ความเกียจคร้าน หรือขี้เกียจ และความสิ้นหวัง เป็นอาการอ่อนๆของการป่วยทางร่างกาย
เพราะ ถ้าคุณสุขภาพดี หรือ เป็นปกติตามมาตรฐานธรรมชาติ คือ มีความสมดุลแล้ว
คุณก็จะไม่มีคำว่าเกียจคร้าน แต่ระบบประสาทจะตื่นตัว และพร้อมจะเรียนรู้หรือทำกิจกรรมได้หลากหลาย
คุณจะไม่ปิดกั้นตนเองออกจากประสบการณ์ใหม่ๆ และดังนั้น ทุกเวลานาที จึงไม่น่าเบื่อ ไม่เศร้าสร้อย ไม่ใช่การรอคอยอย่างสิ้นหวัง
การป่วย คนโดยทั่วไป มักคิดว่า หมายถึง การล้มหมอนนอนเสื่อ เป็นไข้ หรือบาดเจ็บ
หรือร่างกายปั่นป่วนจนไม่อาจดำเนินชีวิตตามปกติได้
ที่จริง การป่วยมีตั้งแต่ระยะบอกเหตุแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงภูเขาน้ำแข็งที่อาการโผล่จนร้ายแรง
และทำอะไรไม่ได้แล้ว จนต้องพึ่งยา พึ่งหมอเท่านั้น
อาการปวดเมื่อยระหว่างวัน หรือแม้ตอนตื่นนอน ก็เป็นตัวบ่งชี้การป่วยได้ หมายความว่า
ร่างกายได้ส่งสัญญาณความผิดปกติในระดับความเสื่อมโทรม ที่คุณยังยอมรับได้ ถ้าคุณไม่แก้ไขวิถีปฏิบัติตัวบางอย่าง
มันก็จะสะสมตัว หรือหลบมุมและบิดผันไปสู่อาการป่วยที่รุนแรงขึ้นหรือลามไปสู่อาการอย่างอื่น
เช่น อาการปวดหลังแถวเอว อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในระบบไต และไม่เกี่ยวกับหมอนรองกระดูกเคลื่อนอย่างที่ชอบเข้าใจกัน
ซึ่งเมื่อเป็นนานๆ ก็จะทำให้ไตเสียหาย หรือ การทำงานด้อยประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ
โรคสมัยใหม่นี้ มักไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อม ซึ่งมาจากวิถีชีวิตที่ไม่เป็นมิตรกับสุขภาพ
ไม่ว่า ตารางเวลาที่เร่งรีบ การทำงานที่มากเกินไปจนไปทำให้คุณภาพการพัก การหลับ ผิดปกติ ไม่เพียงพอ
วิถีการกินที่ล้นเกิน กินมากเกินไป หรือกินในสิ่งที่ไม่ใช่อาหารแต่เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ โดยที่ไม่มีค่าทางโภชนาการ
เช่น ของขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม ขนมหวาน เนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการเลี้ยงเร่งโต ฉีดวัคซีนซึ่งตกค้างมาสู่ผู้บริโภค
ของทอดน้ำมันที่ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัว ซึ่งก่อมะเร็ง พืชผักที่ตกค้างด้วยยาฆ่าแมลง หรืออาหารทะเลที่แช่น้ำยาฟอร์มาลีน
หรืออาหารแห้งจากจีนที่ใส่สารฟอกขาวมากมาย
ดูเหมือนว่า วิถีการกินสมัยใหม่ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เป็นมิตรกับสุขภาพล้อมกรอบไปหมด
ผู้คนจึงป่วยสะสมโดยไม่รู้ตัว และยากจะหลีกเลี่ยงได้ เราทำงานหนักในวัยหนุ่มสาว เพียงเพื่อเอามาจ่ายเป็นค่ายาในยามแก่หรืออย่างไร
หรือนี่เป็นวิธีควบคุมจำนวนประชากรของระบบทุนนิยมบริโภคอย่างหนึ่งหรือไม่?
ทำไมเราต้องถูกหลอกให้ทำงานหนัก เพียงเพื่อให้ระบบสังคมดำเนินไปได้ โดยที่คุณภาพชีวิตไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น?
คนที่สุขภาพดี หรือปกติตามมาตรฐานธรรมชาติแล้ว จะไม่มีคำว่าขี้เกียจ หรือ ความสิ้นหวัง
เพราะ สุขภาพที่ดีแท้ ย่อมมาจากการเข้าใจธรรมชาติและไม่ได้แยกขาดจากความเข้าใจในธรรมชาติ
และธรรมชาติที่เป็นปกติในร่างกายของเรา ก็คือ รางวัลที่ปรากฏเป็นความชื่นชม และความเบิกบาน ต่อชีวิตได้ทุกเวลา
และจะไม่มีคำว่า ขี้เกียจ หรือ สิ้นหวังในสารานุกรมแห่งชีวิตของเขาแน่...
คนที่สุขภาพดี จะไม่มีคำว่าขี้เกียจ หรือสิ้นหวัง
เพราะ ถ้าคุณสุขภาพดี หรือ เป็นปกติตามมาตรฐานธรรมชาติ คือ มีความสมดุลแล้ว
คุณก็จะไม่มีคำว่าเกียจคร้าน แต่ระบบประสาทจะตื่นตัว และพร้อมจะเรียนรู้หรือทำกิจกรรมได้หลากหลาย
คุณจะไม่ปิดกั้นตนเองออกจากประสบการณ์ใหม่ๆ และดังนั้น ทุกเวลานาที จึงไม่น่าเบื่อ ไม่เศร้าสร้อย ไม่ใช่การรอคอยอย่างสิ้นหวัง
การป่วย คนโดยทั่วไป มักคิดว่า หมายถึง การล้มหมอนนอนเสื่อ เป็นไข้ หรือบาดเจ็บ
หรือร่างกายปั่นป่วนจนไม่อาจดำเนินชีวิตตามปกติได้
ที่จริง การป่วยมีตั้งแต่ระยะบอกเหตุแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงภูเขาน้ำแข็งที่อาการโผล่จนร้ายแรง
และทำอะไรไม่ได้แล้ว จนต้องพึ่งยา พึ่งหมอเท่านั้น
อาการปวดเมื่อยระหว่างวัน หรือแม้ตอนตื่นนอน ก็เป็นตัวบ่งชี้การป่วยได้ หมายความว่า
ร่างกายได้ส่งสัญญาณความผิดปกติในระดับความเสื่อมโทรม ที่คุณยังยอมรับได้ ถ้าคุณไม่แก้ไขวิถีปฏิบัติตัวบางอย่าง
มันก็จะสะสมตัว หรือหลบมุมและบิดผันไปสู่อาการป่วยที่รุนแรงขึ้นหรือลามไปสู่อาการอย่างอื่น
เช่น อาการปวดหลังแถวเอว อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในระบบไต และไม่เกี่ยวกับหมอนรองกระดูกเคลื่อนอย่างที่ชอบเข้าใจกัน
ซึ่งเมื่อเป็นนานๆ ก็จะทำให้ไตเสียหาย หรือ การทำงานด้อยประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ
โรคสมัยใหม่นี้ มักไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อม ซึ่งมาจากวิถีชีวิตที่ไม่เป็นมิตรกับสุขภาพ
ไม่ว่า ตารางเวลาที่เร่งรีบ การทำงานที่มากเกินไปจนไปทำให้คุณภาพการพัก การหลับ ผิดปกติ ไม่เพียงพอ
วิถีการกินที่ล้นเกิน กินมากเกินไป หรือกินในสิ่งที่ไม่ใช่อาหารแต่เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ โดยที่ไม่มีค่าทางโภชนาการ
เช่น ของขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม ขนมหวาน เนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการเลี้ยงเร่งโต ฉีดวัคซีนซึ่งตกค้างมาสู่ผู้บริโภค
ของทอดน้ำมันที่ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัว ซึ่งก่อมะเร็ง พืชผักที่ตกค้างด้วยยาฆ่าแมลง หรืออาหารทะเลที่แช่น้ำยาฟอร์มาลีน
หรืออาหารแห้งจากจีนที่ใส่สารฟอกขาวมากมาย
ดูเหมือนว่า วิถีการกินสมัยใหม่ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เป็นมิตรกับสุขภาพล้อมกรอบไปหมด
ผู้คนจึงป่วยสะสมโดยไม่รู้ตัว และยากจะหลีกเลี่ยงได้ เราทำงานหนักในวัยหนุ่มสาว เพียงเพื่อเอามาจ่ายเป็นค่ายาในยามแก่หรืออย่างไร
หรือนี่เป็นวิธีควบคุมจำนวนประชากรของระบบทุนนิยมบริโภคอย่างหนึ่งหรือไม่?
ทำไมเราต้องถูกหลอกให้ทำงานหนัก เพียงเพื่อให้ระบบสังคมดำเนินไปได้ โดยที่คุณภาพชีวิตไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น?
คนที่สุขภาพดี หรือปกติตามมาตรฐานธรรมชาติแล้ว จะไม่มีคำว่าขี้เกียจ หรือ ความสิ้นหวัง
เพราะ สุขภาพที่ดีแท้ ย่อมมาจากการเข้าใจธรรมชาติและไม่ได้แยกขาดจากความเข้าใจในธรรมชาติ
และธรรมชาติที่เป็นปกติในร่างกายของเรา ก็คือ รางวัลที่ปรากฏเป็นความชื่นชม และความเบิกบาน ต่อชีวิตได้ทุกเวลา
และจะไม่มีคำว่า ขี้เกียจ หรือ สิ้นหวังในสารานุกรมแห่งชีวิตของเขาแน่...