สวัสดีค่ะชาวพันธิป
จริงๆแล้วอยากจะเล่าให้ฟัง ว่ามาเรียนเมืองนอกมันลำบากและเหนื่อยมากขนาดไหน
คนที่อยากบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ถ้ามันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมา จะได้มีทริคเล็กๆเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง
ตามๆมาดู มาให้กำลังใจกันหน่อยนะคะ
Part I : ที่บอสตันนั้น มันมีอะไรดี
เชื่อว่าหลายคนที่อยากมาเรียนอเมริกา คงรู้จักบอสตันดี ในฐานะที่มี MIT กับ Havard ซึ่งงงงง สำหรับฉันแล้ว มันห่างไกลความจริงเหลือเกินนนนนนน
ฉันมากับเพื่อนค่ะ สองคน คือพื้นเพตอนเรียนปริญญาตรีก็ไม่ได้น้อยหน้าชาวบ้านชาวช่องเขาหรอกนะ เรียนจบก็มาเลย กะว่ามาเรียนภาษา ขำๆ เดือนแปดค่อยกลับไปรับปริญญา แล้วหางานทำ เวลาสัมภาษณ์มันจะได้มีแบคที่ดีไง ข้าไปเมืองนอกมา ภาษาอังกฤษข้าไม่ด้อยนะจ๊ะ เก๋ๆ (ซึ่งพบว่าที่จริงแล้วไม่ค่อยเท่เท่าไหร่นัก)
ปรากฎว่า สามสัปดาห์ถัดมา คืนตั๋วค่ะ บอกตัวเองว่า อยู่ต่อดีกว่า เพื่อนก็บอกว่า เอาดิ เลยไม่กลับ
วางแผนกันใหม่ จะเรียนโทกันแล้วนะคราวนี้
เตรียมตัวกันใหม่เหอะแก
ก็เลยตัดสินใจเรียน TOEFL กับ GRE (สำหรับฉันที่อยากเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง)
เด็กนักเรียนภาษาวันๆมันทำอะไรกัน? ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง แต่ฉันไปทำงานค่ะ
ตามสเต็ปเด็กไทยไปเรียนนอก 70% มันจะต้องทำงานกัน
เพราะอะไร เพราะเงินมันดีค่ะ
บางคนเค้าทำงานหาเงินเรียนได้ (ซึ่งฉันจ่ายได้แค่สำหรับการเรียนสำหรับสอบ พอเข้ายูแล้วไม่ไหวค่ะ)
บางคนก็ทำเพราะว่าอยากมีเพื่อน อยู่บ้านเฉยๆมันนอยด์แล้วก็เหงา

เลยคุณเอ๋ย
ยิ่งหน้าหนาวอากาศหม่นหมองนี่ยิ่งไปกันใหญ่
งานร้านอาหารเป็นตัวเลือกหลักของเด็กไทย
ทำไป เที่ยวไป
ชีวิตมันแฮปปี้เหอะ
ซื้อของได้ตลอด เพราะของแบรนด์ที่นี่ราคาพอจ่ายไหว แล้วยิ่งลดราคา ซื้อไปเถอะค่ะ ล้มละลายกันได้ง่ายๆ แต่ก็นั่นแหละ หมดแล้วก็หาใหม่ดิ
มีงานทำนี่หว่า (พบว่ามันเป็นลอจิกที่ค่อนข้างแย่ เมื่อมองกลับหลังไปสองปี)
ฉันก็เรียนๆเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ข้าไม่รีบ
สองปีผ่านไป
นี่ข้ายังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยอ่ะ
ฉันกับเพื่อนก็เลยพยายามที่จะเข้ายูแบบจริงจัง เพื่อนฉันเข้าเรียนได้ ในขณะที่ฉันคิดอยู่ว่า จะเรียนอะไรดี
คืนหนึ่ง นางก็ทำการบ้าน พบว่าการบ้านของพวกเด็กเรียนโทมันเยอะมาก ฉันบอกตัวเองว่า เหอะ ไม่เอาเว้ยยยยย ข้าจะไม่ทำการบ้านเปเปอร์ที่เยอะทับหัวข้าขนาดนี้เด็ดขาด
ในระหว่างนี้ฉันก็ทำงาน เที่ยวเล่น ใช้ชีวิตได้คุ้มกว่าเด็กมหาลัยสองคนรวมกันนะ
ใครชวนไปไหน ไปหมด
บอสตันเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ เทียบกับนิวยอร์ค
คือ มันเป็นเมืองเก่าที่มีสเน่ห์ในตัวเอง
ร้านอาหารดีๆซ่อนอยู่ในซอกหลืบ มุมดีๆสำหรับถ่ายรูปก็เยอะ
เดินทางแค่สี่ ชม ไปนิวยอร์ค โดยรถยนต์
บินไปดีซี หนึ่ง ชม (ไปดูซากุระ)
บินไปชิคาโก้ประมานสอง ชม (ไปเดินเล่น)
กลับมาที่เรื่องเรียน
ก็เลยคิดว่า เรียนอะไรวะ มันถึงจะไม่ต้องเขียนเปเปอร์
ไปเรียนดีไซน์ดีกว่า
การอยู่บอสตันมันดีตรงที่ มหาวิทยาลัย และคอลเลจมันเยอะมากกกกกกก ถ้าเราไม่สามารถหาที่เรียนที่บอสตันได้ ก็อยู่ยากละ
เลยยื่นใบสมัครไปที่ Massachusetts College of Arts and Design เป็นสาขาเฟอนิเจอร์ดีไซน์
ฟลุคเว้ยเฮ้ย ดันรับด้วย
ปัญหาคือ โปรแกรมนี้ที่แมสอาร์ทไม่อนุมัติ I-20 ให้นักเรียนกะเหรี่ยง
ฉันก็อยากเรียนอ่ะ ก็เลยไปเอา I-20 ของโรงเรียนภาษาเพื่อรักษาสถานะ ไม่ให้วีซ่าขาด
สนุกดีหวะ มันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเด็กไทยแบบฉัน ที่วันๆเคยเรียนแต่ทฤษฏี นี่มาลงมือวาด
ตัดโมเดล เข้าชอป ประกอบเก้าอี้ เลคเชอร์ดีๆจากศิลปินมีชื่อ
มันไม่ต้องมาอ่าน มาอนาไลซ์เคสสตาทดี้ พบละ นี่ทางข้าล่ะ
เรียนไปหนึ่งเทอม
โรงเรียนส่งจดหมายมาว่า เนื่องจากเทอมที่แล้ว วิชา wood working (วัสดุไม้) มีคนโดนสั่งดรอปไปสอง นักเรียนของเราไม่พอที่จะเปิดคลาสใหม่สำหรับเทอมฤดูใบไม้ร่วงนี้ จึงขอเรียนนักศึกษาว่า จนกว่าจะมีการจัดการที่เรียบร้อยกว่านี้ เราจะพักภาควิชาเฟอนิเจอร์ดีไซน์ไว้
แล้วไงวะคะ
เข้าแกงค์ไหนหัวหน้าตายหมด
นี่ถึงกับยุบภาค
ฉันก็คร่ำครวญอยู่ว่าทำไม อะไร ยังไง
กลับบ้าน มานอนเล่น ทำขนม
คือจริงๆมาเมืองนอกมันลำบาก อยากจะกินมันหายาก
ยากนักใช่มั๊ย ทำเองเลย
รูมเมทอยากกินฝอยทอง
คือ จะไปหาจากไหนมาให้มันกินวะ
ซื้อก็ไม่ถูกปาก คาวอีก
ชอยส์ไม่มี เพราะคนที่ทำขายในบอสตันมันมีน้อย
อยู่เมืองไทยนี่มันไม่เคยคิดอยากหรอก พอมาเมืองนอกเท่านั้นแหละ มันเล่นท่ายากกันตลอด
ฝอยทอง งี้
ขนมชั้น งี้
ขนมจีบ งี้
สาคู งี้
เค้กส้มต้นกก งี้
เออสิ
เดี๋ยวข้าจะดูจากพันธิปแล้วทำให้เอ็งกินเอง !!!!!
เมื่อฉันจากบ้านนามาเรียนเชฟที่เมืองนอก
จริงๆแล้วอยากจะเล่าให้ฟัง ว่ามาเรียนเมืองนอกมันลำบากและเหนื่อยมากขนาดไหน
คนที่อยากบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ถ้ามันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมา จะได้มีทริคเล็กๆเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง
ตามๆมาดู มาให้กำลังใจกันหน่อยนะคะ
Part I : ที่บอสตันนั้น มันมีอะไรดี
เชื่อว่าหลายคนที่อยากมาเรียนอเมริกา คงรู้จักบอสตันดี ในฐานะที่มี MIT กับ Havard ซึ่งงงงง สำหรับฉันแล้ว มันห่างไกลความจริงเหลือเกินนนนนนน
ฉันมากับเพื่อนค่ะ สองคน คือพื้นเพตอนเรียนปริญญาตรีก็ไม่ได้น้อยหน้าชาวบ้านชาวช่องเขาหรอกนะ เรียนจบก็มาเลย กะว่ามาเรียนภาษา ขำๆ เดือนแปดค่อยกลับไปรับปริญญา แล้วหางานทำ เวลาสัมภาษณ์มันจะได้มีแบคที่ดีไง ข้าไปเมืองนอกมา ภาษาอังกฤษข้าไม่ด้อยนะจ๊ะ เก๋ๆ (ซึ่งพบว่าที่จริงแล้วไม่ค่อยเท่เท่าไหร่นัก)
ปรากฎว่า สามสัปดาห์ถัดมา คืนตั๋วค่ะ บอกตัวเองว่า อยู่ต่อดีกว่า เพื่อนก็บอกว่า เอาดิ เลยไม่กลับ
วางแผนกันใหม่ จะเรียนโทกันแล้วนะคราวนี้
เตรียมตัวกันใหม่เหอะแก
ก็เลยตัดสินใจเรียน TOEFL กับ GRE (สำหรับฉันที่อยากเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง)
เด็กนักเรียนภาษาวันๆมันทำอะไรกัน? ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง แต่ฉันไปทำงานค่ะ
ตามสเต็ปเด็กไทยไปเรียนนอก 70% มันจะต้องทำงานกัน
เพราะอะไร เพราะเงินมันดีค่ะ
บางคนเค้าทำงานหาเงินเรียนได้ (ซึ่งฉันจ่ายได้แค่สำหรับการเรียนสำหรับสอบ พอเข้ายูแล้วไม่ไหวค่ะ)
บางคนก็ทำเพราะว่าอยากมีเพื่อน อยู่บ้านเฉยๆมันนอยด์แล้วก็เหงา
ยิ่งหน้าหนาวอากาศหม่นหมองนี่ยิ่งไปกันใหญ่
งานร้านอาหารเป็นตัวเลือกหลักของเด็กไทย
ทำไป เที่ยวไป
ชีวิตมันแฮปปี้เหอะ
ซื้อของได้ตลอด เพราะของแบรนด์ที่นี่ราคาพอจ่ายไหว แล้วยิ่งลดราคา ซื้อไปเถอะค่ะ ล้มละลายกันได้ง่ายๆ แต่ก็นั่นแหละ หมดแล้วก็หาใหม่ดิ
มีงานทำนี่หว่า (พบว่ามันเป็นลอจิกที่ค่อนข้างแย่ เมื่อมองกลับหลังไปสองปี)
ฉันก็เรียนๆเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ข้าไม่รีบ
สองปีผ่านไป
นี่ข้ายังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยอ่ะ
ฉันกับเพื่อนก็เลยพยายามที่จะเข้ายูแบบจริงจัง เพื่อนฉันเข้าเรียนได้ ในขณะที่ฉันคิดอยู่ว่า จะเรียนอะไรดี
คืนหนึ่ง นางก็ทำการบ้าน พบว่าการบ้านของพวกเด็กเรียนโทมันเยอะมาก ฉันบอกตัวเองว่า เหอะ ไม่เอาเว้ยยยยย ข้าจะไม่ทำการบ้านเปเปอร์ที่เยอะทับหัวข้าขนาดนี้เด็ดขาด
ในระหว่างนี้ฉันก็ทำงาน เที่ยวเล่น ใช้ชีวิตได้คุ้มกว่าเด็กมหาลัยสองคนรวมกันนะ
ใครชวนไปไหน ไปหมด
บอสตันเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ เทียบกับนิวยอร์ค
คือ มันเป็นเมืองเก่าที่มีสเน่ห์ในตัวเอง
ร้านอาหารดีๆซ่อนอยู่ในซอกหลืบ มุมดีๆสำหรับถ่ายรูปก็เยอะ
เดินทางแค่สี่ ชม ไปนิวยอร์ค โดยรถยนต์
บินไปดีซี หนึ่ง ชม (ไปดูซากุระ)
บินไปชิคาโก้ประมานสอง ชม (ไปเดินเล่น)
กลับมาที่เรื่องเรียน
ก็เลยคิดว่า เรียนอะไรวะ มันถึงจะไม่ต้องเขียนเปเปอร์
ไปเรียนดีไซน์ดีกว่า
การอยู่บอสตันมันดีตรงที่ มหาวิทยาลัย และคอลเลจมันเยอะมากกกกกกก ถ้าเราไม่สามารถหาที่เรียนที่บอสตันได้ ก็อยู่ยากละ
เลยยื่นใบสมัครไปที่ Massachusetts College of Arts and Design เป็นสาขาเฟอนิเจอร์ดีไซน์
ฟลุคเว้ยเฮ้ย ดันรับด้วย
ปัญหาคือ โปรแกรมนี้ที่แมสอาร์ทไม่อนุมัติ I-20 ให้นักเรียนกะเหรี่ยง
ฉันก็อยากเรียนอ่ะ ก็เลยไปเอา I-20 ของโรงเรียนภาษาเพื่อรักษาสถานะ ไม่ให้วีซ่าขาด
สนุกดีหวะ มันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเด็กไทยแบบฉัน ที่วันๆเคยเรียนแต่ทฤษฏี นี่มาลงมือวาด
ตัดโมเดล เข้าชอป ประกอบเก้าอี้ เลคเชอร์ดีๆจากศิลปินมีชื่อ
มันไม่ต้องมาอ่าน มาอนาไลซ์เคสสตาทดี้ พบละ นี่ทางข้าล่ะ
เรียนไปหนึ่งเทอม
โรงเรียนส่งจดหมายมาว่า เนื่องจากเทอมที่แล้ว วิชา wood working (วัสดุไม้) มีคนโดนสั่งดรอปไปสอง นักเรียนของเราไม่พอที่จะเปิดคลาสใหม่สำหรับเทอมฤดูใบไม้ร่วงนี้ จึงขอเรียนนักศึกษาว่า จนกว่าจะมีการจัดการที่เรียบร้อยกว่านี้ เราจะพักภาควิชาเฟอนิเจอร์ดีไซน์ไว้
แล้วไงวะคะ
เข้าแกงค์ไหนหัวหน้าตายหมด
นี่ถึงกับยุบภาค
ฉันก็คร่ำครวญอยู่ว่าทำไม อะไร ยังไง
กลับบ้าน มานอนเล่น ทำขนม
คือจริงๆมาเมืองนอกมันลำบาก อยากจะกินมันหายาก
ยากนักใช่มั๊ย ทำเองเลย
รูมเมทอยากกินฝอยทอง
คือ จะไปหาจากไหนมาให้มันกินวะ
ซื้อก็ไม่ถูกปาก คาวอีก
ชอยส์ไม่มี เพราะคนที่ทำขายในบอสตันมันมีน้อย
อยู่เมืองไทยนี่มันไม่เคยคิดอยากหรอก พอมาเมืองนอกเท่านั้นแหละ มันเล่นท่ายากกันตลอด
ฝอยทอง งี้
ขนมชั้น งี้
ขนมจีบ งี้
สาคู งี้
เค้กส้มต้นกก งี้
เออสิ
เดี๋ยวข้าจะดูจากพันธิปแล้วทำให้เอ็งกินเอง !!!!!