มองการค้าโลก..โยกสู่ลุ่มแม่น้ำโขง

ผู้ประกอบการไทยควรยกระดับโดยผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อนและสร้างภาพลักษณ์ให้มากยิ่งขึ้น

การคาดการณ์ “อนาคต” อาจดูเป็นเรื่องยาก และที่ยากไปกว่า ก็คือ การจับทิศ “เทรนด์” เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป สิ่งที่ “นักธุรกิจ” อยากรู้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า อะไรคือ “บิ๊กเทรนด์” ของเศรษฐกิจไทยในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

“ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) มองว่า การค้าชายแดนจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยเฉพาะการค้าในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งได้แก่ ประเทศจีนตอนล่าง พม่า เวียดนาม ลาว และกัมพูชา

สาเหตุเป็นเพราะ หากพิจารณาการค้าชายแดนประเทศเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ว่ามีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

“ผมไม่เชื่อเรื่อง AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) แต่ผมเชื่อเรื่องการรวมตัวของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพราะมันเกิดขึ้นชัดเจน และถือเป็นอนาคต

ที่สำคัญของประเทศไทย เห็นได้จากการท่องเที่ยวของจีนที่ลงมาแถวเชียงใหม่หรือจะบินตรงลงมาที่ประเทศไทยก็ดี จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาไทยมีเยอะมาก และการค้าชายแดนก็เพิ่มขึ้น ยิ่งในอนาคต พม่า เปิดประเทศมากขึ้น ยิ่งจะทำให้การค้าในกลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

สิ่งที่ตามมา ก็คือ การกระจายความเจริญจากเฉพาะในกรุงเทพฯ ออกไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกับการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และหากรัฐบาลสามารถลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงที่มีขนาดราง 1.4 เมตรได้ จะถือเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก เพราะสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีน

โครงการรถไฟความเร็วสูงคุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือ ดร.ศุภวุฒิ ตอบในข้อสงสัยนี้ว่า

“ในเชิงของค่าโดยสารผมมองว่าไม่คุ้มทุน แต่อยากถามกลับว่า ขสมก. มีกำไรหรือไม่ แล้วทำไมถึงยังทÌำกัน ก็เพราะมันมีประโยชน์ข้างเคียง เช่นเดียวกับรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ รู้ว่าจะขาดทุนแล้วทำไมถึงทำ ที่ทำก็เพราะจะช่วยแยกความแออัดจากกรุงเทพฯ ไปสู่รอบนอกเมือง เช่นเดียวกับรถไฟความเร็วสูง ซึ่งในแง่ค่าโดยสารอาจไม่คุ้ม แต่ผลประโยชน์ข้างเคียงมีสูงมาก”

ความเห็นของเขาก็คือ ไม่จำเป็นต้องลงทุนรถไฟที่มีความเร็วสูงมาก เพียงแค่ทำโครงการที่มีขนาดราง 1.4 เมตร ที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศอื่นในภูมิภาคเท่านั้น เพราะระบบรางของรถไฟไทยในปัจจุบันยังอยู่แค่ 1 เมตรซึ่งเป็นขนาดที่ไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคได้ โดยเฉพาะจีน ซึ่งได้พูดชัดว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาภาคใต้ของเขาก็คือ การลงทุนในระบบขนส่งโดยเฉพาะระบบราง และวางแผนจะสร้างรถไฟในประเทศลาวด้วย ดังนั้นประเทศไทยก็ควรทำระบบรางที่เชื่อมต่อได้

ดร.ศุภวุฒิ กล่าวถึง ภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าว่า การค้าระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงจะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นผู้ประกอบการไทยจึงควร “ยกระดับ” โดย “ผลิตสินค้า” ที่มีความ “ซับซ้อน” ให้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งไทยถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ และเกือบจะครบวงจรห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทว่าสินค้าที่ผลิตกลับเป็นชิ้นส่วนที่ไม่มีความซับซ้อน

ผู้ประกอบการไทยจึงควร “ยกระดับ” โดย “ผลิตสินค้า” ที่มีความ “ซับซ้อน” ให้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งไทยถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ และเกือบจะครบวงจรห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทว่าสินค้าที่ผลิตกลับเป็นชิ้นส่วนที่ไม่มีความซับซ้อน

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเองควรเร่งพัฒนา เพราะว่ามีความชำนาญและผลิตอย่างมีคุณภาพอยู่แล้ว ก็คือ อุตสาหกรรมอาหารเพียงแต่จากนี้ไปควรมุ่งเน้นการสร้าง “ภาพลักษณ์” ให้มากยิ่งขึ้น

ท่ามกลางโอกาสมากมาย ดร.ศุภวุฒิมองว่าในเวลานี้ภาคธุรกิจไทยก็มี “ปัจจัยเสี่ยง” ที่จะต้องเผชิญในช่วง 1-2 ปีนี้ นั่นคือ ทิศทาง “ดอกเบี้ยโลก” ที่มีแนวโน้ม “ขาขึ้น” เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้เตรียมจะลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณลง (QE Tapering)

“ต้นทุนทางการเงิน การออกตราสารหนี้ระยะยาวกระทบแน่ กระทบทั้งรัฐบาลและเอกชนจึงอยากให้ระมัดระวังเอาไว้ เพราะการระดมทุนผ่านตลาดบอนด์ (ตราสารหนี้) จะมีดอกเบี้ยที่แพงขึ้น”

“เมอร์ริลลินช์” พันธมิตรของบล.ภัทรประเมินว่า ภายในไตรมาส 3 ปี 2557 ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี อาจปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% จากปัจจุบันที่มีผลตอบแทนอยู่ที่ 2.8% หรือปรับขึ้นมาเกือบ 1% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มการปรับขึ้นที่สูงมาก เพราะขึ้นเฉลี่ยเดือนละเกือบๆ 0.1%

ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปัจจุบันมีผลตอบแทนอยู่ที่ 4% แต่จากค่าสถิติความสัมพันธ์ในอดีตกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ พบว่ามีความสัมพันธ์กันถึง 80% หมายความว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยในไตรมาส3 ปี 2557 มีโอกาสจะปรับขึ้นเป็น 5% ได้เช่นกันถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่น้อย สำหรับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เป็นหนี้อยู่ในเวลานี้

“ต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และมีผลต่อการบริโภคด้วย เพราะที่ผ่านมาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เมื่อต้นทุนตรงนี้เพิ่มขึ้น ก็ย่อมกระทบกับต้นทุนการบริโภคที่เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์ มักจะขึ้นลงในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล”

เรื่องนี้แม้ไม่ใช่ความเสี่ยงถึงขนาดที่ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับ “วิกฤติ” หรือความ “เปราะบาง” ทางเศรษฐกิจ แต่ก็ถือเป็น “ลมต้าน” หรือ Headwind ที่สำคัญ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น และนักธุรกิจไทยก็ควรต้องระวังด้วย

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-agenda/20140305/565761/ดร.ศุภวุฒิ-สายเชื้อ-:-มองการค้าโลก..โยกสู่ลุ่มแม่น้ำโขง.html

comment ส่วนตัว :
สรุปคร่าว ๆ จากบทความนี้
1. เทรนด์ในอนาคต : ภาคอุตสาหกรรมต้องยกระดับการผลิตไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น, อุตสาหกรรมอาหารต้องเน้นที่การสร้างภาพลักษณ์
2. เศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการค้าของไทย  ซึ่งไทยควรเร่งขยายความเจริญไปสู่พื้นที่ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน
3. ไทยจะต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้นของโลก

ปล.อย่าดึงเรื่องรถไฟความเร็วสูงมาเป็นประเด็นถกเถียงหลักในกระทู้นี้นะครับ เดี๋ยวจะเข้าการเมือง อมยิ้ม20
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่