ทุกเสาร์อาทิตย์จะต้องเคลียร์งาน หรือ งดออกนอกบ้านเพื่อละครญี่ปุ่นดีๆ เรื่องนี้ "ดวงใจพ่อ"
เราชอบละครญี่ปุ่นตรงที่สะท้อนสะเทือนอารมณ์ได้ถึงใจที่สุด มีสาระและแกนเรื่องที่ให้กำลังใจ ต่อสู้ เข้มแข็ง มองโลกในแง่ดี บางทีทำงานมาเหนื่อยๆ กลับมาบ้านเหมือนได้วิตามินทางใจหลายสิบขนานให้มีแรงคิด ทำ เริ่มต้นใหม่ในวันรุ่งขึ้นเสมอ
จะบอกว่า ละครเรื่องนี้มีหลายตอนที่คล้ายกับเรื่องของเรา ต่างกันที่ พ่อเราเสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี 2540 (จริงๆแล้วมีคนตั้งใจทำร้ายพ่อ) ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลซึ่งกันและกัน ตั้งแต่เราอายุแค่ 11 วันสุดท้ายที่จากกัน จำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ พ่อมีกำหนดต้องไปสัมมนาที่ชะอำ เค้าเดินวนไปวนมาตรงหน้าเรา ซึ่งเรากำลังรีดเสื้อพนักงานให้พ่อที่รอสวมอย่างใจลอย
ปกติไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พ่อจะไปสัมมนาต่างจังหวัด 2-3 วัน แต่เช้านั้น น้องสาวเราที่ตอนนั้นสิบขวบ เซ้าซี้พ่อว่า
"ขอไปด้วยได้มั้ย หนูจะไปๆๆๆ" ตัวเราเองก็ถามว่า "พ่อ ไม่ไปได้มั้ย นะพ่อนะ" สีหน้าพ่อไม่สนุกหรือมีแววตาขี้เล่นเหมือนเก่า แต่กลับหันมายิ้มให้เราบางๆ แล้วมีแสงตอนเช้ากระทบหน้าพ่ออ่อนq "เดี๋ยวพ่อเก็บปูลมมาฝาก ดูแลแม่ด้วยนะ" เราก็ไม่คิดอะไร แม่ที่ตอนนั้นขายส้มตำอยู่หน้าบ้าน (เสาร์ อาทิตย์ ตอนนั้นพ่อกับแม่เราขายส้มตำด้วย พร้อมกับงานประจำที่ทำจันทร์ถึงศุกร์) ก็แพคอาหารที่พ่อโปรดมากให้ไปกินบนรถ แล้วพ่อก็ให้มอไซค์รับจ้างมารับพ่อไป
มาถึงวันอาทิตย์ สี่โมงเย็น เรามานั่งรอหน้าบ้าน รอพ่อเรากลับบ้านตามกำหนดที่พ่อบอกไว้ เพื่อนที่ทำงานพ่อเดินผ่านไปคนแล้ว คนเล่า ทุกคนก็ตอบไม่เหมือนกันเลย ว่า "พ่อเราอยู่ไหน"
"เห็น มีคนบอกว่ามีคนเอารถกะบะมารับพ่อไปไหนไม่รู้ ที่ชะอำ"
" เมื่อคืนก็ไม่เห็นที่งานเลี้ยงนะ น้าไม่รู้"
" พ่อบอกน้าว่า จะไปเก็บปูลมมาฝาก น้าเห็นเค้าถือขวดน้ำไปที่หาด"
ทุกคำตอบที่ได้ เราเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่า พ่อคงไปกับเพื่อนด้วยความที่พ่อเป็นคนใจดี และมีเพื่อนเยอะ คงไปแวะที่ไหนสักแห่ง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มี ไม่รู้จะติดต่อยังไง รอกันต่อไปทั้งบ้านเลย
คืนนั้น เราออกมานอนนอกห้องนอนให้ใกล้ประตูหน้าบ้านเผื่อพ่อมาจะได้เปิดประตูได้รวดเร็ว จะกระโดดขี่คอหอมแก้มแล้วโหนพ่อให้สุดแรงที่กลับบ้านช้า จากนั้น กลางดึก เราได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านรัวๆ ดังมาก พร้อมกับเรียกชื่อเรา เสียงนี้เป็นเสียงของพ่อแน่นอน เราก็ปลุกย่าไปดู แต่เปิดออกไป ไม่เจอใคร มีแต่ความว่างเปล่า ย่าเราคิดว่าเราคงจะหูฝาด หรือ ละเมอ ก็ไม่ได้คิดอะไร
เช้าวันจันทร์ พวกเรานั่งรอพ่อตั้งแต่เช้า เพราะพ่อต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ Yamaha Mate 100 คันที่เก่ามาก และเราอายเพื่อนมากที่พ่อมีรถที่เหมือนเศษเหล็ก แถมยังมีเจ้าหมาตัวเบ้อเร่อ กระโดดขึ้นตะกร้าหน้ารถ ทั้งหมด 4 ชีวิต อัดปลากระป๋องกันไปส่งที่โรงเรียนทุกเช้า รอแล้วรออีก จนเราจะไปโรงเรียนและแม่ก็จะไปทำงานไม่ทัน พ่อก็ยังไม่มา แม่เราก็เลยตัดสินใจส่งเราและน้องขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รอพ่ออีกแล้ว
จันทร์ ผ่านไป................เงียบ
อังคาร ผ่านไป...............เงียบ แม่เริ่มกระวนกระวานโทรหาญาติๆ และตามไปที่ทำงานพ่อ
พุธ ผ่านไป..................เงียบ แม่ก็ยังคงตามหาพ่อและแจ้งความ
จนวันพฤหัส ช่วงบ่ายโมง เรากำลังเรียนพละ วอลเลย์บอลที่สนามโรงเรียน มีเพื่อนบ้าน มาบอกว่า พ่อตกน้ำ น่ากลัวมาก เราก็งง แต่ก็คิดว่า พ่ออาจจะพลาดตกน้ำคงแค่เจ็บ เรากลับเข้าไปในห้องเรียนปกติได้ซักพัก แม่ก็โผล่มาที่ห้องเรียน แล้วบอกว่า พ่อเสียแล้ว เราร้องไห้ ทรุดลงกับพื้นกอดขาแม่ร้องไห้เหมือนใจเราจะขาดไปเลยจริงๆ ส่วนแม่เราหลังจากบอกข่าวเรา แม่ก็เป็นลม แล้วต้องส่งเข้าห้องไอซียูปั๊มหัวใจอยู่นานมาก เป็นอย่างนี้อยู่สองวัน เพราะแม่เองก็มีโรคเบาหวาน ไม่แข็งแรง ตั้งแต่วันนั้น เราไม่เคยร้องไห้ให้แม่เห็นจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรามีเรื่องอะไร จะไม่บอกให้เค้ารู้ บอกเพื่อนหรือครูอาจารย์แทน หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลับมาถึงเรื่องละคร ตัวละครแสดงได้เข้าถึงอารมณ์มาก เราร้องไห้ทุกตอน และยังแอบคิดว่า แบบไหนเจ็บปวดกว่ากัน ระหว่าง คนที่รักจากไปกระทันหัน ไม่ได้ร่ำลา หรือ แบบในหนังที่เจ็บป่วย จากไปอย่างช้าๆ มีเวลาได้ดูแลกัน เราเชื่อว่า ไม่ว่าข้อไหนก็ไม่อยากให้เกิดทั้งนั้น
ฉากที่ทำให้เราร้องไห้เป็นเด็กสองขวบเลย คือ ตอนนี้พ่อพาลูกไปถ่ายรูปคู่ แต่ภาพที่สอง พ่อกลับไล่ลูกออกไปข้างนอกก่อน แล้วตัวเองมาถ่ายรูปเดี่ยวครึ่งตัว ขาวดำ เพื่อเก็บไว้ให้เป็นรูปตั้งที่หน้าศพตัวเอง ฉากนี้เหมือน dejavu ที่ก่อนพ่อเราจากไปไม่ถึงเดือน พ่อพาเรากับน้องไปร้านถ่ายรูปแล้วก็ถ่ายรูปครึ่งตัว ขาวดำ ของตัวเองมาเก็บไว้ แล้วเราก็ได้ใช้รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายของพ่อจริงๆ
ในเรื่องที่วัคคุง จะตั้งอกตั้งใจคนถั่วนัตโตะให้พ่อกินทุกเช้า เราเองก็เป็นคนมาเตรียมอาหารเช้ากับอาหารค่ำให้พ่อทุกวัน เพราะพ่อเราทำงานหนักมาก เป็นช่างเชื่อมเหล็กในโรงงาน เช้าเข้าแปด เย็นเลิกสี่ทุ่มทุกวัน เราก็จะจัดกับข้าวที่แบ่งไว้ พร้อมข้าวสวยแข็งๆ และช้อนสั้นที่พ่อชอบให้ทุกวัน ก่อนนอนพ่อก็จะมาหอม หยอกเรา น้อง และแม่ เหมือนเราเป็นเด็กเล็กๆ ทุกคืน------- หลังจากวันที่ 2 ก.พ 40 ไม่มีอีกแล้ว
เราต้องขอโทษที่อาจจะเผลอเข้ามาอ่านกันแล้วปรากฏว่าเป็นเรื่องดราม่าส่วนตัวของเรา เราแค่อัดอั้น แค่อยากระบาย เพราะตั้งแต่พ่อจากไป เราไม่เคยบอกความรู้สึกแบบนี้กับใคร อยากสดใส หัวเราะลั่นๆ ให้คนอื่นได้มีความสุข และเราสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทำให้แม่เสียใจหรือร้องไห้ จะพาแม่ไปเห็นโลกที่มันกว้างๆ เหมือนที่พ่อเคยพูดไว้ตลอด (แต่บ้านเราก็กลางๆ พ่อทำงานโรงงาน ส่วนแม่เป็นแม่บ้านทำความสะอาด ไม่มีสมบัติอะไร) ให้กินอย่างที่อยากกิน มีบ้านหลังใหม่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยอีกแล้ว และมีอาชีพการงานมั่นคง ไม่ให้ใครมาสบประมาทแม่เราได้อีก
ดีใจและอิจฉาเพื่อนทุกคนที่มีโอกาสได้ทำ ตอบแทนบุญคุณกับบุพการีที่ให้กำเนิดครบทั้งสองท่านนะคะ ดูแลกันและกันทุกวินาทีให้มีค่า เก็บเกี่ยวความสุขให้มากที่สุดค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตั้งใจนั่งดูละครญี่ปุ่น"ดวงใจพ่อ"เพื่อจะได้ร้องไห้ คิดถึงพ่อมาก แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเรายังร้องไห้คิดถึงพ่อเสมอ
เราชอบละครญี่ปุ่นตรงที่สะท้อนสะเทือนอารมณ์ได้ถึงใจที่สุด มีสาระและแกนเรื่องที่ให้กำลังใจ ต่อสู้ เข้มแข็ง มองโลกในแง่ดี บางทีทำงานมาเหนื่อยๆ กลับมาบ้านเหมือนได้วิตามินทางใจหลายสิบขนานให้มีแรงคิด ทำ เริ่มต้นใหม่ในวันรุ่งขึ้นเสมอ
จะบอกว่า ละครเรื่องนี้มีหลายตอนที่คล้ายกับเรื่องของเรา ต่างกันที่ พ่อเราเสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี 2540 (จริงๆแล้วมีคนตั้งใจทำร้ายพ่อ) ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลซึ่งกันและกัน ตั้งแต่เราอายุแค่ 11 วันสุดท้ายที่จากกัน จำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ พ่อมีกำหนดต้องไปสัมมนาที่ชะอำ เค้าเดินวนไปวนมาตรงหน้าเรา ซึ่งเรากำลังรีดเสื้อพนักงานให้พ่อที่รอสวมอย่างใจลอย
ปกติไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พ่อจะไปสัมมนาต่างจังหวัด 2-3 วัน แต่เช้านั้น น้องสาวเราที่ตอนนั้นสิบขวบ เซ้าซี้พ่อว่า
"ขอไปด้วยได้มั้ย หนูจะไปๆๆๆ" ตัวเราเองก็ถามว่า "พ่อ ไม่ไปได้มั้ย นะพ่อนะ" สีหน้าพ่อไม่สนุกหรือมีแววตาขี้เล่นเหมือนเก่า แต่กลับหันมายิ้มให้เราบางๆ แล้วมีแสงตอนเช้ากระทบหน้าพ่ออ่อนq "เดี๋ยวพ่อเก็บปูลมมาฝาก ดูแลแม่ด้วยนะ" เราก็ไม่คิดอะไร แม่ที่ตอนนั้นขายส้มตำอยู่หน้าบ้าน (เสาร์ อาทิตย์ ตอนนั้นพ่อกับแม่เราขายส้มตำด้วย พร้อมกับงานประจำที่ทำจันทร์ถึงศุกร์) ก็แพคอาหารที่พ่อโปรดมากให้ไปกินบนรถ แล้วพ่อก็ให้มอไซค์รับจ้างมารับพ่อไป
มาถึงวันอาทิตย์ สี่โมงเย็น เรามานั่งรอหน้าบ้าน รอพ่อเรากลับบ้านตามกำหนดที่พ่อบอกไว้ เพื่อนที่ทำงานพ่อเดินผ่านไปคนแล้ว คนเล่า ทุกคนก็ตอบไม่เหมือนกันเลย ว่า "พ่อเราอยู่ไหน"
"เห็น มีคนบอกว่ามีคนเอารถกะบะมารับพ่อไปไหนไม่รู้ ที่ชะอำ"
" เมื่อคืนก็ไม่เห็นที่งานเลี้ยงนะ น้าไม่รู้"
" พ่อบอกน้าว่า จะไปเก็บปูลมมาฝาก น้าเห็นเค้าถือขวดน้ำไปที่หาด"
ทุกคำตอบที่ได้ เราเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่า พ่อคงไปกับเพื่อนด้วยความที่พ่อเป็นคนใจดี และมีเพื่อนเยอะ คงไปแวะที่ไหนสักแห่ง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มี ไม่รู้จะติดต่อยังไง รอกันต่อไปทั้งบ้านเลย
คืนนั้น เราออกมานอนนอกห้องนอนให้ใกล้ประตูหน้าบ้านเผื่อพ่อมาจะได้เปิดประตูได้รวดเร็ว จะกระโดดขี่คอหอมแก้มแล้วโหนพ่อให้สุดแรงที่กลับบ้านช้า จากนั้น กลางดึก เราได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านรัวๆ ดังมาก พร้อมกับเรียกชื่อเรา เสียงนี้เป็นเสียงของพ่อแน่นอน เราก็ปลุกย่าไปดู แต่เปิดออกไป ไม่เจอใคร มีแต่ความว่างเปล่า ย่าเราคิดว่าเราคงจะหูฝาด หรือ ละเมอ ก็ไม่ได้คิดอะไร
เช้าวันจันทร์ พวกเรานั่งรอพ่อตั้งแต่เช้า เพราะพ่อต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ Yamaha Mate 100 คันที่เก่ามาก และเราอายเพื่อนมากที่พ่อมีรถที่เหมือนเศษเหล็ก แถมยังมีเจ้าหมาตัวเบ้อเร่อ กระโดดขึ้นตะกร้าหน้ารถ ทั้งหมด 4 ชีวิต อัดปลากระป๋องกันไปส่งที่โรงเรียนทุกเช้า รอแล้วรออีก จนเราจะไปโรงเรียนและแม่ก็จะไปทำงานไม่ทัน พ่อก็ยังไม่มา แม่เราก็เลยตัดสินใจส่งเราและน้องขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รอพ่ออีกแล้ว
จันทร์ ผ่านไป................เงียบ
อังคาร ผ่านไป...............เงียบ แม่เริ่มกระวนกระวานโทรหาญาติๆ และตามไปที่ทำงานพ่อ
พุธ ผ่านไป..................เงียบ แม่ก็ยังคงตามหาพ่อและแจ้งความ
จนวันพฤหัส ช่วงบ่ายโมง เรากำลังเรียนพละ วอลเลย์บอลที่สนามโรงเรียน มีเพื่อนบ้าน มาบอกว่า พ่อตกน้ำ น่ากลัวมาก เราก็งง แต่ก็คิดว่า พ่ออาจจะพลาดตกน้ำคงแค่เจ็บ เรากลับเข้าไปในห้องเรียนปกติได้ซักพัก แม่ก็โผล่มาที่ห้องเรียน แล้วบอกว่า พ่อเสียแล้ว เราร้องไห้ ทรุดลงกับพื้นกอดขาแม่ร้องไห้เหมือนใจเราจะขาดไปเลยจริงๆ ส่วนแม่เราหลังจากบอกข่าวเรา แม่ก็เป็นลม แล้วต้องส่งเข้าห้องไอซียูปั๊มหัวใจอยู่นานมาก เป็นอย่างนี้อยู่สองวัน เพราะแม่เองก็มีโรคเบาหวาน ไม่แข็งแรง ตั้งแต่วันนั้น เราไม่เคยร้องไห้ให้แม่เห็นจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรามีเรื่องอะไร จะไม่บอกให้เค้ารู้ บอกเพื่อนหรือครูอาจารย์แทน หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลับมาถึงเรื่องละคร ตัวละครแสดงได้เข้าถึงอารมณ์มาก เราร้องไห้ทุกตอน และยังแอบคิดว่า แบบไหนเจ็บปวดกว่ากัน ระหว่าง คนที่รักจากไปกระทันหัน ไม่ได้ร่ำลา หรือ แบบในหนังที่เจ็บป่วย จากไปอย่างช้าๆ มีเวลาได้ดูแลกัน เราเชื่อว่า ไม่ว่าข้อไหนก็ไม่อยากให้เกิดทั้งนั้น
ฉากที่ทำให้เราร้องไห้เป็นเด็กสองขวบเลย คือ ตอนนี้พ่อพาลูกไปถ่ายรูปคู่ แต่ภาพที่สอง พ่อกลับไล่ลูกออกไปข้างนอกก่อน แล้วตัวเองมาถ่ายรูปเดี่ยวครึ่งตัว ขาวดำ เพื่อเก็บไว้ให้เป็นรูปตั้งที่หน้าศพตัวเอง ฉากนี้เหมือน dejavu ที่ก่อนพ่อเราจากไปไม่ถึงเดือน พ่อพาเรากับน้องไปร้านถ่ายรูปแล้วก็ถ่ายรูปครึ่งตัว ขาวดำ ของตัวเองมาเก็บไว้ แล้วเราก็ได้ใช้รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายของพ่อจริงๆ
ในเรื่องที่วัคคุง จะตั้งอกตั้งใจคนถั่วนัตโตะให้พ่อกินทุกเช้า เราเองก็เป็นคนมาเตรียมอาหารเช้ากับอาหารค่ำให้พ่อทุกวัน เพราะพ่อเราทำงานหนักมาก เป็นช่างเชื่อมเหล็กในโรงงาน เช้าเข้าแปด เย็นเลิกสี่ทุ่มทุกวัน เราก็จะจัดกับข้าวที่แบ่งไว้ พร้อมข้าวสวยแข็งๆ และช้อนสั้นที่พ่อชอบให้ทุกวัน ก่อนนอนพ่อก็จะมาหอม หยอกเรา น้อง และแม่ เหมือนเราเป็นเด็กเล็กๆ ทุกคืน------- หลังจากวันที่ 2 ก.พ 40 ไม่มีอีกแล้ว
เราต้องขอโทษที่อาจจะเผลอเข้ามาอ่านกันแล้วปรากฏว่าเป็นเรื่องดราม่าส่วนตัวของเรา เราแค่อัดอั้น แค่อยากระบาย เพราะตั้งแต่พ่อจากไป เราไม่เคยบอกความรู้สึกแบบนี้กับใคร อยากสดใส หัวเราะลั่นๆ ให้คนอื่นได้มีความสุข และเราสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทำให้แม่เสียใจหรือร้องไห้ จะพาแม่ไปเห็นโลกที่มันกว้างๆ เหมือนที่พ่อเคยพูดไว้ตลอด (แต่บ้านเราก็กลางๆ พ่อทำงานโรงงาน ส่วนแม่เป็นแม่บ้านทำความสะอาด ไม่มีสมบัติอะไร) ให้กินอย่างที่อยากกิน มีบ้านหลังใหม่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยอีกแล้ว และมีอาชีพการงานมั่นคง ไม่ให้ใครมาสบประมาทแม่เราได้อีก
ดีใจและอิจฉาเพื่อนทุกคนที่มีโอกาสได้ทำ ตอบแทนบุญคุณกับบุพการีที่ให้กำเนิดครบทั้งสองท่านนะคะ ดูแลกันและกันทุกวินาทีให้มีค่า เก็บเกี่ยวความสุขให้มากที่สุดค่ะ
ขอบคุณค่ะ