[Spoil] ช้อนเงินคนแปรธาตุ (Silver Spoon) อนิเมซีซั่นสอง #8 - วันที่ตื่นจากฝัน

กลับมาพบกันในสัปดาห์นี้อีกครั้งนะครับ ยิ้ม

เนื้อเรื่องในช่วงนี้ถือเป็นช่วงไคลแมกซ์สำคัญช่วงหนึ่งของเรื่องนี้แล้ว และเชื่อว่าเป็นช่วงที่หลายคนที่ได้อ่านภาคมังงะไปไกลแล้วอยากเห็นกันแน่ๆ ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน ยังไงก็มาตามดูไปด้วยกันนะครับ

เช่นเคย ใครอยากคุยเนื้อหาหลังจากตอนนี้ รบกวนอย่าลืมใส่แท็ก Spoil นะครับ







เปิดตอนมาที่ช่วง 1 อาทิตย์หลังการแข่งเบสบอลใหญ่ระดับเขตฮอกไกโด

โคมาบะยังคงไม่มาโรงเรียน แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสัปดาห์แล้ว ลองไปถามรูมเมทของโคมาบะดู รูมเมทก็บอกว่าไม่รู้อะไรเหมือนกัน จนพวกบักแว่นเริ่มนึกเป็นห่วง เพราะนึกไม่ถึงว่าคนเอาจริงเอาจังอย่างโคมาบะจะขาดเรียนนานขนาดนี้


ฉาก "การคืนชีพของอ.นากาจิมะ" ที่เงิบกว่าในหนังสือการ์ตูนซะอีก


ฉากเงิบอีกฉากของอ.นากาจิมะ "เพื่อชีส แม้พระพุทธองค์ก็กลายเป็นมารได้"

แต่ถ้าใครรู้วิธีทำชีสก็คงเข้าใจละนะว่าทำไมตอนเลือกเด็กไปช่วยงาน อ.แกถึงต้องถามเด็กอย่างละเอียดก่อนว่าวันนี้กินอะไรมา (ซึ่งบักแว่นกับอากิจังถูกเลือกตัวไปช่วยงานก็เพราะไม่ได้กิน "ถั่วหมัก" ที่เป็นของต้องห้ามสำหรับการเข้าโรงทำชีสมาภายใน 24 ชั่วโมงนั่นแหละ เนื่องจากเชื้อถั่วหมักนั้นแรงมาก ถ้าเข้าโรงทำชีสทั้งๆ ที่กินถั่วหมักมา เชื้อถั่วหมักอาจติดอยู่ตามตัวจนลงไปในชีส ทำให้ชีสเสียหายได้)


สภาพภายในโรงทำชีสที่บักแว่นกับอากิจังเคยเห็นเป็นครั้งแรก


บักสมองไก่โทคิวะกับน้องโยชิโนะสาวบ้าชีสก็มาร่วมแจมด้วย


ขั้นตอนต่างๆ ในการทำชีส เริ่มจากอุ่นนมในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นจึงใส่สารต่างๆ ที่เป็นส่วนผสม ก่อนจะใส่ "เรนเนต์" (rennet) เอนไซม์จากกระเพาะวัวที่ทำให้ส่วนที่เป็นโปรตีนในนมแยกออกจากส่วนที่เป็นน้ำ โดยส่วนที่เป็นโปรตีนนั้นจะมีลักษณะเป็นก้อนสีเหลืองๆ เรียกว่า "เคิร์ด" (Curd) ในขณะที่ส่วนที่เป็นน้ำนั้นก็คือ "เวย์" (Whey) (ที่โยชิโนะเคยบอกว่าเอาไปใช้เลี้ยงหมูเพื่อให้เนื้ออร่อยขึ้นนั่นแหละ แต่ความจริงเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ)


ฉากที่ถูกตัดไปในตอนนี้ บักแว่นถามอ.นากาจิมะว่าจะเอาเรนเน่ต์ออกมาจากกระเพาะลูกวัวได้ยังไง อ.นากาจิมะกับโยชิโนะเลยช่วยกันส่งภาษาใบ้ให้บักแว่นรู้ ทำเอาบักแว่นถึงกับ Mind Break ไปชั่วขณะเลย (เรนเน่ต์ที่ทำจากเชื้อราหรือแบคทีเรียอย่างอื่นก็มีน่าบักแว่น เพราะเรนเน่ต์จากกระเพาะลูกวัวมันแพง)


โดยขั้นตอนเกือบทั้งหมดอ.นากาจิมะเป็นคนทำเองพร้อมอธิบายให้เด็กๆ ฟัง ในขณะที่เด็กๆ ทำแค่ช่วยล้างช่วยหยิบจับเครื่องมือให้อาจารย์เท่านั้น


พวกบักแว่นชักหงุดหงิดขึ้นมาที่โดนใช้ให้ล้างของอย่างเดียวไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

แต่พออ.นากาจิมะอนุญาตให้ลองชิมเคิร์ดดูเป็นรางวัลก็ดี๊ด๊าลืมความหงุดหงิดซะสนิท


กินครั้งแรกยังหวานอยู่เพราะในเคิร์ดยังมีน้ำตาลแลกโตสอยู่ ต้องเทน้ำเวย์ออก 1 ใน 3 แล้วใส่น้ำอุ่นเพิ่มเข้าไปให้แลกโตสออสโมซิสจากเคิร์ดเข้ามาในน้ำมากขึ้น


จากนั้นก็ถึงขั้นตอนบีบอัด โดยแบ่งเคิร์ดที่ได้ออกมาใส่ภาชนะ แล้วเอาไปเข้าเครื่องบีบเอาน้ำที่เหลืออยู่ออกมา (ขั้นตอนนี้มีผลต่อความแข็งของเนื้อชีส คือถ้าบีบแน่นจนน้ำออกมาเยอะ ก็จะได้ชีสเนื้อแข็ง แต่ถ้าบีบไม่มากก็จะได้ชีสเนื้อนิ่ม)



อนึ่ง ตรงนี้ตัดฉากโชว์เครื่องอัดชีสไปแฮะ (กับฉากคุยกันเรื่องราคาของชีสในตลาด)



ทำงานกันจนเวลาล่วงเลยมาเกือบบ่ายโมงกว่าจนแต่ละคนเริ่มหิวกันแล้ว บักโทคิวะเลยเสนอตัวไปซื้อข้าวเที่ยงมาให้

แต่ดันโง่ซื้อข้าวห่อสาหร่ายไส้ถั่วหมักมา เลยโดนอ.นากาจิมะกับโยชิโนะอัดเละไปตามระเบียบ

...เชื่อแล้วว่า "คนโง่แต่ขยัน + กระตือรือร้น" นี่มันสร้างความยิ้มได้ดีจริงๆ


จากนั้นก็โยนเข้าโรงบ่มทิ้งไว้ 3 เดือนจนกว่าจะได้ที่เป็นอันเสร็จพิธี (อนึ่ง เห็นความลำบากของการทำชีสแต่ละขั้นตอนแล้วเข้าใจเลยแฮะว่าทำไมอ.นากาจิมะถึงคลั่งนักเวลาโดนเอาชีสสุดที่รักไป...ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนงานเทศกาลเอโสะโนที่โดนตบไปทั้งโรงบ่มเลย)


พวกบักแว่นเลยกลับมาที่ห้องชมรมขี่ม้ากันก่อน มาคุยกันเรื่องโน่นเรื่องนี่ สุดท้ายก็เลยไปถึงเรื่องโคมาบะที่ลาหยุดไปตั้งอาทิตย์แล้วว่าเมื่อไหร่จะกลับมาซะที

มีเพียงอากิเท่านั้นที่มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัดราวกับรู้คำตอบบางอย่างล่วงหน้าแล้ว...



แล้วก็กลับสู่ชีวิตประจำวันแบบตลกบริโภค + เกษตรนิยมกันต่อในวันรุ่งขึ้น

ชอบไอ้มุกแก๊งค์น้องหมูรุ่นน้องของบุตะด้ง กับมุกตั้งชื่อให้น้องวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ (เป็นวัวนมเลยไม่โดนส่งไปเชือด) จริงๆ แฮะ



คืนนั้นหลังเลิกเรียนเลิกงาน ทุกคนก็กลับมากินข้าวที่หอกันตามปกติ

มีพูดกันถึงเรื่องความหมายของ "ช้อนเงิน" ที่ประดับอยู่หน้าโรงอาหารด้วยนิดหน่อย


แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อในหอมีแขกที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่คนหนึ่ง

นั่นคือ...อายาเมะจังเพื่อนเก่าของอากินั่นเอง


บักแว่นก็งงว่าอายาเมะมาทำอะไรที่นี่ อายาเมะก็บอกว่าแค่มาทัศนศึกษาเฉยๆ เพราะตอนนี้ภาควิชาโคนมของเอโสะโนมีที่ว่างเพราะมีเด็กออกไปอยู่ที่หนึ่งพอดีก็เลยว่าจะสมัครดูอีกรอบ

ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็มองไปทางโทคิวะเป็นตาเดียวเพราะนึกว่าไอ้หมอนี่สอบตกซ้ำซากจนโดนรีไทร์ เล่นเอาเจ้าตัวโบกไม้โบกมือแก้ตัวเป็นพัลวัน อายาเมะก็บอกว่า เธอรู้จากปู่ที่เป็นประธานสหกรณ์การเกษตรเรื่องสถานการณ์ของบ้านของโคมาบะ นอกจากนี้ทางสหกรณ์ยังมีประกาศออกมาเป็นทางการแล้วด้วย

คำพูดของอายาเมะทำเอาเพื่อนๆ บักแว่นถึงกับตีหน้าเครียดเป็นแถบ มีแต่บักแว่นยืนงงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่คนเดียว เลยหันไปถามอายาเมะว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับบ้านโคมาบะกันแน่

อายาเมะเห็นบักแว่นไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็ตอบคำถามให้ว่า

"บ้านโคมาบะจะปิดฟาร์มแล้ว เพราะหมุนเงินมาจ่ายหนี้ไม่ทัน เรียกง่ายๆ ก็ 'ล้มละลาย' นั่นแหละ"


คำพูดของอายาเมะทำเอาทั้งโรงอาหารถึงกับเงียบเป็นป่าช้าไปทันใด ฝ่ายบักแว่นถึงกับยืนเซ่ออยู่กับที่ ก่อนจะหันไปตะกุกตะกักถามอากิว่าที่อายาเมะว่ามานั่นจริงรึเปล่า อากิก็บอกว่าจริง และบอกว่าโคมาบะคงไม่มาโรงเรียนอีกแล้ว คงลาออกไปดื้อๆ ทั้งแบบนี้เลย บักแว่นก็ตะกุกตะกักต่อว่าแล้วเรื่องสืบทอดฟาร์มล่ะ เรื่องไปโคชิเอ็นกับเรื่องเป็นนักเบสบอลอาชีพล่ะ อากิก็ส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่า "ทุกอย่างมันจบแล้ว" เท่านั้น


คราวนี้บักแว่นเลยทนไม่ไหว โวยขึ้นมาว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกเขาสักคำ ทามาโกะก็ขัดขึ้นมาว่าจะให้บอกได้ยังไง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่จะเอาไปโพนทะนาให้คนเขารู้ไปทั่วได้หรอกนะ ที่สำคัญ เด็กม.ปลายยังแบบมือขอพ่อแม่กินอย่างเราๆ รู้ไปจะทำอะไรได้ จะมีปัญญาหาเงินมาจ่ายหนี้ให้บ้านโคมาบะรึไง


บักแว่นเจอสวนเข้าไปก็ถึงกับเถียงไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกรับไม่ได้ พยายามหันไปถามเพื่อนๆ คนอื่นว่าจะปล่อยไปแบบนี้งั้นเหรอ แต่ไม่ว่าคนไหนก็หลบตากันหมด อายาเมะเห็นท่าทางของบักแว่นกับเพื่อนก็เปรยขึ้นมาว่าโคมาบะไม่ได้ได้บอกอะไรกับเพื่อนจริงๆ สินะ แต่ก็สมกับเป็นหมอนั่นดีละ ได้ยินอายาเมะพูดขึ้นมาแบบนั้น บักแว่นก็ฉิววูบขึ้นมา หยิบมือถือจะโทรไปด่าโคมาบะให้เละ แต่พอนึกได้ว่าโคมาบะไม่มือถือก็ได้แต่ยืนกำมือถือนิ่งอยู่แบบนั้น

ลงเอยเมื่อไม่รู้จะระบายความอัดอั้นยังไง บักแว่นก็หันไปโวยใส่อากิต่อว่าหมอนั่นยังเล่นเบสบอลได้อยู่นะ จะเลิกเรียนไปง่ายๆ แบบนี้ได้ไง อากิก็บอกแค่ว่าโคมาบะจะออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยปลดหนี้ที่บ้าน คราวนี้บักแว่นเลยยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าโวยซ้ำไปซ้ำมาเรื่องเดียวอยู่แบบนั้นเท่านั้น


หลังโวยวายอยู่พักหนึ่งจนใจเย็นลง บักแว่นกับอากิก็ไปนั่งคุยกันข้างนอกหอ อากิเล่าให้บักแว่นฟังว่า ที่บ้านโคมาบะเป็นหนี้เงินกู้ก็เพราะพ่อโคมาบะกู้เงินมาจะขยายฟาร์ม แต่เพิ่งจะขยายฟาร์มไปได้ไม่ทันไร พ่อโคมาบะก็เสียไปเสียก่อน ทิ้งหนี้เงินกู้จำนวนมากไว้ให้ครอบครัว อากิบอกต่อว่าจริงๆ แล้วแม่ของโคมาบะเองก็อยากให้โคมาบะเรียนต่อจนจบม.ปลาย แต่โคมาบะยืนยันหนักแน่นว่าตัวเองจะออกจากโรงเรียนมาทำงานช่วยที่บ้านใช้หนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนเรื่องจะไปถึงขั้นนั้น โคมาบะก็ขอโอกาสสุดท้ายกับแม่ โดยขอเล่นเบสบอลต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าถ้าตัวเองพาทีมเอโสะโนไปถึงโคชิเอ็นในปีนี้ได้ ก็จะมีโอกาสได้เป็นนักเบสบอลอาชีพ ช่วยปลดหนี้ให้ทางบ้านได้ เรียกว่าอนาคตทุกอย่างฝากไว้กับการไปโคชิเอ็นในครั้งนี้ก็ไม่ผิดนัก


ได้ยินดังนั้น บักแว่นก็โวยต่อว่า เรื่องนั้นปีหน้าก็ยังมีโอกาสนี่นา แต่อากิก็ส่ายหัวบอกว่าไม่ได้หรอก เงินกู้น่ะยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไหร่ดอกเบี้ยก็ยิ่งท่วมหัวเท่านั้น ขืนรอให้ไปโคชิเอ็นปีหน้าก่อนค่อยหาเงินจ่ายหนี้ทุกอย่างก็อาจแย่ลงกว่าเดิมก็ได้ บักแว่นก็พยายามถามว่ามีอะไรที่ตัวเองพอจะช่วยเหลือได้บ้างรึเปล่า อากิก็ฝืนยิ้มบอกว่าบักแว่นนี่ใจดีจริงๆ เลยนะ แต่ครั้งนี้เท่านั้นแหละที่คงทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่บักแว่นจะต้องมาทุกข์ใจไปด้วยหรอก ว่าถึงตรงนี้ อากิก็ยกเทคนิคการขี่ม้ามาเปรียบเทียบ โดยบอกว่าเวลาที่ตกม้าแล้วหล่นถึงพื้นน่ะ เราต้องปล่อยบังเหิยนไปอย่ายืดบังเหิยนไว้ เพราะถ้ายึดไว้ก็อาจถูกม้าลากไปกระแทกของแข็งบนพื้น หรืออาจถูกม้าเหยียบจนบาดเจ็บสาหัสได้ และบอกว่าครั้งนี้ขอให้บักแว่น "ปล่อยบังเหิยน" ไปเสียเถอะ เธอไม่อยากให้บักแว่นต้องมาพลอยทุกข์ใจไปด้วย ว่าจบก็ตัดบทขอตัวกลับเข้าหอไป

แต่บักแว่นก็ยังรับไม่ได้ ทำท่าจะลุกขึ้นคว้ามืออากิไว้จะให้อยู่คุยกันต่อ แต่พอนึกถึงคำพูดของอากิเมื่อกี้กับคำพูดของเพื่อนๆ ในโรงอาหารก็ชะงักกึก ปล่อยให้อากิเดินกลับเข้าหอไปโดยที่ไม่อาจรั้งตัวไว้ได้




บ่นนิด...ระบบกรองคำหยาบของพันทิพชักงี่เง่าขึ้นทุกวัน จะพิมพ์คำว่า "บังเยิ้มยน" ที่หมายถึงเครื่องม้าชนิดหนึ่งก็ยังทำไม่ได้ เม่าโกรธ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่