล้านเหรียญ
หนังของเวส แอนเดอร์สัน The Grand Budapest Hotel เพิ่มโรงเป็น 304 โรง และได้เงินมาอีก 6.75 ล้านเหรียญ ถือเป็นหนังที่รายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงมาก ถึง 22,204 เหรียญต่อโรง รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 13 ล้านเหรียญ หนังมีแผนจะเพิ่มโรงเป็นกว่า 800 โรงในสุดสัปดาห์นี้
สำหรับรายได้นอกอเมริกา Need for Speed ยังนำมาเป็นสัปดาห์ที่สอง ด้วยรายได้ 29.2 ล้านเหรียญ ที่เปิดตัวใหม่ และทำเงินเป็นกอบเป็นกำคือเยอรมันนี ที่เปิดตัวในอันดับ 1 รายได้ 3 ล้านเหรียญ แต่ที่ทำได้ดีจริงๆ เป็นที่จีน ซึ่งรายได้รวมที่นี่อยู่ที่ 41.7 ล้านเหรีญ ซึ่งมากกว่ารายได้ในอเมริกาแล้ว รายได้รวมในตลาดนอกอเมริกาของหนังขยับไปเป็น 96.1 ล้านเหรียญ โดยยังไม่เปิดตัวใน สเปน, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
300: Rise of an Empire ได้เงินอีก 21 ล้านเหรียญ รายได้รวมเพิ่มเป็น 195.4 ล้านเหรียญ ประเทศที่ทำรายได้มากสุดในตอนนี้คือรัสเซีย 16.6 ล้านเหรียญ แต่หนังยังไม่เปิดตัวในญี่ปุ่น และอาจจะได้ฉายในจีน ที่สุดแล้วรายได้นอกอเมริกาน่าจะพอๆ กับที่ภาคแรกทำไว้ 245 ล้านเหรียญ สำหรับMr. Peabody & Sherman ได้เงินมา 11.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 102.2 ล้านเหรียญ แต่การที่เหลือตลาดให้เล่นอีกแค่ 3 แห่ง หนังไม่มีทางทำเงินถึง 200 ล้านแน่ๆ
หนัง Noah เปิดตัวแล้วในบางประเทศก่อนอเมริกา หนังทำเงินไป 8.3 ล้านเหรียญในเกาหลีใต้ และ 5.7 ล้านเหรียญที่เม็กซิโก ซึ่งรวมกันแล้วอยู่ที่ 14 ล้านเหรียญ มากกว่าที่ Gravity หรือ Inception ทำได้ในสัปดาห์แรกของทั้งสองประเทศ และกับการเปิดฉายสามมิติเป็นส่วนใหญ่นอกอเมริกา ก็ทำให้หนังน่าจะมีรายได้ที่ดี เมื่อขยับเพิ่มพื้นที่ไปเรื่อยๆ ขณะที่ Rio 2 ชิงเปิดตัวในบางประเทศก่อนอเมริกา 3 สัปดาห์ ทำเงิน 10.4 ล้านเหรียญ ในรัสเซียและยูเครน โดยส่วนใหญ่มาจากรัสเซียซึ่งหนังขึ้นอันดับ 1 ด้วยรายได้ 9.8 ล้านเหรียญ หนังภาคแรกทำเงินนอกอเมริกา 341 ล้านเหรียญ แต่กับภาคนี้ คงต้องดูกันว่าจะทำได้หรือไม่ เมื่อหนังเปิดตัวในวงกว้าง แอนิเมชันอีกเรื่องอย่าง Frozen ครองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นด้วยรายได้ 8 ล้านเหรียญ (หนังทำรายได้ที่นี่ไปแล้ว 28.9 ล้านเหรียญ) น่าจะเป็นในสุดสัปดาห์นี้ที่หนังจะแซง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ไปอยู่ในอันดับ 12 หนังทำเงินสูงสุดทั่วโลกตลอดกาล ตอนนี้รายได้รวมของหนังอยู่ที่ 1.05 พันล้านเหรียญ และน่าจะผ่าน Toy Story 3 (1.063 พันล้านเหรียญ) ได้ในสุดสัปดาห์นี้เช่นกัน
ส่วนรายได้ 33.1 ล้านเหรียญที่ The Grand Budapest Hotel ทำได้ ทำให้หนังครองอันดับ 1 หนัง เวส แอนเดอร์สันทำเงินสูงสุดนอกอเมริกาไปแล้ว
อ่านแล้วให้กำลังใจด้วยการกดไลค์ที่
www.facebook.com/Sadaos
Divergent ขึ้นอันดับ 1 ตามคาด หนัง Muppets เริ่มไม่สวย God แรงแบบหนังเล็กๆ อันดับหนังทำเงินอเมริกาสัปดาห์นี้
(แปล/เรียบเรียง: www.boxofficemojo.com)
หนังดัดแปลงจากนิยายแบบผู้ใหญ่วัยเยาว์ (Young-adult) Divergent ครองอันดับ 1 หนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์นี้ ด้วยรายได้ 56 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่หนัง Twilight ภาคแรกทำได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนท์ สานงานภาคต่อ ต่อไป สำหรับหนังเข้าใหม่เรื่องอื่น Muppets Most Wanted เปิดตัวได้ต่ำกว่าที่ภาคแรกทำเอาไว้ ส่วนหนังเกี่ยวกับศาสนา God's Not Dead ทำตัวเลขเพิ่มขึ้นได้อย่างน่าสนใจ
56 ล้านเหรียญเปิดตัวของ Divergent น้อยกว่าที่หนัง Twilight ภาคแรกทำเอาไว้ 20% และทาบไม่ติดกับ The Hunger Games แต่ก็มากพอจะรั้งอันดับ 2 หนังเปิดตัวสูงสุดของปีนี้ และอันดับ 8 สำหรับหนังเปิดตัวในเดือนมีนาคม แล้วยังเยอะกว่ารายได้เปิดตัวสามวันแรก ของหนังนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์คว่ำสนิท Beautiful Creatures, The Host และ Vampire Academy รวมกันเสียอีก
รายได้ของหนังแสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้สำหรับการเป็นงานภาคต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการทำงานในระยะยาวของสตูดิโอซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนท์ (ที่เป็นบริษัทลูกของไลออนเกทส์อีกที) ทำการตลาดกับหนังในระดับเป็นงานบล็อคบัสเตอร์เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้กำหนดรูปแบบเอาไว้อย่างชัดเจน โดยหลักๆ ก็พยายามขาย Divergent ในฐานะหนังในกลุ่มเดียวกับ Twilight และ Hunger Games ซึ่งทำให้หนังดูเหมือนงานเลียนแบบสำหรับคนดูบางกลุ่ม แต่ก็มีความพยายามจะดึงคนที่ไม่ใช่คอหนังสือเรื่องนี้เข้ามา ซึ่งก็ได้คนดูที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนราวๆ ครึ่งหนึ่ง ซึ่งน้อยกว่า Twilight (74%) และ The Hunger Games (76%) ถือว่าทำได้ไม่ดีนัก แต่กับเรื่องดีๆ ก็คือ หนังมีคนดูพอกันทั้งในเรื่องเพศ ได้ผู้ชาย 41% และอายุ อายุเกิน 25 และ 25 ปีลงมาอยู่ที่ 50:50 ขณะที่รายได้ 40% นั้นมาจากการฉายวันแรกในวันศุกร์ แสดงให้เห็นว่าคนดูแห่งกันมาดูตั้งแต่วันแรกๆ ซึ่ง มากกว่าที่ Twilight หรือ Hunger Games ทำได้ ส่วนคะแนนซีนีมาสกอร์นั้นอยู่ที่ A น่าจะได้เสียงปากต่อปากที่ดี
ในระยะยาว Divergent น่าจะทำเงินในอเมริการาวๆ 130 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดนอกอเมริกาถ้าทำได้ดี ก็พอที่จะเปิดหนังภาคต่ออีกสองภาคคือ Insurgent anละ Allegiant ซึ่งวางโปรแกรมฉายไว้เดือนมีนาคม 2015 และ 2016 ตามลำดับ
อันดับ 2 เป็นหนัง Muppets Most Wanted เปิดตัวที่ 16.5 ล้านเหรียญ ซึ่งผิดกับหนังหุ่นมหาสนุกเรื่องก่อนหน้าที่ทำไว้ถึง 29.2 ล้านเหรียญในสัปดาห์แรก แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ตรงๆ เพราะหนังThe Muppets ในปี 2011 เปิดฉายตั้งแต่วันพุธ ก่อนจะเจอสถานการณ์วันศุกร์ทมิฬ ทำให้รายได้สุดสัปดาห์ร่วงกราว แต่ถ้าไม่มองถึงตรงนี้ ถือว่าหนังได้รับความสนใจน้อยลง สำหรับคนดู Muppets Most Wanted มีอายุต่ำกว่า 25 ถึง 54% และเป็นผู้หญิง 54% หนังได้ B+ จากซีนีมาสกอร์ และกับการเป็นหนังครอบครัว หนังน่าจะยืนระยะไปได้อีกหลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่น่าจะทำรายได้เกินกว่า 50 ล้านเหรียญ หรือประมาณนั้น
Mr. Peabody & Sherman รายได้ตกลง 46% ทำเงินอีก 11.7 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 81 ล้านเหรียญส่วน 300: Rise of an Empire ตกหนักกว่า ร่วงถึง 55% ทำเงินมาอีก 8.7 ล้านเหรียญ รายได้รวมของหนังเป็น 93.8 ล้านเหรียญ
กับโรงฉายแค่ 780 โรง God's Not Dead ทำเงินได้อย่างไม่น่าเชื่อ 8.56 ล้านเหรียญ ครองอันดับ 7 หนังเกี่ยวกับความเชื่อ-ความศรัทธาเปิดตัวสูงสุด และเป็นอันดับ 1 สำหรับหนังแนวทางนี้ที่เปิดตัวน้อยกว่าพันโรง รายได้นี้น้อยกว่า Courageous (9.1 ล้านเหรียญ) แต่มากกว่า Fireproof (6.8 ล้านเหรียญ) หนังทำการตลาดจับกลุ่มคนดูเคร่งศาสนา ที่มักจะถูกเมินจากฮอลลีวูดเป็นหลัก แล้วก็มีดาราจากหนังซีรี่ส์ Duck Dynasty – วิลลี กับคอรี โรเบิร์ทสันและวงร็อคและเพลงเกี่ยวกับศาสนา นิวส์บอยส์ เจ้าของอัลบั้ม God's Not Dead ร่วมแสดงด้วย ที่สำคัญตัวเรื่องของหนังก็มีความน่าสนใจ เมื่อเป็นเรื่องของนักศึกษาปรัชญาในวิทยาลัยคริสเตียนที่ต้องต่อสู้กับอาจารย์ของตัวเองที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หนังจะมีการเพิ่มโรงฉายในสัปดาห์หน้า และด้วยเสียงบอกปากต่อปากที่ดี หนังน่าจะทำรายได้มากกว่า 30 ล้านเหรียญ
กับการฉายในสัปดาห์ที่สอง Need for Speed ทำเงินแค่ 7.78 ล้านเหรียญตกจากเดิม 56% ผ่าน 10 วัน หนังสร้างจากเกมทำเงินไปแล้ว 30.4 ล้านเหรียญ
หนังของเวส แอนเดอร์สัน The Grand Budapest Hotel เพิ่มโรงเป็น 304 โรง และได้เงินมาอีก 6.75 ล้านเหรียญ ถือเป็นหนังที่รายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงมาก ถึง 22,204 เหรียญต่อโรง รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 13 ล้านเหรียญ หนังมีแผนจะเพิ่มโรงเป็นกว่า 800 โรงในสุดสัปดาห์นี้
สำหรับรายได้นอกอเมริกา Need for Speed ยังนำมาเป็นสัปดาห์ที่สอง ด้วยรายได้ 29.2 ล้านเหรียญ ที่เปิดตัวใหม่ และทำเงินเป็นกอบเป็นกำคือเยอรมันนี ที่เปิดตัวในอันดับ 1 รายได้ 3 ล้านเหรียญ แต่ที่ทำได้ดีจริงๆ เป็นที่จีน ซึ่งรายได้รวมที่นี่อยู่ที่ 41.7 ล้านเหรีญ ซึ่งมากกว่ารายได้ในอเมริกาแล้ว รายได้รวมในตลาดนอกอเมริกาของหนังขยับไปเป็น 96.1 ล้านเหรียญ โดยยังไม่เปิดตัวใน สเปน, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
300: Rise of an Empire ได้เงินอีก 21 ล้านเหรียญ รายได้รวมเพิ่มเป็น 195.4 ล้านเหรียญ ประเทศที่ทำรายได้มากสุดในตอนนี้คือรัสเซีย 16.6 ล้านเหรียญ แต่หนังยังไม่เปิดตัวในญี่ปุ่น และอาจจะได้ฉายในจีน ที่สุดแล้วรายได้นอกอเมริกาน่าจะพอๆ กับที่ภาคแรกทำไว้ 245 ล้านเหรียญ สำหรับMr. Peabody & Sherman ได้เงินมา 11.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 102.2 ล้านเหรียญ แต่การที่เหลือตลาดให้เล่นอีกแค่ 3 แห่ง หนังไม่มีทางทำเงินถึง 200 ล้านแน่ๆ
หนัง Noah เปิดตัวแล้วในบางประเทศก่อนอเมริกา หนังทำเงินไป 8.3 ล้านเหรียญในเกาหลีใต้ และ 5.7 ล้านเหรียญที่เม็กซิโก ซึ่งรวมกันแล้วอยู่ที่ 14 ล้านเหรียญ มากกว่าที่ Gravity หรือ Inception ทำได้ในสัปดาห์แรกของทั้งสองประเทศ และกับการเปิดฉายสามมิติเป็นส่วนใหญ่นอกอเมริกา ก็ทำให้หนังน่าจะมีรายได้ที่ดี เมื่อขยับเพิ่มพื้นที่ไปเรื่อยๆ ขณะที่ Rio 2 ชิงเปิดตัวในบางประเทศก่อนอเมริกา 3 สัปดาห์ ทำเงิน 10.4 ล้านเหรียญ ในรัสเซียและยูเครน โดยส่วนใหญ่มาจากรัสเซียซึ่งหนังขึ้นอันดับ 1 ด้วยรายได้ 9.8 ล้านเหรียญ หนังภาคแรกทำเงินนอกอเมริกา 341 ล้านเหรียญ แต่กับภาคนี้ คงต้องดูกันว่าจะทำได้หรือไม่ เมื่อหนังเปิดตัวในวงกว้าง แอนิเมชันอีกเรื่องอย่าง Frozen ครองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นด้วยรายได้ 8 ล้านเหรียญ (หนังทำรายได้ที่นี่ไปแล้ว 28.9 ล้านเหรียญ) น่าจะเป็นในสุดสัปดาห์นี้ที่หนังจะแซง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ไปอยู่ในอันดับ 12 หนังทำเงินสูงสุดทั่วโลกตลอดกาล ตอนนี้รายได้รวมของหนังอยู่ที่ 1.05 พันล้านเหรียญ และน่าจะผ่าน Toy Story 3 (1.063 พันล้านเหรียญ) ได้ในสุดสัปดาห์นี้เช่นกัน
ส่วนรายได้ 33.1 ล้านเหรียญที่ The Grand Budapest Hotel ทำได้ ทำให้หนังครองอันดับ 1 หนัง เวส แอนเดอร์สันทำเงินสูงสุดนอกอเมริกาไปแล้ว
อ่านแล้วให้กำลังใจด้วยการกดไลค์ที่ www.facebook.com/Sadaos