คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร "สมศักดิ์ พรนารายณ์ นักข่มขืนจากลุ่มน้ำโขง"

4.สมศักดิ์ พรนารายณ์ นักข่มขืนจากลุ่มน้ำโขง

น.ช.สมศักดิ์ พรนารายณ์หรือศักดิ์สิทธิ์ คำใส อายุ 37 ปี หมายเลขประจำตัว 357/39 คดีข่มขืนกระทำชำเรา และฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6), 83, 340 วรรคท้าย, 90 หมายเลขคดีดำที่ 3768/38 หมายเลขคดีแดงที่ 691/39 ศาลจังหวัดเลย เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.2542 เวลาประมาณ 15.40 น. ข้าพเจ้าได้ถืออาหารมื้อเย็น เดินเข้ามาในเรือนจำ เพื่อเตรียมพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เวรยามกลางคืนของวันนั้น ภายในฝ่ายควบคุมผู้ต้องขังแดน 10(ขังเดี่ยว) และได้เข้าไปเซ็นชื่อที่ศาลาฝ่ายควบคุมผู้ต้องขัง

ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯในขณะนั้น ได้สั่งให้ข้าพเจ้านำอาหารไปเก็บไว้ และมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่นายอื่นดูแลไปก่อน แล้วให้รีบออกมาพบที่ฝ่ายควบคุมฯด่วน

เมื่อข้าพเจ้าจัดการตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อย ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ยุทธ วันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษหนึ่งราย แต่พี่เลี้ยงขาดไปคนหนึ่ง เพราะสมหมายได้ขอลาออกจากหน้าที่พี่เลี้ยงแล้ว ผมดูแล้วคุณน่าจะเหมาะสมในการทำหน้าที่นี้ ยังไงก็ช่วยกันหน่อยนะ”

ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “หัวหน้าครับ ผมทำไม่เป็นและไม่รู้ขั้นตอน เคยเห็นเขาเอานักโทษไปประหารแค่สามครั้ง และได้ยืนดูห่างๆ ผมเกรงว่าจะทำไม่ได้” ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯจึงบอกว่า “ ไม่เป็นไรยุทธ เดี๋ยวจะให้บานสอนให้ ไม่ยากหรอก” ซึ่งหมายถึงผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงรุ่นพี่ชื่อ “พี่บาน” ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจตอบตกลงไป

หลังจากนั้นสักครู่ พี่บานได้มาสอนขั้นตอนและวิธีการต่างๆให้แก่ข้าพเจ้า โดยบอกว่า “ยุทธเมื่อเข้าไปเบิกตัวนักโทษที่ห้องขัง พอเจ้าหน้าที่ประจำตึกไขกุญแจ หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางจะเป็นผู้เรียกชื่อนักโทษ ขอให้คุณยืนคอยที่ปากประตูขัง ถ้าเห็นนักโทษเดินมาถึงประตูเมื่อไร ให้ดึงตัวออกมาจากห้องทันที แล้วค้นตัวให้ละเอียด อย่าให้มีอาวุธซุกซ่อนติดตัวไปได้อย่างเด็ดขาด แล้วให้คุณกับพี่เลี้ยงอีกนาย ล็อกแขนคนละข้าง รีบนำตัวออกไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือเลยนะ คอยพูดปลอบใจไว้ด้วย ผมจะเดินตามไปด้านหลังคุณเอง หน้าที่คุณวันนี้ให้คอยประกบตัวนักโทษไว้ ทั้งเวลาพิมพ์ลายนิ้วมือและตอนพระเทศน์ เสร็จแล้วให้คุณนำไปที่ห้องประหารเลย ล็อกแขนให้ดีๆด้วย ระวังอย่าให้อาละวาดได้ เวลาอยู่ในห้องประหารให้ใช้เสียงพูดให้น้อยที่สุด คุณคอยดูวิธีมัดตัวนักโทษให้ติดกับหลักไว้ สงสัยอะไรค่อยมาถามผมอีกทีหลังจากประหารเสร็จแล้ว ตกลงนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็พยักหน้ารับทราบ

เวลา 16.10 น. หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางพร้อมด้วยพี่เลี้ยงทั้งหมด และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัย ได้เข้าไปเบิกตัวนักโทษประหารที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าได้รับทราบแล้วว่านักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้ เป็นนักโทษเด็ดขาดคดีข่มขืนและฆ่าฯ ชื่อ “ สมศักดิ์ พรนารายณ์”

เมื่อเข้าไปถึงหมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเพลงเฮฮาแว่วออกมาจากตึกขัง เนื่องจากขณะนั้นมีข่าวออกมาว่า จะมีการพระราชทานอภัยโทษครั้งใหญ่ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2542 นี้ และภายในปีเดียวกันนี้ ยังไม่เคยทำการประหารชีวิตนักโทษแม้แต่รายเดียว ทำให้นักโทษประหารที่คดีถึงที่สุดแล้ว มีความหวังที่จะรอดพ้นจากโทษประหารชีวิต

เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังได้ไขกุญแจเปิดประตูตึก ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดจึงเดินเข้าไปภายใน เสียงร้องเพลงเฮฮาที่ได้ยินอยู่เมื่อสักครู่ ได้เงียบเสียงลงในทันที

เมื่อถึงห้องที่ใช้คุมขังน.ช.สมศักดิ์ เจ้าหน้าที่ทั้งหมคได้หยุดยืนมองเข้าไปภายในห้องนั้น นักโทษประหารที่อยู่ภายในห้องต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีสีหน้าตกใจและซีดเผือด เจ้าหน้าที่ประจำตึกขังชี้ให้ข้าพเจ้าดูน.ช.สมศักดิ์ ซึ่งเห็นนั่งถอดเสื้ออยู่กลางห้อง เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนมาก หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้เอ่ยเรียก “ สมศักดิ์ พรนารายณ์ ออกมานี่”

ข้าพเจ้าซึ่งจับตามองน.ช.สมศักดิ์อยู่ เห็นน.ช.สมศักดิ์สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง
จากนั้นได้ลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปพูดกับเพื่อนร่วมห้อง

“ เพื่อนๆผมขอลาก่อน นายเขามาเอาตัวผมไปใช้กรรมแล้ว”

นักโทษประหารภายในห้องนั้นและห้องใกล้เคียง เมื่อได้ยินน.ช.สมศักดิ์กล่าวอำลา ต่างก็ส่งเสียงต่างๆกันไป “ ไปสู่ที่ชอบเถอะเพื่อน” “ ศักดิ์เพื่อนหมดกรรมก่อนพวกเราแล้ว” “ ไม่นานเราคงจะตามไป” “ นึกถึงพระไว้เพื่อน” ฯลฯ

น.ช.สมศักดิ์ได้เอื้อมมือไปรับเสื้อที่เพื่อนนักโทษส่งมาให้ขึ้นสวมใส่แล้วกล่าวว่า “ผมขอให้เพื่อนนักโทษประหารทุกคน รอดพ้นจากโทษประหาร และได้รับอภัยในปีนี้ทุกคน” แล้วเดินออกมาที่ประตูห้อง ข้าพเจ้าคว้าจับที่ข้อมือไว้ได้ ก็รีบดึงตัวน.ช.สมศักดิ์ ให้พ้นออกมาจากห้องในทันที ทำการตรวจค้นตัวแต่ไม่พบสิ่งใด ข้าพเจ้าจึงล็อกที่แขนข้างขวาของน.ช.สมศักดิ์ พาเดินออกมาจากตึกขังในทันที (ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ที่ด้านขวามือของนักโทษประหารมาตลอด)

เมื่อข้าพเจ้านำน.ช.สมศักดิ์ออกมาจากตึกขังแล้ว น.ช.สมศักดิ์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับผมขอใส่รองเท้าของผมไปด้วยนะครับ ผมไม่อยากตายเท้าเปล่า ถ้ายังไงหัวหน้าช่วยบอกให้เขาเอาร้องเท้าของผมใส่โลงศพให้ด้วย” ข้าพเจ้าจึงตอบกลับไป “ ไม่มีปัญหาศักดิ์ แล้วจะจัดการให้” เสร็จแล้วจึงนำน.ช.สมศักดิ์ไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือ

ระหว่างทางข้าพเจ้าได้พูดกับน.ช.สมศักดิ์ “ ศักดิ์พวกผมและเจ้าหน้าที่ทุกนายทำตามหน้าที่ อย่าได้โกรธเคืองหรือมีเวรกรรมต่อกันเลยนะ” น.ช.สมศักดิ์ตอบว่า “ ครับหัวหน้าผมรู้ และขออโหสิกรรมให้กับทุกคน ผมมันเป็นคนบาป การตายของผมในวันนี้ ไม่รู้ว่าจะชดใช้กรรมเก่าได้หมดสิ้นหรือเปล่า” ข้าพเจ้าถามอีก “ แสดงว่าศักดิ์ทำจริงใช่ไหม” น.ช.สมศักดิ์ “ ครับผมทำจริง”

ภายในหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้มารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อข้าพเจ้านำน.ช.สมศักดิ์มาถึง ได้ให้น.ช.สมศักดิ์นั่งที่เก้าอี้ซึ่งจัดไว้กลางห้อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังและกองทะเบียนประวัติอาชญากรเข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลตามระเบียบ แต่น.ช.สมศักดิ์ขอเวลาสูบบุหรี่หนึ่งมวนก่อน ซึ่งก็ได้อนุญาตให้ตามคำขอ

ระหว่างที่รอให้บุหรี่หมดมวน สารวัตรโกมลหัวหน้าชุดของกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้ถาม น.ช.สมศักดิ์ว่า “ สมศักดิ์คุณเป็นคนเกิดจังหวัดไหน”

น.ช.สมศักดิ์สูบอัดควันบุหรี่เข้าปอดอย่างแรงแล้วตอบว่า “ สารวัตรครับ ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนไทยหรอกครับ ผมเป็นคนลาวฝั่งโน้น”

สารวัตรโกมลร้องขึ้น “ อ้าว ในใบทะเบียนประวัติ บอกว่าคุณเป็นคนไทยไม่ใช่หรือ”

น.ช.สมศักดิ์ตอบ “ใช่ครับสารวัตร แต่ผมปลอมแปลงสัญชาติหลบหนีจากฝั่งลาวเข้ามา” ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามขึ้น “ ปลอมยังไงศักดิ์ประวัติถึงได้ออกมาเป็นคนไทยอย่างนี้”

น.ช.สมศักดิ์ “ โถ่หัวหน้าครับ ประเทศไทยนะครับ ขอให้มีเงินจ่ายก็แล้วกัน รับรองว่าสามารถมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และทำบัตรประชาชนได้สบายมาก”

ข้าพเจ้าถามอีก “ แล้วศักดิ์นึกยังไงถึงเข้ามาอยู่ในเมืองไทย แถมยังพูดภาษาไทยได้ชัด จนผมฟังไม่ออกเลยว่าเป็นคนต่างชาติ”

น.ช.สมศักดิ์ “ ภาษาไทยนะครับหัวหน้า คนทางฝั่งบ้านผมส่วนใหญ่จะพูดกันได้แทบทั้งนั้น และผมเคยข้ามมาทางฝั่งไทยบ่อยๆ ได้พูดภาษาไทยอยู่เป็นประจำ ผมจึงพูดได้คล่อง ส่วนสาเหตุที่ต้องหนีข้ามมาฝั่งไทยนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ”

“ เดิมทีนั้นผมเกิดและโตขึ้นมาทางฝั่งโน้น อาชีพผมก็รับจ้างทั่วไปแม้กระทั่งทำนาทำสวน ข้อเสียของผมคือ ผมเป็นคนมีอารมณ์ทางเพศรุนแรงและต้องการบ่อยมาก ถ้าพอมีเงินอยู่บ้างผมก็จะไปเที่ยวผู้หญิง แต่ถ้าหาเงินไม่ได้แล้วเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา ผมก็จะใช้วิธีดักฉุดผู้หญิงตามที่เปลี่ยวแล้วลงมือข่มขืน ซึ่งสมัยที่ผมอยู่ทางฝั่งโน้น ผมได้ข่มขืนผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ถ้าครั้งไหนเรื่องแดงขึ้นมา ผมก็จะหนีไปหากินในที่อื่นต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงที่ผมข่มขืนมักจะไม่กล้าเอาเรื่อง เพราะกลัวอับอาย

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมดักฉุดผู้หญิงมาได้ แล้วจะลงมือข่มขืน แต่ผู้หญิงคนนั้นต่อสู้กับผมเต็มที่ ผมเลยโมโหพลั้งมือฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย เสร็จแล้วผมได้เอาศพไปโยนทิ้งน้ำ แล้วหนีไปอยู่ที่อื่น แต่อย่างว่าแหล่ะครับ ผมอดนิสัยเดิมไม่ได้ เมื่อไปอยู่ที่ใหม่ เวลาผมเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาแต่ไม่มีเงิน ผมก็จะใช้วิธีดักฉุดผู้หญิงอีก ในเมื่อเจ้าทุกข์ส่วนใหญ่ไม่กล้าเอาเรื่อง ผมเลยยิ่งได้ใจทำบ่อยขึ้น สุดท้ายผมก็พลั้งมือฆ่าผู้หญิงตายไปอีกคนหนึ่ง ผมเอาศพไปโยนทิ้งน้ำอีกเหมือนเดิม แต่คราวนี้หลังจากญาติคนตายพบศพ ก็ประกาศจะตามล่าคนฆ่าให้ได้ ซึ่งญาติของคนตายค่อนข้างเป็นคนที่มีชื่อเสียงทางฝั่งโน้น ผมรู้ตัวว่าไปไม่รอดแน่ จึงหนีข้ามมาทางฝั่งไทย โดยมีคนรู้จักกันช่วยเหลือพาไปทำงานที่โคราช และช่วยเรื่องปลอมแปลงสัญชาติ ซึ่งตัวผมนั้นมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “ ศักดิ์สิทธิ์ คำใส”

ตอนผมอยู่ที่โคราช เวลาผมเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา ผมจะไปเที่ยวผู้หญิงหากินซึ่งหาได้ไม่ยาก และราคาไม่แพงนัก ช่วงนี้ผมไม่ได้ข่มขืนใครอีกเลย ภายหลังผมมาถูกจับในข้อหาลักทรัพย์ และถูกตัดสินให้ติดคุกอยู่ที่เรือนจำโคราช

ตอนที่ติดคุกอยู่นี้ผมได้รู้จักสนิทสนมกับอาของจารุณี(ชื่อเหยื่อรายสุดท้าย) เมื่อพ้นโทษออกมาด้วยกัน ผมยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี อาของจารุณีได้ชวนผมให้ไปอยู่ด้วยกันที่จังหวัดเลย ซึ่งก็คือบ้านของจารุณีนั่นเอง

เมื่อผมเดินทางมาถึงจังหวัดเลย ผมยังไม่ได้เดินทางต่อไปที่เชียงคานในทันที เวลานั้นผมเกิดมีอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากผมเพิ่งพ้นโทษออกมาวันแรกแต่ไม่มีเงินไปเที่ยวผู้หญิง ผมจึงหลบอาของจารุณีออกไปหาเหยื่อเพื่อระบายอารมณ์ สุดท้ายผมไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง มีอาชีพขับขี่รถสามล้อเครื่องรับจ้าง ผมหลอกพาไปข่มขืนในป่าด้านหลังโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผมกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะจำหน้าผมได้ และทำให้ผมอยู่ในจังหวัดเลยต่อไปไม่ได้ ผมจึงพยายามฆ่าปิดปากผู้หญิงคนนั้น แต่ผมมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ตาย จึงรีบเดินทางหนีมาพักอาศัยกับอาของจารุณีที่อำเภอเชียงคาน

ที่บ้านของจารุณีตอนที่ผมไปอาศัยอยู่ด้วยนั้น พอดีเป็นช่วงที่จารุณีและพี่สาว ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ได้กลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พอผมได้พบเห็นหน้าจารุณีเท่านั้น ผมก็นึกชอบจารุณีขึ้นมาทันที เพราะว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องให้เป็นของผมให้ได้ ก่อนที่จารุณีจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ

จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ ผมรู้มาว่าจารุณีจะกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น ผมจึงคิดหาทางเผด็จศึกให้ได้ พอดีคืนวันนั้นฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ทุกคนต่างแยกย้ายไปนอนกันแต่หัวค่ำ ตกดึกผมซึ่งยังนอนไม่หลับ สังเกตว่าทุกคนในบ้านได้หลับกันหมดแล้ว จึงลุกขึ้นย่องเข้าไปที่มุ้งของจารุณีซึ่งนอนอยู่คนเดียว

เมื่อไปถึงได้เข้าไปกอดและพยายามถอดเสื้อผ้าออก แต่จารุณีได้ตื่นขึ้นมาทำท่าจะร้อง ผมจึงเอามืออุดปากไว้และขอนอนด้วย แต่จารุณีไม่ยอม พยายามดิ้นรนและจะร้องให้คนช่วย ผมจึงหยิบผ้าขนหนูยัดเข้าไปในปาก และหยิบสายไฟวิทยุที่อยู่ข้างที่นอน พันรัดเข้าที่ลำคอของจารุณีจนนิ่งไป แล้วผมจึงลงมือข่มขืนทันที เสร็จแล้วผมถึงรู้ว่าจารุณีได้สิ้นใจตายไปแล้ว ผมจึงเก็บเสื้อผ้ารีบหนีแต่ก็ไปไม่รอด ผมจึงต้องมาชดใช้กรรมที่ทำไว้ อย่างที่เห็นกันในวันนี้แหละครับ”

สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.ค. พ.ศ.2538 เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.เชียงคาน จังหวัดเลย ได้รับแจ้งเหตุพบศพหญิงสาวถูกข่มขืนและฆ่า ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่ที่ 6 ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

*** มีต่อในกล่องแสดงความคิดเห็น ***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่