เพื่อนๆ ร่วมแชร์กันหน่อยครับ
สำหรับผม เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นวิศวกรจบใหม่ ไฟแรง ไม่ฟังใคร ไม่อ่อนข้อ ไม่ค่อยคิดไตร่ตรองกับชีวิตมาก
หลังจากทำงานได้เกือบ 1 ปี ได้มีปัญหาไม่ลงรอยกับผู้จัดการซึ่งเป็นลูกของเจ้าของบริษัท (เล็กๆ)
ผลคือ ผมได้ออกจากบริษัทนั้นอย่างทันทีทันใด (โดนไล่ออกนั่นแหละ) น้ำตาลูกผู้ชาย (อ้วนๆ) มีซึมก็คราวนี้แหละ
หลังจากนั้นผมลงมาหางานที่ระยอง หาอยู่นาน 2-3 เดือน จนเงินเก็บใกล้หมด จึงได้งานจากการช่วยฝากของเพื่อน
สิ่งที่ผมได้คิดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือ
1. ตราบใดที่เป็นลูกจ้างเค้า อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญมาก
2. ยอมหักไม่ยอมงอ คือสิ่งที่เป็นอุดมคติ ในชีวิตจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ
3. เพื่อนแท้ย่อมไม่ทิ้งกัน
เพิ่มเติมนิดนึงครับ หลังจากนั้น ผจก คนนั้นก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ลดอีโก้ ลดความบ้าลงมากเหมือนกัน
หลายปีผ่านไปผมก็เจอแก แต่ก็ทักทายกันตามปกติ และไปซื้อของ (เยอะมาก) จากที่นั่น
หลายคนคงคิดว่า เป็นตรูคงไม่กลับไปอุดหนุนแน่ แต่ผมว่าบางทีสังคมการทำงานมันทำให้คนสวมหน้ากากและบทบาทเข้าหากันจนลืมไปว่า เราก็คือลูกจ้างเหมือนกัน
ประสบการณ์เจ็บๆ ในการทำงาน และจุดเปลี่ยนของชีวิตหลังจากนั้น
สำหรับผม เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นวิศวกรจบใหม่ ไฟแรง ไม่ฟังใคร ไม่อ่อนข้อ ไม่ค่อยคิดไตร่ตรองกับชีวิตมาก
หลังจากทำงานได้เกือบ 1 ปี ได้มีปัญหาไม่ลงรอยกับผู้จัดการซึ่งเป็นลูกของเจ้าของบริษัท (เล็กๆ)
ผลคือ ผมได้ออกจากบริษัทนั้นอย่างทันทีทันใด (โดนไล่ออกนั่นแหละ) น้ำตาลูกผู้ชาย (อ้วนๆ) มีซึมก็คราวนี้แหละ
หลังจากนั้นผมลงมาหางานที่ระยอง หาอยู่นาน 2-3 เดือน จนเงินเก็บใกล้หมด จึงได้งานจากการช่วยฝากของเพื่อน
สิ่งที่ผมได้คิดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือ
1. ตราบใดที่เป็นลูกจ้างเค้า อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญมาก
2. ยอมหักไม่ยอมงอ คือสิ่งที่เป็นอุดมคติ ในชีวิตจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ
3. เพื่อนแท้ย่อมไม่ทิ้งกัน
เพิ่มเติมนิดนึงครับ หลังจากนั้น ผจก คนนั้นก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ลดอีโก้ ลดความบ้าลงมากเหมือนกัน
หลายปีผ่านไปผมก็เจอแก แต่ก็ทักทายกันตามปกติ และไปซื้อของ (เยอะมาก) จากที่นั่น
หลายคนคงคิดว่า เป็นตรูคงไม่กลับไปอุดหนุนแน่ แต่ผมว่าบางทีสังคมการทำงานมันทำให้คนสวมหน้ากากและบทบาทเข้าหากันจนลืมไปว่า เราก็คือลูกจ้างเหมือนกัน