อาการของผมคล้ายกับคนเสียสติ มองทุกสิ่งรอบกายด้วยความหวาดระแวง สติสัมปชัญญะเหมือนจะหลุดลอยไปจากร่างกาย การดำเนินชีวิตต้องเปลี่ยนไป กักขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง หวาดผวาผู้คน บางคืนกลางดึก ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา หวาดกลัวกับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น จะหลับตาลงครั้งใดเหมือนมีวิญญาณร้ายคอยเพรียกหา ยามตื่นเหมือมีคนที่ไม่ประสงค์ร้ายจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ ทั้งยามหลับยามตื่น กาลเวลาดูเหมือนจะเชื่องช้าลงไปทุกที หันกายมมองไปทางไหน มีแต่ความหวาดกลัว มองทุกสิ่งรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจ บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับไปหลายคืน ดวงตาทั้งสองข้างเขียวคลำ้ ปากซีด นำ้หนักเริ่มลดลงเรื่อยๆ เส้นผมยุ่งเหยิง ผิวหนังดำซีดเซียว ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่เดินได้ วันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรับรู้ได้ มันเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ที่หลับสนิทไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็จำอะไรไม่ได้
90.30 น. ผมเดินออกจากสถานบำบัดผู้ผ่วยที่ติยาเสพติด ของโรงพยาบาลประจำจังหวัด หญิงชราวัยหกสิบเศษยืนรอผมอยู่ พร้อมกับน้องสาวที่มารอรับผม ทันทีที่ผมเห็นเขา หญิงชรากับสาววัยเบญเพสก็ส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ผมสัมผัสได้ ถึงความรักและความห่วงใย ถึงแม้ผมจะเคยหลงผิด แต่ทุกคนก็ให้อภัยผมเสมอ ความรักความผูกพัธุ์ทางสายเลือด เป็นนำ้หล่อเลี้ยงชโลมจิตใจให้ผม มีพลังในการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าได้อีกต่อไป หลังจากที่ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็น อาชีพการงาน คนรัก แม้กระทั่งอนาคตที่กำลังสดใส สารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ของยานรก มันกัดก่อนจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ออกไปจากตัวผม บางครั้งผมกร้าวร้าว บางครั้งผมคลั่ง ความรับผิดชอบชั่วดี ลบเลือนไปจากจิตใต้สำนึก มันเป็นภัยร้ายที่ฆ่าผมทั้งเป็น อย่างเลือดเย็น ผมต้องเข้ามาอยู่สถานบำบัดแห่งนี้นานถึงหกเดือน บำบัดทั้งร่างกายและจิตใจ
ผมยืนอยู่ประตูรั้วหน้าบ้าน ปล่อยให้แม่กับน้องสาวเดินเข้าบ้านไปก่อน เงาของบ้านไม้สองชั้นหลังไม่ใหญ่นัก สะท้อนเข้ามาในแววตาทั้งสองข้างของผม เสมือนหนึ่งได้หยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโต ขึ้นมากลางอ่านอยู่ตรงหน้า โดยมีตังเองเป็นตัวละครเอกอยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น ตั้งแต่แสงสว่างแรกแห่งชีวิต กระทบเข้าสู่โสทประสาท ของการกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เรื่องราวต่างๆผุดขึ้นมาจากความทรงจำ เด็กชายตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของมารดา ผู้ซึ่งคอยปรกป้องคุ้มครอง สิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวงแหนทารกน้อยด้วยชีวิต มืออันทรงพลังนี้คอยป้อนข้าวป้อนนำ้ตลอดเวลา สัมผัสรักอันอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่จิตใจ เกิดเป็นควารักความผูกพันธฺุ์ระหว่างแม่กับลูก
ผมกลับมาพักฟื้นร่างกายและจิตใจ อยู่ในบ้านหลังเล็กแถวชานเมืองอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่ง ผมอยู่กับแม่เพียงสองคน น้องสาวและพี่ชายไปทำงานต่างจังหวัดที่ห่างไกล พี่ชายและน้องสาวทั้งคู่ต่างมีครอบครัวกันหมดแล้ว เหลือเพียงผมคนเดียวที่ยังไม่มีครอบครัว การกลับมาของผมครั้งนี้ เหมือนย้อนเวลากลับมาหาอดีต เพราะผมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เป็นผู้ป่วยที่ต้องการคนดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ อาการสะลึมสะลือทำอะไรเชื่องช้า มันกลายเป็นบุคลิกประจำตัวผมไปเสียแล้ว คิดช้าทำช้า มันไม่ว่องไวปราดเปรียวเหมือนแต่ก่อน มันเป็นผลข้างเคียง จากยาของโรงพยาบาลที่ผมกินเข้าไป ก่อนออกจากโรงพยาบาล หมอกำชับนักหนา ให้ผมกินยาทุกวันอย่าให้ขาด มิฉะนั้นอาการจะกำเลิศขึ้นมาอีกก็ได้ ถ้ารักตัวเองต้องดูแลตังเองให้ดี อย่าไปข้องแวะกับยาเสพติดอีก ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมามันจะสายเกินแก้ ผมซึ่งกำลังซึมอยู่กับฤทธิ์ยา ได้แต่พยักหน้าหงึกๆรับคำหมอแต่โดยดี
แม้แม่จะอายุมากแล้วแต่แกก็ยังดูแข็งแรง คอยประคบประหงมผมเยี่ยงเด็กทารก ผมต้องเป็นภาระของแกโดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลายปีที่ผ่านมา ตลอดชีวิตในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ผมใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ใช้ชีวิตด้วยความลุ่มหลง กับสิ่งยั่วยุ หยาดเหงื่อแรงกายที่แลกมาด้วยเงิน หมดไปกับการบำเรอความสุขส่วนตน ทำให้ผมหลงลืมอดีต ลืมภูมิหลังของตัวเอง เพลิดเพลินกับวัตถุ หลงใหลมายากับความสุขภายนอก ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ลืมแม้กระทั่งคนที่คอยอยู่ข้างหลังอันห่างไกล
ผมรู้สึกเจ็บชำ้เมื่อมองหญิงชรากำลังทำกับข้าวไปขายที่ตลาด ผมหงอกสีขาว มือที่เหี่ยวหยุ่น จับกระทะและตะหลิว ท่าทาง งกๆเงิ่นๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม มันเป็นภาพสะท้อนลึกเข้าไปในจิตใจผม ตั้งแต่ผมจำความได้ แกก็ทำอย่างนี้มาตลอดชั่วชีวิตแก แกไม่เคยได้หยุดพัก นอนดึกตื่นเช้า ส่งลูกทั้งสมคนได้เรียนหนังสืออย่างพร้อมหน้า ผมไม่เคยเห็นแกบ่น หรือเอ่ยปากใดๆออกมาทั้งสิ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แกต้องอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงาภายในบ้านหลังเล็กอันซึมเศร้า เพราะพ่อผมเสียไปตอนผใอายุได้เก้าขวบ ภาระเลี้ยงลูกจึงตกอยู่ที่แก ลูกทั้งสามคนพอเรียนจบภาคบังคับ ต่างก็แยกย้ายไปประกอบอาชีพตามวิถีทางของแต่ละคน ไปยังเมืองใหญ่อันห่างไกล นานครั้งถึงจะมีลูกซักคนมาเยี่ยมแก ในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆ
ความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาในจิตใจ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนผมจะหลงลืมอะไรซักอย่าง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าสำหรับผม ที่ถูกผมหลงลืม ผมสัมผัสได้ถึงพลังอันลึกลับที่แผ่รังสีมากระทบจิตใจผม ที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวแก มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนนอกจากบ้านหลังนี้ ความรู้สึกแบบนี้คงจะแผ่ออกมาจากตัวแกจนชีวิตแกจะหาไม่
ทุกๆเช้าแม่จะตื่นไปตลาดตั้งแต่ตีสามตีสี่ โดยที่ผมไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นแกทำกับข้าว หลากหลายอย่าง อยู่ในครัวอย่างชำนาญ ผมเคยบอกให้แกปลุกผมด้วย ผมจะได้แบ่งเบาภาระหน้าที่จากแกบ้าง แต่ผมกับหลับลึกและหลับยาวทุกครั้ง สาเหตุที่ผมหลับเป็นตายขนาดนั้น ก็เพราะฤทธิ์ของยาโรงพยาบาล เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงนอน มึนๆงงๆ เพราะเป็นยาทางจิตเวช ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท หมอบอกว่าถ้าผมกินอย่างต่อเนื่อง และระบบทุกอย่างในร่างกายมันดีขึ้น หมอถึงจะลดขนาดยาลง แต่ตอนนี้ผมต้องกินยาชนิดแรงๆไปก่อน บางวันกินแล้วหลับไปรครึ่งค่อนวันก็มี มันไม่สามารถให้ผมไปประกอบอาชีพอะไรได้ในตอนนี้ หรือว่าบางทีแกอาจต้องการให้ผมพักผ่อนให้มากๆตามคำแนะนำของหมอ แกจึงไม่ยอมปลุกผม
แสงตะวันแรกเริ่มทอแสง ทุกอย่างในครัวเสร็จเรียบร้อย หม้อข้าวหม้อแกงถูกผมทยอยยกขึ้นรถเข็น แม่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แกเตรียมจะเข็นรถออกจากบ้าน ผมอาสาจะไปส่งแกที่ตลาด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธแกให้ผมรออยู่บ้าน เพราะผมยังไม่ปกติ เดี๋ยวขากลับอาจจะถูกรถเฉี่ยวชนได้ ผมดื้อรั้นพยายามจะไปส่งแกให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็โดนแรงต้านทานของความเป็นห่วงเป็นใยจากแกไม่ได้
ผมยืนมองหญิงชราเข็นรถเข็นเดินห่างออกไปอย่างช้าๆ ไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ ภาพของหญิงชรากับรถเข็นคันเก่า ยังอยู่ในแววตาทั้งสองข้างของผม มันเป็นภาพที่ปมคุ้นเคยตั้งแต่ผมยังเล็กๆอยู่ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก แกก็จะเข็นไปอย่างนี้ทุกวัน โดยไม่เคยหยุด ความสำนึกผิดที่ผมเคยทอดทิ้งแกในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกโกรธตัวเอง ตลอดชีวิตของแกไม่เคยสุขสบายเลย แกเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อให้ลูกทั้งสามคนได้สุขสบาย
สำนึกผิด ตอน 1
90.30 น. ผมเดินออกจากสถานบำบัดผู้ผ่วยที่ติยาเสพติด ของโรงพยาบาลประจำจังหวัด หญิงชราวัยหกสิบเศษยืนรอผมอยู่ พร้อมกับน้องสาวที่มารอรับผม ทันทีที่ผมเห็นเขา หญิงชรากับสาววัยเบญเพสก็ส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ผมสัมผัสได้ ถึงความรักและความห่วงใย ถึงแม้ผมจะเคยหลงผิด แต่ทุกคนก็ให้อภัยผมเสมอ ความรักความผูกพัธุ์ทางสายเลือด เป็นนำ้หล่อเลี้ยงชโลมจิตใจให้ผม มีพลังในการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าได้อีกต่อไป หลังจากที่ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็น อาชีพการงาน คนรัก แม้กระทั่งอนาคตที่กำลังสดใส สารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ของยานรก มันกัดก่อนจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ออกไปจากตัวผม บางครั้งผมกร้าวร้าว บางครั้งผมคลั่ง ความรับผิดชอบชั่วดี ลบเลือนไปจากจิตใต้สำนึก มันเป็นภัยร้ายที่ฆ่าผมทั้งเป็น อย่างเลือดเย็น ผมต้องเข้ามาอยู่สถานบำบัดแห่งนี้นานถึงหกเดือน บำบัดทั้งร่างกายและจิตใจ
ผมยืนอยู่ประตูรั้วหน้าบ้าน ปล่อยให้แม่กับน้องสาวเดินเข้าบ้านไปก่อน เงาของบ้านไม้สองชั้นหลังไม่ใหญ่นัก สะท้อนเข้ามาในแววตาทั้งสองข้างของผม เสมือนหนึ่งได้หยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโต ขึ้นมากลางอ่านอยู่ตรงหน้า โดยมีตังเองเป็นตัวละครเอกอยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น ตั้งแต่แสงสว่างแรกแห่งชีวิต กระทบเข้าสู่โสทประสาท ของการกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เรื่องราวต่างๆผุดขึ้นมาจากความทรงจำ เด็กชายตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของมารดา ผู้ซึ่งคอยปรกป้องคุ้มครอง สิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวงแหนทารกน้อยด้วยชีวิต มืออันทรงพลังนี้คอยป้อนข้าวป้อนนำ้ตลอดเวลา สัมผัสรักอันอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่จิตใจ เกิดเป็นควารักความผูกพันธฺุ์ระหว่างแม่กับลูก
ผมกลับมาพักฟื้นร่างกายและจิตใจ อยู่ในบ้านหลังเล็กแถวชานเมืองอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่ง ผมอยู่กับแม่เพียงสองคน น้องสาวและพี่ชายไปทำงานต่างจังหวัดที่ห่างไกล พี่ชายและน้องสาวทั้งคู่ต่างมีครอบครัวกันหมดแล้ว เหลือเพียงผมคนเดียวที่ยังไม่มีครอบครัว การกลับมาของผมครั้งนี้ เหมือนย้อนเวลากลับมาหาอดีต เพราะผมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เป็นผู้ป่วยที่ต้องการคนดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ อาการสะลึมสะลือทำอะไรเชื่องช้า มันกลายเป็นบุคลิกประจำตัวผมไปเสียแล้ว คิดช้าทำช้า มันไม่ว่องไวปราดเปรียวเหมือนแต่ก่อน มันเป็นผลข้างเคียง จากยาของโรงพยาบาลที่ผมกินเข้าไป ก่อนออกจากโรงพยาบาล หมอกำชับนักหนา ให้ผมกินยาทุกวันอย่าให้ขาด มิฉะนั้นอาการจะกำเลิศขึ้นมาอีกก็ได้ ถ้ารักตัวเองต้องดูแลตังเองให้ดี อย่าไปข้องแวะกับยาเสพติดอีก ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมามันจะสายเกินแก้ ผมซึ่งกำลังซึมอยู่กับฤทธิ์ยา ได้แต่พยักหน้าหงึกๆรับคำหมอแต่โดยดี
แม้แม่จะอายุมากแล้วแต่แกก็ยังดูแข็งแรง คอยประคบประหงมผมเยี่ยงเด็กทารก ผมต้องเป็นภาระของแกโดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลายปีที่ผ่านมา ตลอดชีวิตในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ผมใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ใช้ชีวิตด้วยความลุ่มหลง กับสิ่งยั่วยุ หยาดเหงื่อแรงกายที่แลกมาด้วยเงิน หมดไปกับการบำเรอความสุขส่วนตน ทำให้ผมหลงลืมอดีต ลืมภูมิหลังของตัวเอง เพลิดเพลินกับวัตถุ หลงใหลมายากับความสุขภายนอก ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ลืมแม้กระทั่งคนที่คอยอยู่ข้างหลังอันห่างไกล
ผมรู้สึกเจ็บชำ้เมื่อมองหญิงชรากำลังทำกับข้าวไปขายที่ตลาด ผมหงอกสีขาว มือที่เหี่ยวหยุ่น จับกระทะและตะหลิว ท่าทาง งกๆเงิ่นๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม มันเป็นภาพสะท้อนลึกเข้าไปในจิตใจผม ตั้งแต่ผมจำความได้ แกก็ทำอย่างนี้มาตลอดชั่วชีวิตแก แกไม่เคยได้หยุดพัก นอนดึกตื่นเช้า ส่งลูกทั้งสมคนได้เรียนหนังสืออย่างพร้อมหน้า ผมไม่เคยเห็นแกบ่น หรือเอ่ยปากใดๆออกมาทั้งสิ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แกต้องอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงาภายในบ้านหลังเล็กอันซึมเศร้า เพราะพ่อผมเสียไปตอนผใอายุได้เก้าขวบ ภาระเลี้ยงลูกจึงตกอยู่ที่แก ลูกทั้งสามคนพอเรียนจบภาคบังคับ ต่างก็แยกย้ายไปประกอบอาชีพตามวิถีทางของแต่ละคน ไปยังเมืองใหญ่อันห่างไกล นานครั้งถึงจะมีลูกซักคนมาเยี่ยมแก ในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆ
ความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาในจิตใจ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนผมจะหลงลืมอะไรซักอย่าง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าสำหรับผม ที่ถูกผมหลงลืม ผมสัมผัสได้ถึงพลังอันลึกลับที่แผ่รังสีมากระทบจิตใจผม ที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวแก มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนนอกจากบ้านหลังนี้ ความรู้สึกแบบนี้คงจะแผ่ออกมาจากตัวแกจนชีวิตแกจะหาไม่
ทุกๆเช้าแม่จะตื่นไปตลาดตั้งแต่ตีสามตีสี่ โดยที่ผมไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นแกทำกับข้าว หลากหลายอย่าง อยู่ในครัวอย่างชำนาญ ผมเคยบอกให้แกปลุกผมด้วย ผมจะได้แบ่งเบาภาระหน้าที่จากแกบ้าง แต่ผมกับหลับลึกและหลับยาวทุกครั้ง สาเหตุที่ผมหลับเป็นตายขนาดนั้น ก็เพราะฤทธิ์ของยาโรงพยาบาล เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงนอน มึนๆงงๆ เพราะเป็นยาทางจิตเวช ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท หมอบอกว่าถ้าผมกินอย่างต่อเนื่อง และระบบทุกอย่างในร่างกายมันดีขึ้น หมอถึงจะลดขนาดยาลง แต่ตอนนี้ผมต้องกินยาชนิดแรงๆไปก่อน บางวันกินแล้วหลับไปรครึ่งค่อนวันก็มี มันไม่สามารถให้ผมไปประกอบอาชีพอะไรได้ในตอนนี้ หรือว่าบางทีแกอาจต้องการให้ผมพักผ่อนให้มากๆตามคำแนะนำของหมอ แกจึงไม่ยอมปลุกผม
แสงตะวันแรกเริ่มทอแสง ทุกอย่างในครัวเสร็จเรียบร้อย หม้อข้าวหม้อแกงถูกผมทยอยยกขึ้นรถเข็น แม่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แกเตรียมจะเข็นรถออกจากบ้าน ผมอาสาจะไปส่งแกที่ตลาด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธแกให้ผมรออยู่บ้าน เพราะผมยังไม่ปกติ เดี๋ยวขากลับอาจจะถูกรถเฉี่ยวชนได้ ผมดื้อรั้นพยายามจะไปส่งแกให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็โดนแรงต้านทานของความเป็นห่วงเป็นใยจากแกไม่ได้
ผมยืนมองหญิงชราเข็นรถเข็นเดินห่างออกไปอย่างช้าๆ ไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ ภาพของหญิงชรากับรถเข็นคันเก่า ยังอยู่ในแววตาทั้งสองข้างของผม มันเป็นภาพที่ปมคุ้นเคยตั้งแต่ผมยังเล็กๆอยู่ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก แกก็จะเข็นไปอย่างนี้ทุกวัน โดยไม่เคยหยุด ความสำนึกผิดที่ผมเคยทอดทิ้งแกในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกโกรธตัวเอง ตลอดชีวิตของแกไม่เคยสุขสบายเลย แกเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อให้ลูกทั้งสามคนได้สุขสบาย