ข้อความตามนี้นะครับ
ไม่ทราบเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร มาคอมเมนต์กันครับ
เพื่อความเป็นประโยชน์ของข้อมูล ตอนคอมเมนต์ถ้าบอกว่าแสดงความเห็นในฐานะน.ศ. อ. หรือคนนอก
ก็จะขอบคุณมากเลยครับ
แต่ถ้ามองว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวไม่อยากเปิดเผยก็ไม่เป็นไรนะครับ
ท่อนแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ว่าด้วย “ดร. ผศ. รศ. อาจม อาจารย์”
14 ตุลาคม 2551
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ผมได้อ่านบทความเรื่อง “หอกข้างแคร่รีเทิร์น: “ด็อกเตอร์” เทวดารุ่นใหม่ในสังคมการเมืองไทย” * โดย “ดร.หอกหัก” แล้ว นับเป็นปฏิกิริยาที่วิพากษ์พวก “ดอกเตอร์” อย่างรุนแรง ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาแบ่งปันแบบ “ฟังความรอบข้าง” กันบ้าง เพื่อให้เกิดบรรยากาศ สังคมอุดมปัญญา แต่อาจโดน “จวก” เข้าบ้าง แต่ไม่เป็นไรครับ ยินดีรับฟังและยินดีเป็นกระสอบทรายให้ระบายเพื่อผ่อนคลายครับ
ไม่ใช่ความผิดของดอกเตอร์หรอก
คนที่เรียกตัวเองว่าดอกเตอร์นั้น แสดงว่าเขาอยากยกหางตัวเอง เบื้องต้นเราก็ควรอนุโมทนาว่าเขาอุตสาหะร่ำเรียนมา เราจะได้สบายใจ ผมรู้จักอาจารย์อยู่คนหนึ่ง ท่านเป็นคนไม่ถือตัว แต่ถ้าเราจะให้เกียรติท่าน เราอาจเขียนคำนำหน้าท่านได้ยาวมาก เช่น “ร.ต.อ. รศ. ดร. ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์” เป็นต้น
การเรียกตัวเองว่าดอกเตอร์ย่อมทำให้บางคนหมั่นไส้ ถือเป็นบาปเคราะห์ที่หลีกเลี่ยงได้ยากจากผลของการยกหางตัวเอง และก็เป็นความร้อนรุ่มในอกของคนที่อิจฉาหรือหมั่นไส้คนอื่นเองเช่นกัน
สำหรับคนขี้หมั่นไส้นั้น ผมเชื่อว่ามีอยู่มากพอสมควร บางคนก็อาจเสียดายที่ตนเองไม่ได้จบดอกเตอร์ บางคนก็อาจคิดหรือมั่นใจว่าตนเก่งกว่าดอกเตอร์ ในโลกแห่งความเป็นจริง เชื่อว่ามีคนขี้อิจฉาอยู่พอสมควรเช่นกัน
บางคนชอบเรียกตัวเองว่าดอกเตอร์หรืออาจารย์กับทุกคนที่สนทนาด้วย ข้อนี้อาจจะยังความหมั่นไส้ให้กับผู้คนได้มากพอดู เราอย่าไปหมั่นไส้เลยครับ พระพยอมเคยบอกว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่”
ผมมีข้อแนะนำผู้ที่ไม่ชอบที่จะเห็นคนอื่นยกหางตัวเอง กล่าวคือถ้าพบคนเรียกตัวเองว่าดอกเตอร์ เราก็อาจตอบโต้เขาโดยเรียกขานเขากลับไปว่า “คุณ” แทน ให้เขารู้ว่าเราไม่ได้สนใจการเป็นดอกเตอร์ของเขา ในสังคมอารยะ เราไม่ยกย่องเขาได้ แต่เราไปหลู่เกียรติ เช่น เรียกเขาว่าไอ้หรืออีคงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเรายังอาจเออออเรียกขานตามความประสงค์ของเขาเพื่อเอาบุญก็ยังได้ การยกย่องคนมันไม่เสียหายนะครับ
ดอกเตอร์กิ๊กก๊อกกับดอกเตอร์ชั่ว
อย่างไรก็ตามบางคนก็อาจได้ดอกเตอร์มาจากการรับแจกแบบกิตติมศักดิ์ หรือเป็นดอกเตอร์ห้องแถวจริง ๆ ยิ่งในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาจำนวนมากผลิตดอกเตอร์แบบไร้คุณภาพออกมามากมาย จึงยิ่งทำให้ดอกเตอร์ดูด้อยค่าลงจริง ๆ
ปัญหาดอกเตอร์กิ๊กก๊อกก็ยังไม่ร้ายเท่าการมีดอกเตอร์แท้ ๆ จากมหาวิทยาลัยชั้นยอดของโลกหลายคน ทำตัวเป็น “สุนัขรับใช้” ทางการเมือง เพราะยิ่งทำให้ความเป็นดอกเตอร์ด้อยลง ดอกเตอร์หรือนักวิชาการพวกนี้ “พายเรือให้โจรนั่ง” หรืออาจหนักหนาขนาด “ให้โจรพายเรือให้ตนนั่ง” (ประสบความสำเร็จโดยไม่เลือกวิธีที่ใช้)
บางคนอาจกลัวว่า คำพูดที่เป็นพิษของดอกเตอร์ชั่ว ๆ อาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อตามคุณวุฒิ ข้อนี้เราพึงเชื่อมั่นในวิจารณญาณของประชาชนว่าเขาสามารถแยกแยะความผิดถูกเองได้ และแม้เขาจะแยกแยะไม่ได้ในช่วงต้น ก็พึงให้เวลาประชาชนได้เรียนรู้
โดยนัยนี้ เราจะต่อกรกับดอกเตอร์ ดอกเตอร์ชั่ว ดอกเตอร์ต่ำชั้น เราก็ยิ่งต้องตอบโต้ที่ประเด็นสาระเป็นสำคัญ เราควรยกระดับจิตใจให้สูงด้วยการตอบโต้กันตามเหตุผล ให้เห็นว่าดอกเตอร์ผิดอย่างไร ไม่ใช่ไปตอบโต้หรือหมั่นไส้เขาในเรื่องความเป็นดอกเตอร
โลกของเปลือกนอก
ในโลกนี้ เรามักพยายามใช้เปลือกเพราะเป็นอาภรณ์ ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการปกปิดความอุจจาด แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นอารยธรรม ซึ่งรวมความไปถึงการแสดงสถานะ รสนิยม การโอ้อวด เป็นต้น
ผมเชื่อว่าความหมั่นไส้อาจารย์มหาวิทยาลัยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องส่วนบุคคลคือ ความหมั่นไส้-อิจฉา แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเรื่องหลักการที่เป็นผลสะท้อนจากการที่สถานะของคนกลุ่มนี้สูงเกินจริง อาจารย์พวกนี้อยู่กันอย่างสบาย ๆ แถมยัง “ได้ทั้งเงิน ทั้งกล่อง” แถมบางทียังอาจ “ได้เด็ก” อีกด้วย ข้อนี้ผิดกับในสังคมตะวันตกที่เขาคงไม่ได้ยกหางอาจารย์เท่านี้
ปฏิกิริยาต่อกรณีนี้จึงปรากฏเป็นคำค่อนแคะอาจารย์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ นานา เช่น ใช้คำว่า “อาจม” แทน “อาจารย์” “ผศ.” ย่อมาจาก “ผัวนักศึกษา” “รศ.” ย่อมาจาก “รอเสียบ” หรือ “ศ.” หมายถึง “เสียบแล้ว” เป็นต้น ในเชิงหลักการ เราควรลดการยกย่องสถานะพวกนี้ลงบ้าง โดยเฉพาะที่กร่าง ๆ ไม่กี่สิบคนจากจำนวนอาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ 50,000 คน
ดูกันที่ผลงานดีกว่า
เป็นเวลานับร้อยปีมาแล้ว ที่ประเทศไทยส่งคนไปเรียนต่อยังสถาบันชั้นนำในต่างประเทศโดยเฉพาะที่จบดอกเตอร์ พวกนี้พอร่ำเรียนจบ ก็มักกลับมาใหญ่ในทันที จึงกลายเป็นคน “กร่างแต่กลวง” เพราะขาดความรู้จริงในภาคปฏิบัติ ไม่เคยฝึกงาน ไม่ค่อยพัฒนาความรู้ตนเองหลังจากจบการศึกษาแล้ว ภาวะ “เน่าใน” จึงเกิดขึ้นกับนักวิชาการไทย
ในภาคปฏิบัติ สิ่งที่จะพอใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของดอกเตอร์ก็คือ การพิจารณาดูว่าสิ่งที่พูดนั้นมีเหตุผลเพียงใด มีข้อมูลประกอบเพียงใด มีการศึกษามาดีเพียงใด หรือเป็นพวกแสดงความเห็นได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องศึกษาวิจัย
ความรู้จริงต้องเกิดจากการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงยืมจมูกคนอื่นหายใจหรือยืนอยู่บนหอคอยงาช้าง คำพูดที่ดอกเตอร์เทียม ๆ แสดงออกดูได้ไม่ยากเลย ชาวบ้านก็รู้ แต่อาจไม่ได้พูดเท่านั้น
เราไม่พึงไปหมั่นไส้พวกดอกเตอร์โดยเฉพาะนักวิชาการชั่วหรือกร่างแต่กลวงเหล่านี้หรอก ลำพังความกระหายในการมี “ฟอร์ม” ให้สังคมยอมรับตนเอง ก็เป็นบาปเคราะห์หลอกหลอนตัวเขาเองอย่างแสนสาหัสตลอดเวลาอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญก็คือ เราต้องอภิปรายกันด้วยการยึดหลักการ หลักเหตุผล เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์สังคมอุดมปัญญา ถ้าไม่มีหลักก็เป็นสังคมป่าเถื่อน
* โปรดอ่านได้จาก http://www.prachatai.com/05web/th/home/13819
หมายเหตุ:
ขออนุญาตเอาบทความของ “แดง ไบเล่” ที่เขียนเรื่อง “สถาบันอาจารย์มหาวิทยาลัย” เมื่อราวปี 2525 มากำนัลแด่ทุกท่านในที่นี้ด้วยครับ
ในเมืองไทยเรานั้น มีการกล่าวขวัญถึงสถาบันต่างๆ แทบจะหมดทุกสถาบันแล้วตั้งแต่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย เผด็จการ ทหารพลเรือน ข้าราชการ นายทุน กรรมกร นักธุรกิจ ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ นักหนังสือพิมพ์ นักเรียน นักศึกษา นักการเมือง ฯลฯ ยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีใครแตะต้องกันนัก นั่นคือ อาจารย์มหาวิทยาลัย
ข้อความยาวเกิน ลงทีเดียวไม่ได้ อ่านท่อนที่สองต่อได้ในความเห็นที่ 1 นะครับ
ไปอ่านเจอข้อความนี้มาในอินเตอร์เน็ต อยากถามอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักศึกษาว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรนะครับ
ไม่ทราบเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร มาคอมเมนต์กันครับ
เพื่อความเป็นประโยชน์ของข้อมูล ตอนคอมเมนต์ถ้าบอกว่าแสดงความเห็นในฐานะน.ศ. อ. หรือคนนอก
ก็จะขอบคุณมากเลยครับ
แต่ถ้ามองว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวไม่อยากเปิดเผยก็ไม่เป็นไรนะครับ
ท่อนแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข้อความยาวเกิน ลงทีเดียวไม่ได้ อ่านท่อนที่สองต่อได้ในความเห็นที่ 1 นะครับ