คัดจาก เพจ "แม่นุ่น" ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย
www.facebook.com/noonsupermom
ตอนที่ 31 คงต้องเลิกเสียที คำว่า "ไม่มีเวลา"
หลังจากคุยกับทาง รพ เสร็จเรียบร้อย เรากับพี่เหมียวก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ตอนนี้เหลือแค่ผมกับแม่นุ่นเท่านั้น ที่อยู่บนรถกันสองคน
บรรยากาศขากลับช่างตรงกันข้ามกับขามาที่เราพูดคุยกันตลอดทาง
มันเงียบกริบ
ต่างคนต่างไม่รู้ จะเริ่มต้นคุยกันอย่างไร กับเรื่องตกงาน ที่ผมปิดบังมาตลอดสองเดือน
“ทำไมไม่บอกเค้า...” แม่นุ่น เป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน
ผมเตรียมคำตอบไว้แล้วละ
“จะให้บอกยังไง นอนให้ออกซิเจนจ่อจมูกอยู่อย่างนั้น”
ผมตอบกลับไปตามสถานการณ์ที่แม่นุ่นจวนอยู่จวนไปในตอนนั้น
“จริงๆ จะขอเค้าลาไม่รับเงินเดือนสักสามเดือน แต่.. มันเกิดเรื่องซะก่อน และไม่แปลกใจหรอกที่บริษัทเป็นแบบนี้ เราอยู่ตำแหน่งบริหารพอรู้ดีว่าไม่นานต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน” ผมอธิบาย ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในบริษัท การที่ผมถูกจ้างออกมันไม่เกี่ยวกับเรื่องแม่นุ่นซะทีเดียว
แม่นุ่นตั้งใจฟังผมอธิบายสีหน้าดูสบายใจขึ้น
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนี่.. ดีออก..ที่ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว นอกจากเรื่องตัวเอง” ผมหันหน้ายิ้มไปมองแม่นุ่น มันเป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม
ที่รู้สึกสบายใจที่สุดกับการตกงานครั้งแรกในชีวิต
“คือ..มันไม่ควรเป็นแบบนี้” แม่นุ่นพูดเสียงเครือ....
“เค้าอยากเห็นตัวเองเติบโต ทำงานดีๆ บริษัทดีๆ เค้ารู้ว่าตัวเองก็มีความฝันก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยไม่รู้......” แม่นุ่นพูดไป น้ำตาที่ปริ่มๆก็เริ่มไหลออกมา
จริงอยู่ว่า.... ความฝันของผมก็คงไม่ต่างกับคนทำงานบริษัททุกคน
ที่ย่อมอยากได้ อยากเป็น
ปีหน้าต้องได้ขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่?
สิ้นปีต้องได้โบนัสเท่าไหร่?
อีกสามปี ห้าปี ต้องเป็นตำแหน่งอะไร?
เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตคนต่างจังหวัดอย่างผม
อยู่กับการทำงานไขว่คว้า เพื่อให้ได้เงินเดือนเยอะๆ
เสพย์สุขกับตำแหน่งหน้าที่ที่ใฝ่ฝัน
มีบ้าน มีรถดีๆ ขับ ในอายุแค่สามสิบต้นๆ
ไม่กิน ไม่เล่น ไม่เที่ยว แต่…ก็ไม่มีเวลาให้ใครทั้งนั้น
ตอนนี้ละ มันเหลืออะไร?
ทั้งหมดที่มี จ่ายค่ายา ค่าหมอ ไม่พอด้วยซ้ำ
ตำแหน่งหน้าที่ เงินเดือนสูงๆ
ตลอด 12 ปีที่ผมวิ่งตามมัน หายวับไปในเวลาแค่ไม่กี่เดือน..มันจบแล้ว...
สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียง ครอบครัวเล็กๆ
ที่เฝ้ารอเสมอ ว่าเมื่อไหร่ ผมจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ไหนสักที่
ทะเล ภูเขาที่ไหนสักแห่ง
นอกจากทำงานประจำ ยังมาเปิดร้าน ทำให้ลูกสองคน ไม่มีพ่อแม่ให้กอดก่อนนอนหลายเดือนแล้ว
ภาพอดีตทั้งหมดย้อนกลับมาสั่งสอน ให้ผมเข้าใจ สิ่งที่ควรทำวันนี้คืออะไร
ทั้งหมดนั้นมันไม่ผิดหรอก แต่มันไม่พอดี
..ความสมดุลย์ของชีวิตมันขาดไป..
ผมเอื้อมมือไปจับมือแม่นุ่น และบอกว่า
“ขอให้ตัวเองดีขึ้น กลับไปทำตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดมากน่า..." ผมยิ้มกึ่งหัวเราะเบาๆ ไม่อยากให้บรรยากาศมันเศร้าไปมากกว่านี้
“ถ้างั้น... กลับไปหางานทำพรุ่งนี้เลยดีมั้ย” ผมพูดหยอกแม่นุ่นอีกที หวังให้แม่นุ่นเลิกร้องไห้
“ไม่เอาอ่ะ..” แม่นุ่นหันมายิ้ม ทำเสียงค้อน ไม่ให้ไปไหน
“อ้าว..โธ่.. แล้วเมื่อกี้ทำเป็นพูดดี.. ”
นั่นแหละ ใครจะรู้จักเธอไปดีกว่าฉัน
ผมพูดแกมหัวเราะ เราต่างคนต่างกลับมายิ้มให้กัน
ความอุ่นใจที่สุดของแม่นุ่น คือการที่มีผมอยู่ข้างๆแบบนี้ในทุกวัน
ไม่แน่ใจนัก ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของผมมันจะสายเกินไปมั้ย
แต่ต่อจากนี้ ผมคงต้องเลิกสักที กับคำว่า "ไม่มีเวลา"
…………………….
กลับมาช่วงปัจจุบัน
ไม่กี่วันจากนั้น น้องชายก็บอกผมว่า หาบ้านเช่าเพื่อทำเค้กได้แล้ว ในซอย ลาซาล 22 ใกล้บ้านๆ ได้ยินดังนั้น ผมก็รีบไปซื้อของเข้าร้าน รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆให้แม่นุ่นตามที่เคยคิดไว้ โดยมีทางบ้านที่อยู่ ตจว พ่อแม่ น้องชายคนกลางมาช่วยแรง
ผมต้องนอนตีหนึ่ง ตีสองอยู่สองสามวัน สลับกับการวิ่งไป วิ่งมาระหว่างร้าน กับบ้าน
ไม่ปฏิเสธว่า โคตรจะเหนื่อย
มันก็แค่เหนื่อยกาย แต่ใจผมมีความสุข
ผมมองไปเบาะนั่งข้างๆ ที่ว่างเปล่า
หยาดเหงื่อความพยายามทั้งหลายต้องส่งผลให้สักวันหนึ่ง แม่นุ่น ต้องกลับมานั่งข้างกันเหมือนเดิม
……………………..
7 ส.ค
ร้านเริ่มเข้ารูปเข้ารอยไปพร้อมๆกับการจัดห้องใหม่ให้แม่นุ่นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผมมีโต๊ะข้างเตียงให้ใส่ยาทุกอย่างที่แค่เอื้อมมือก็หยิบได้
ผมมีตู้เย็นเล็กๆ ไว้เก็บของกิน อาหารเสริม โปรชัว และเก็บยาที่จำเป็นต้องแช่เย็น ไม่ต้องวิ่งขึ้นลงอีกแล้ว
ดูดูแล้วทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
แต่ไม่หรอก มันมีความผิดปกติบ้างอย่างที่แม่นุ่นบอกผม ก่อนเข้านอนของคืนวันนั้น
“อ้วน ปากเค้าเริ่มมีฝ้าขาวๆ อีกแล้ว” แม่นุ่นบอกถึงความปกติที่เกิดขึ้น พลางอ้าปากให้ผมดู
ผมมองเข้าไปข้างใน
ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์เพื่อให้เห็นชัดเจน
อืมม… มีจริงๆ ด้วย ฝ้าขาวข้างลิ้น เหมือนตอนปากเปื่อยไม่มีผิด
เอาแล้วไง หรือจะกลับมา ปากเปื่อย อีกแล้วหรือ???
ผมใจเสียทันที เพราะยังจำความลำบากแสนสาหัสในช่วงนั้นไม่มีวันลืม
ความเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่น่ากลัวเท่าสิ่งนี้
กินไม่ได้แม้แต่น้ำเปล่าว เป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับเค้า
เป็นไปได้ยังไง หยุดคีโมไปแล้วนี่?
ยาที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น Herceptin หรือ Tykerb มันก็ไม่มีผลข้างเคียงแบบนี้?
เท่าที่รู้ มันมีท้องเสีย และผื่นหนองเท่านั้น?
ผมฟังผิดหรือตัวแทนยาไม่ได้แจ้งข้อมูลที่ครบถ้วนกับผม?
ผมไม่เคยเตรียมรับมือกับเรื่องปากเปื่อยเลย ให้ตายเถอะ
ความกังวล คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในสมอง
ไม่ได้การล่ะ ผมต้องพาแม่นุ่นไปเช็คทุกอย่าง วันพรุ่งนี้
จบตอน..
แม่นุ่น ตอนที่ 31 คงต้องเลิกเสียที คำว่า "ไม่มีเวลา"
ตอนที่ 31 คงต้องเลิกเสียที คำว่า "ไม่มีเวลา"
หลังจากคุยกับทาง รพ เสร็จเรียบร้อย เรากับพี่เหมียวก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ตอนนี้เหลือแค่ผมกับแม่นุ่นเท่านั้น ที่อยู่บนรถกันสองคน
บรรยากาศขากลับช่างตรงกันข้ามกับขามาที่เราพูดคุยกันตลอดทาง
มันเงียบกริบ
ต่างคนต่างไม่รู้ จะเริ่มต้นคุยกันอย่างไร กับเรื่องตกงาน ที่ผมปิดบังมาตลอดสองเดือน
“ทำไมไม่บอกเค้า...” แม่นุ่น เป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน
ผมเตรียมคำตอบไว้แล้วละ
“จะให้บอกยังไง นอนให้ออกซิเจนจ่อจมูกอยู่อย่างนั้น”
ผมตอบกลับไปตามสถานการณ์ที่แม่นุ่นจวนอยู่จวนไปในตอนนั้น
“จริงๆ จะขอเค้าลาไม่รับเงินเดือนสักสามเดือน แต่.. มันเกิดเรื่องซะก่อน และไม่แปลกใจหรอกที่บริษัทเป็นแบบนี้ เราอยู่ตำแหน่งบริหารพอรู้ดีว่าไม่นานต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน” ผมอธิบาย ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในบริษัท การที่ผมถูกจ้างออกมันไม่เกี่ยวกับเรื่องแม่นุ่นซะทีเดียว
แม่นุ่นตั้งใจฟังผมอธิบายสีหน้าดูสบายใจขึ้น
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนี่.. ดีออก..ที่ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว นอกจากเรื่องตัวเอง” ผมหันหน้ายิ้มไปมองแม่นุ่น มันเป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม
ที่รู้สึกสบายใจที่สุดกับการตกงานครั้งแรกในชีวิต
“คือ..มันไม่ควรเป็นแบบนี้” แม่นุ่นพูดเสียงเครือ....
“เค้าอยากเห็นตัวเองเติบโต ทำงานดีๆ บริษัทดีๆ เค้ารู้ว่าตัวเองก็มีความฝันก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยไม่รู้......” แม่นุ่นพูดไป น้ำตาที่ปริ่มๆก็เริ่มไหลออกมา
จริงอยู่ว่า.... ความฝันของผมก็คงไม่ต่างกับคนทำงานบริษัททุกคน
ที่ย่อมอยากได้ อยากเป็น
ปีหน้าต้องได้ขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่?
สิ้นปีต้องได้โบนัสเท่าไหร่?
อีกสามปี ห้าปี ต้องเป็นตำแหน่งอะไร?
เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตคนต่างจังหวัดอย่างผม
อยู่กับการทำงานไขว่คว้า เพื่อให้ได้เงินเดือนเยอะๆ
เสพย์สุขกับตำแหน่งหน้าที่ที่ใฝ่ฝัน
มีบ้าน มีรถดีๆ ขับ ในอายุแค่สามสิบต้นๆ
ไม่กิน ไม่เล่น ไม่เที่ยว แต่…ก็ไม่มีเวลาให้ใครทั้งนั้น
ตอนนี้ละ มันเหลืออะไร?
ทั้งหมดที่มี จ่ายค่ายา ค่าหมอ ไม่พอด้วยซ้ำ
ตำแหน่งหน้าที่ เงินเดือนสูงๆ
ตลอด 12 ปีที่ผมวิ่งตามมัน หายวับไปในเวลาแค่ไม่กี่เดือน..มันจบแล้ว...
สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียง ครอบครัวเล็กๆ
ที่เฝ้ารอเสมอ ว่าเมื่อไหร่ ผมจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ไหนสักที่
ทะเล ภูเขาที่ไหนสักแห่ง
นอกจากทำงานประจำ ยังมาเปิดร้าน ทำให้ลูกสองคน ไม่มีพ่อแม่ให้กอดก่อนนอนหลายเดือนแล้ว
ภาพอดีตทั้งหมดย้อนกลับมาสั่งสอน ให้ผมเข้าใจ สิ่งที่ควรทำวันนี้คืออะไร
ทั้งหมดนั้นมันไม่ผิดหรอก แต่มันไม่พอดี
..ความสมดุลย์ของชีวิตมันขาดไป..
ผมเอื้อมมือไปจับมือแม่นุ่น และบอกว่า
“ขอให้ตัวเองดีขึ้น กลับไปทำตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดมากน่า..." ผมยิ้มกึ่งหัวเราะเบาๆ ไม่อยากให้บรรยากาศมันเศร้าไปมากกว่านี้
“ถ้างั้น... กลับไปหางานทำพรุ่งนี้เลยดีมั้ย” ผมพูดหยอกแม่นุ่นอีกที หวังให้แม่นุ่นเลิกร้องไห้
“ไม่เอาอ่ะ..” แม่นุ่นหันมายิ้ม ทำเสียงค้อน ไม่ให้ไปไหน
“อ้าว..โธ่.. แล้วเมื่อกี้ทำเป็นพูดดี.. ”
นั่นแหละ ใครจะรู้จักเธอไปดีกว่าฉัน
ผมพูดแกมหัวเราะ เราต่างคนต่างกลับมายิ้มให้กัน
ความอุ่นใจที่สุดของแม่นุ่น คือการที่มีผมอยู่ข้างๆแบบนี้ในทุกวัน
ไม่แน่ใจนัก ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของผมมันจะสายเกินไปมั้ย
แต่ต่อจากนี้ ผมคงต้องเลิกสักที กับคำว่า "ไม่มีเวลา"
…………………….
กลับมาช่วงปัจจุบัน
ไม่กี่วันจากนั้น น้องชายก็บอกผมว่า หาบ้านเช่าเพื่อทำเค้กได้แล้ว ในซอย ลาซาล 22 ใกล้บ้านๆ ได้ยินดังนั้น ผมก็รีบไปซื้อของเข้าร้าน รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆให้แม่นุ่นตามที่เคยคิดไว้ โดยมีทางบ้านที่อยู่ ตจว พ่อแม่ น้องชายคนกลางมาช่วยแรง
ผมต้องนอนตีหนึ่ง ตีสองอยู่สองสามวัน สลับกับการวิ่งไป วิ่งมาระหว่างร้าน กับบ้าน
ไม่ปฏิเสธว่า โคตรจะเหนื่อย
มันก็แค่เหนื่อยกาย แต่ใจผมมีความสุข
ผมมองไปเบาะนั่งข้างๆ ที่ว่างเปล่า
หยาดเหงื่อความพยายามทั้งหลายต้องส่งผลให้สักวันหนึ่ง แม่นุ่น ต้องกลับมานั่งข้างกันเหมือนเดิม
……………………..
7 ส.ค
ร้านเริ่มเข้ารูปเข้ารอยไปพร้อมๆกับการจัดห้องใหม่ให้แม่นุ่นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผมมีโต๊ะข้างเตียงให้ใส่ยาทุกอย่างที่แค่เอื้อมมือก็หยิบได้
ผมมีตู้เย็นเล็กๆ ไว้เก็บของกิน อาหารเสริม โปรชัว และเก็บยาที่จำเป็นต้องแช่เย็น ไม่ต้องวิ่งขึ้นลงอีกแล้ว
ดูดูแล้วทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
แต่ไม่หรอก มันมีความผิดปกติบ้างอย่างที่แม่นุ่นบอกผม ก่อนเข้านอนของคืนวันนั้น
“อ้วน ปากเค้าเริ่มมีฝ้าขาวๆ อีกแล้ว” แม่นุ่นบอกถึงความปกติที่เกิดขึ้น พลางอ้าปากให้ผมดู
ผมมองเข้าไปข้างใน
ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์เพื่อให้เห็นชัดเจน
อืมม… มีจริงๆ ด้วย ฝ้าขาวข้างลิ้น เหมือนตอนปากเปื่อยไม่มีผิด
เอาแล้วไง หรือจะกลับมา ปากเปื่อย อีกแล้วหรือ???
ผมใจเสียทันที เพราะยังจำความลำบากแสนสาหัสในช่วงนั้นไม่มีวันลืม
ความเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่น่ากลัวเท่าสิ่งนี้
กินไม่ได้แม้แต่น้ำเปล่าว เป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับเค้า
เป็นไปได้ยังไง หยุดคีโมไปแล้วนี่?
ยาที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น Herceptin หรือ Tykerb มันก็ไม่มีผลข้างเคียงแบบนี้?
เท่าที่รู้ มันมีท้องเสีย และผื่นหนองเท่านั้น?
ผมฟังผิดหรือตัวแทนยาไม่ได้แจ้งข้อมูลที่ครบถ้วนกับผม?
ผมไม่เคยเตรียมรับมือกับเรื่องปากเปื่อยเลย ให้ตายเถอะ
ความกังวล คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในสมอง
ไม่ได้การล่ะ ผมต้องพาแม่นุ่นไปเช็คทุกอย่าง วันพรุ่งนี้
จบตอน..