เห็นกระทู้ช่างภาพที่ไม่รับผิดชอบหลายๆเรื่องช่วงนี้แล้วนึกถึงเรื่องเก่าที่เคยเล่าไว้หลายปีมาแล้ว
เดี๋ยวนี้กล้องราคาถูกลงมาก หลายคนมีกล้องถ่ายภาพได้สวยเลยรับงานแล้วหลงลืมอะไรบางอย่างไป
มาอ่านเรื่องของผมก่อนแล้วกันนะครับ
ผมรับงานถ่ายรูปครั้งแรกตอนอายุ 17 ที่ต่างจังหวัดงานบ้านๆ ขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงานบวช
รับอยู่หลายงานอยู่ กล้องก็ธรรมดามากครับ minolta AL - F กับเลนส์ fix ที่เปลี่ยนไม่ได้
มันธรรมาดาในสายตาคนอื่นครับ แต่มันคือสุดยอดในใจผม
จนเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ ด้วนความขัดสนเลยคิดว่ารับงานถ่ายรูปรับปริญญาดีกว่า
ผมนั่งเขียนป้ายที่หอพัก แล้วแอบไปติดที่มหาวิทยาลัยตอนกลางคืน สองวันผ่านไปก็มีคนติดต่อมา
สมัยนั้นยังไม่มีมือถือครับ โทรเข้าเบอร์หอเลย บอกว่าให้ไปถ่ายงานรับปริญญาของเค้าที่สวนอัมพร
ด้วยค่าจ้างวันละ 500 บาทไม่รวมฟิล์มและถ่าน
500 บาทครับผมพิมพ์ไม่ผิด มันอาจจะค่อนข้างต่ำ แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมรับงานใหญ่แบบนี้ในกรุงเทพ
เมืองที่ผมพึ่งเข้ามา ไม่รู้ว่าที่นี้เค้าถ่ายกันยังไง ใช้อะไรกันบ้างต้องทำอย่างไรบ้าง ผมไม่รู้เลยจริงๆ
เมื่อผมไปถึงงานสิ่งที่น่าผิดหวังคือ กล้องผมมันดูกระจอกมากๆ เหมือนรถเต่าท่ามกลางฝูงเฟอร์รารี่
ท่าทางผมจะผิดที่ผิดเวลาซะแล้ว
คนอื่นเค้ากล้องตัวใหญ่ แฟลชวูบวาบ เป้อุปกรณ์เต็มที่ น่าเกรงขามจริงๆ
แต่ผมไม่เคยกลัวครับ ผมมั่นใจว่าผมทำได้ และผมจะทำให้ดีที่สุด
สีหน้าและหน้าตาท่าทางของผู้จ้างดูผิดหวังเล็กน้อย
แต่ผมไม่แคร์ผมรับงานมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะทำให้ดีที่สุด
และถ้าเค้าได้เห็นผลงานผมแล้วเค้าก็จะเปลี่ยนท่าทีเอง
แต่ก็ยังแอบประมาทเล็กน้อย แต่ก็ตั้งใจมากๆกับทุกภาพที่ถ่าย ประสบการณ์ทั้งหมดถูกดึงอออกมาใช้
แสงแบบนี้ต้องหน้ากล้องเท่าไหร่ดี มุมแบบนี้ต้องหน้ากล้องเท่าไหร่ speed เท่าไหร่ดี
หลายครั้งที่ผู้จ้างทำผมประหลาดใจด้วยการ ให้ช่างภาพของเพื่อนที่จ้างมา
ให้ช่วยถ่ายภาพเค้าหน่อย ประมาณว่าไม่ไว้ใจกล้องผม กลัวไม่ได้รูป หรือไม่ก็กลัวจะไม่สวยอะไรประมาณนั้น
ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงแต่เก็บอาการไว้
และแสดงความเป็นมืออาชีพด้วยการนิ่งไว้ มือจับกล้องไว้แน่นและบอกมันว่า
เวลาจะพิสูจน์เราเอง
ตลอดครึ่งวันเช้าผมถ่ายไปกว่า 5 ม้วนด้วยความมั่นใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือท่าทีขอบัณฑิตและญาติๆ ที่ออกแนวไม่มั่นใจผมเอามากๆเลย
ก็แหงหละ
ผู้ชายวันล่ะอ่อน กับกล้องโบราณๆ ที่มีแค่กล้องกับแฟลช เท่านั้น กดถ่ายปั๊บต้องหมุนก้านเพื่อเลื่อนฟิล์ม
หมดม้วนต้องกรอฟิล์มแกรกๆ
มันน่าไว้ใจที่ไหน
มันเอากล้องอะไรมาถ่ายเราเนี่ย
มันจะได้ภาพมั้ยเนี่ย
ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนจ้างมันเนี่ย
ประมาณนี้เลยครับ ผมไม่ได้คิดไปเองด้วย
แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดครับ เค้าขอล้างรูปครึ่งวันเช้าก่อน
ผมอึ้งเลยครับไม่คิดว่าเค้าจะทำแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร ดีเหมือนกันจะได้รู้กันไป
....
สองชั่วโมงผ่านไประหว่างรอบัณฑิตออกจากหอประชุม
ญาติบัณฑิตก็กลับมาพร้อมภาพ 5 อัลบั้มแล้วทั้งหมดกว่าสิบชีวิตก็เข้าไปรุมดูภาพทั้งหมด
ผมนอนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างไปพอสมควรมองด้วยหัวใจเต้นตุบๆๆๆๆๆ
....
ผมไม่ใช่มือใหม่
ผมถ่ายภาพด้วยจิตวิญญาณและความตั้งใจทุกภาพ
กล้องฟิล์มของผมถึงมันจะเก่าดูโบราณ แต่ผมก็รักมันมันเป็นของตกทอดมาจากคุณพ่อผม
ที่ใช้ถ่ายออกงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ผมก้มหน้ามองกล้องของผมอย่างเศร้าๆแล้วก็คิดว่า
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ของแบบนี้มันก็มีแต่จะหายไป
แต่สิ่งที่มันจะไม่มีวันหายไปคือจิตวิญญาณของภาพถ่ายที่ถ่ายจากกล้องของผม
มันแฝงอยู่ในภาพถ่ายทุกใบ ที่ถ่ายออกมา
มันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย มันคือผลงานการสร้างสรรค์อย่างปราณีตและบรรจงด้วยใจที่ผูกพันกันของผมและกล้อง
ผมรักมันมาก มันไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยตั้งแต่ใช้มา
มันคือพระเอกของผมตลอดกาล
....
ผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินไปหาอะไรกินรองท้องหน่อยพักใหญ่ๆผมก็กลับมาพร้อมกับการออกมาของบัณฑิตจากห้องประชุม
สิ่งที่ทุกคนทำกับผมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
เสียงชมมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมทั้งขอดูกล้องผมอย่างสนใจกันทีเดียว
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ท่าทางรังเกียจกันจะตายไป
ได้มาจากไหน ราคาเท่าไหร่ ไปเรียนถ่ายภาพที่ไหน.......
เย็นนั้นบัณฑิตไม่เรียกให้ใครถ่ายภาพเค้าอีกแล้วนอกจากผมเท่านั้น
ผมตั้งใจถ่ายต่อไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าอย่างมีความสุข
แต่รอยยิ้มเหล่านั้นหาใช่ของผมไม่
แต่เป็นรอยยิ้มของกล้องผมต่างหาก
การที่คุณเป็นช่างภาพ คุณไม่ใช่แค่มีหน้าที่ถ่าพภาพให้มันจบๆไปเท่านั้น
คุณคือส่วนหนึ่งของการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของคนคนนึงเลยทีเดียว
ฉะนั้นจงตั้งใจให้ดีที่สุด ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ นี่แหละช่างภาพ
เรื่องเก่าเล่าใหม่ ช่างภาพ ไม่ใช่แค่คนถือกล้องแล้วถ่ายภาพ
เดี๋ยวนี้กล้องราคาถูกลงมาก หลายคนมีกล้องถ่ายภาพได้สวยเลยรับงานแล้วหลงลืมอะไรบางอย่างไป
มาอ่านเรื่องของผมก่อนแล้วกันนะครับ
ผมรับงานถ่ายรูปครั้งแรกตอนอายุ 17 ที่ต่างจังหวัดงานบ้านๆ ขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงานบวช
รับอยู่หลายงานอยู่ กล้องก็ธรรมดามากครับ minolta AL - F กับเลนส์ fix ที่เปลี่ยนไม่ได้
มันธรรมาดาในสายตาคนอื่นครับ แต่มันคือสุดยอดในใจผม
จนเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ ด้วนความขัดสนเลยคิดว่ารับงานถ่ายรูปรับปริญญาดีกว่า
ผมนั่งเขียนป้ายที่หอพัก แล้วแอบไปติดที่มหาวิทยาลัยตอนกลางคืน สองวันผ่านไปก็มีคนติดต่อมา
สมัยนั้นยังไม่มีมือถือครับ โทรเข้าเบอร์หอเลย บอกว่าให้ไปถ่ายงานรับปริญญาของเค้าที่สวนอัมพร
ด้วยค่าจ้างวันละ 500 บาทไม่รวมฟิล์มและถ่าน
500 บาทครับผมพิมพ์ไม่ผิด มันอาจจะค่อนข้างต่ำ แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมรับงานใหญ่แบบนี้ในกรุงเทพ
เมืองที่ผมพึ่งเข้ามา ไม่รู้ว่าที่นี้เค้าถ่ายกันยังไง ใช้อะไรกันบ้างต้องทำอย่างไรบ้าง ผมไม่รู้เลยจริงๆ
เมื่อผมไปถึงงานสิ่งที่น่าผิดหวังคือ กล้องผมมันดูกระจอกมากๆ เหมือนรถเต่าท่ามกลางฝูงเฟอร์รารี่
ท่าทางผมจะผิดที่ผิดเวลาซะแล้ว
คนอื่นเค้ากล้องตัวใหญ่ แฟลชวูบวาบ เป้อุปกรณ์เต็มที่ น่าเกรงขามจริงๆ
แต่ผมไม่เคยกลัวครับ ผมมั่นใจว่าผมทำได้ และผมจะทำให้ดีที่สุด
สีหน้าและหน้าตาท่าทางของผู้จ้างดูผิดหวังเล็กน้อย
แต่ผมไม่แคร์ผมรับงานมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะทำให้ดีที่สุด
และถ้าเค้าได้เห็นผลงานผมแล้วเค้าก็จะเปลี่ยนท่าทีเอง
แต่ก็ยังแอบประมาทเล็กน้อย แต่ก็ตั้งใจมากๆกับทุกภาพที่ถ่าย ประสบการณ์ทั้งหมดถูกดึงอออกมาใช้
แสงแบบนี้ต้องหน้ากล้องเท่าไหร่ดี มุมแบบนี้ต้องหน้ากล้องเท่าไหร่ speed เท่าไหร่ดี
หลายครั้งที่ผู้จ้างทำผมประหลาดใจด้วยการ ให้ช่างภาพของเพื่อนที่จ้างมา
ให้ช่วยถ่ายภาพเค้าหน่อย ประมาณว่าไม่ไว้ใจกล้องผม กลัวไม่ได้รูป หรือไม่ก็กลัวจะไม่สวยอะไรประมาณนั้น
ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงแต่เก็บอาการไว้
และแสดงความเป็นมืออาชีพด้วยการนิ่งไว้ มือจับกล้องไว้แน่นและบอกมันว่า
เวลาจะพิสูจน์เราเอง
ตลอดครึ่งวันเช้าผมถ่ายไปกว่า 5 ม้วนด้วยความมั่นใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือท่าทีขอบัณฑิตและญาติๆ ที่ออกแนวไม่มั่นใจผมเอามากๆเลย
ก็แหงหละ
ผู้ชายวันล่ะอ่อน กับกล้องโบราณๆ ที่มีแค่กล้องกับแฟลช เท่านั้น กดถ่ายปั๊บต้องหมุนก้านเพื่อเลื่อนฟิล์ม
หมดม้วนต้องกรอฟิล์มแกรกๆ
มันน่าไว้ใจที่ไหน
มันเอากล้องอะไรมาถ่ายเราเนี่ย
มันจะได้ภาพมั้ยเนี่ย
ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนจ้างมันเนี่ย
ประมาณนี้เลยครับ ผมไม่ได้คิดไปเองด้วย
แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดครับ เค้าขอล้างรูปครึ่งวันเช้าก่อน
ผมอึ้งเลยครับไม่คิดว่าเค้าจะทำแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร ดีเหมือนกันจะได้รู้กันไป
....
สองชั่วโมงผ่านไประหว่างรอบัณฑิตออกจากหอประชุม
ญาติบัณฑิตก็กลับมาพร้อมภาพ 5 อัลบั้มแล้วทั้งหมดกว่าสิบชีวิตก็เข้าไปรุมดูภาพทั้งหมด
ผมนอนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างไปพอสมควรมองด้วยหัวใจเต้นตุบๆๆๆๆๆ
....
ผมไม่ใช่มือใหม่
ผมถ่ายภาพด้วยจิตวิญญาณและความตั้งใจทุกภาพ
กล้องฟิล์มของผมถึงมันจะเก่าดูโบราณ แต่ผมก็รักมันมันเป็นของตกทอดมาจากคุณพ่อผม
ที่ใช้ถ่ายออกงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ผมก้มหน้ามองกล้องของผมอย่างเศร้าๆแล้วก็คิดว่า
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ของแบบนี้มันก็มีแต่จะหายไป
แต่สิ่งที่มันจะไม่มีวันหายไปคือจิตวิญญาณของภาพถ่ายที่ถ่ายจากกล้องของผม
มันแฝงอยู่ในภาพถ่ายทุกใบ ที่ถ่ายออกมา
มันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย มันคือผลงานการสร้างสรรค์อย่างปราณีตและบรรจงด้วยใจที่ผูกพันกันของผมและกล้อง
ผมรักมันมาก มันไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยตั้งแต่ใช้มา
มันคือพระเอกของผมตลอดกาล
....
ผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินไปหาอะไรกินรองท้องหน่อยพักใหญ่ๆผมก็กลับมาพร้อมกับการออกมาของบัณฑิตจากห้องประชุม
สิ่งที่ทุกคนทำกับผมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
เสียงชมมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมทั้งขอดูกล้องผมอย่างสนใจกันทีเดียว
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ท่าทางรังเกียจกันจะตายไป
ได้มาจากไหน ราคาเท่าไหร่ ไปเรียนถ่ายภาพที่ไหน.......
เย็นนั้นบัณฑิตไม่เรียกให้ใครถ่ายภาพเค้าอีกแล้วนอกจากผมเท่านั้น
ผมตั้งใจถ่ายต่อไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าอย่างมีความสุข
แต่รอยยิ้มเหล่านั้นหาใช่ของผมไม่
แต่เป็นรอยยิ้มของกล้องผมต่างหาก
การที่คุณเป็นช่างภาพ คุณไม่ใช่แค่มีหน้าที่ถ่าพภาพให้มันจบๆไปเท่านั้น
คุณคือส่วนหนึ่งของการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของคนคนนึงเลยทีเดียว
ฉะนั้นจงตั้งใจให้ดีที่สุด ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ นี่แหละช่างภาพ