กฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) กับความรักและการใช้ชีวิต

เท่าที่หาข้อมูลมา พอจะสรุปในความเข้าใจของตัวเองง่ายๆ ดังนี้ค่ะ (บางบทความใน spoil ขออนุญาติคัดลอกมานะคะ) เผื่อจะเป็นกำลังใจให้กับใครที่กำลังหาคำตอบให้ชีวิตได้บ้าง ใครมีความคิดเห็นยังไงแชร์กันได้เลยค่ะ

1. สิ่งใดก็ตามที่คุณคิดถึงอยู่เสมอและมีความเชื่อมั่น จะถูกดึงดูดเข้าหาคุณเสมอ ฉะนั้นควรนึกถึงและเชื่อมั่นในแง่บวก อย่าวิตกกังวลหรือนึกถึงแต่สิ่งเลวร้าย หรือความล้มเหลว ถ้ากำลังนึกถึงเรื่องไม่ดีให้ตั้งสติ ปล่อยวาง อย่าวิตกกังวล กำหนดจิตเราให้ได้ เพราะคนที่วิตกกังวลจะตัดสินใจอะไรไม่ถูก  และมันจะเคว้งคว้างหลงทางไปหมด ให้คิดว่าเราปรารถนามันมาก เราคาดหวัง และมองเห็นภาพตัวเองไขว่คว้าความสำเร็จนั้น ให้นึกภาพว่า เราได้มันมาแล้วและเรากำลังมีความสุขกับมันอยู่ จินตนาการหรือความคิดใดๆ ที่จะทำให้เรามีความสุขมโนให้หลุดโลกไปเลยก็ได้ค่ะ ยังไงมันก็อยู่ในหัวในความคิดของเราเนี่ยแหละ ไม่มีใครว่าบ้าหรอก กำหนดจิต กำหนดความคิดตัวเองให้ได้ เหมือนที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกว่าวไว้ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (Imagination is more important than knowledge) จงเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยเราก็มีความฝันเล็กๆ ในหัว และวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น มันจะสำเร็จ ให้คิดแบบนี้เรื่อยๆ อย่าไปท้อ อย่าคิดในเชิงลบที่ตรงกันข้าม ให้คิดแบบนี้ทุกวันเหมือนเป็นการกระตุ้นจิตใต้สำนึก หรือสะกดจิตตัวเองให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะทำในสิ่งที่เราฝันและให้ได้มาซึ่งความสุข

2. เกลียดอะไรได้สิ่งนั้น ให้เลิกเกลียดและเปลี่ยนซะ จิตใต้สำนึกเป็นพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของมนุษย์ การที่เราเกลียดคนประเภทไหนก็มักจะดึงดูดเหนี่ยวรั้งคนแบบนั้นเข้ามาในชีวิต เพราะจิตใจเรามัวแต่วนเวียนจดจ่ออยู่บนความเกลียดชังนั้น (เกลียดคนแบบไหนก็ได้คนแบบนั้น จขกท.เคยเกลียดคนหล่อมาก จริงๆค่ะ แล้วยิ่งเกลียดยิ่งเจอ) เพราะฉะนั้นให้เราปล่อยวาง เลิกเกลียด (ความเกลียดเป็นราคะที่แรงกล้าและน่ากลัวมาก ทิ้งมันไปซะ) และเปลี่ยนมานึกถึงเสมอว่า เราชอบคนแบบไหน หลงไหลคนแบบไหนแทน (ความรักมีพลังงานแรงกล้ามหาศาลไม่แพ้ความเกลียดค่ะ อยู่ที่เราว่าจะเลือกแบกอะไรไว้)

3. ตั้งใจฟังเสียงจากข้างใน เมื่อจิตและความคิดของคุณมีแต่เรื่องที่ดี พลังงานบวกมากกว่าพลังงานลบ สมองคุณจะปลอดโปร่งและหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ให้คุณเริ่มตั้งใจฟังเสียงจากภายในแล้วลงมือทำตามสัญชาติญาณ (ต้องบวกนะ) follow your intuition, follow your dreams เสียงนั้นอาจนำคุณไปยังที่ๆ หนึ่งเพื่อที่คุณจะได้พบกับสิ่งๆ หนึ่งที่คุณอาจกำลังค้นหา หรือคนๆ หนึ่งตามที่ใจคุณปรารถนาก็ได้

เคล็ดลับในการคิดบวก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

กฎแห่งการดึงดูด เพื่อดึงดูดคนรัก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ กฎแห่งจักรวาล ในการดึงดูดความรักแบบที่เราต้องการเข้ามาในชีวิต มีพื้นฐานมาจากการมองเห็นค่าในตัวเองอย่างแท้จริง เป็นการนับถือตัวเราและชีวิตของเราเอง เมื่อหัวใจของเราเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง ก็จะเกิดความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยนต่อผู้อื่น จากนั้นจักรวาลก็พร้อมที่จะส่งความรักในแบบเดียวกันกลับมาให้เรา ยิ่งเราสามารถปลดปล่อยตัวเราให้เป็นอิสระได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งรับรู้ถึงความรักมากมายที่อยู่รอบตัวเรามากขึ้นเท่านั้น

ถ้าคุณต้องการดึงดูดความสัมพันธ์ในรูปบบใดก็ตาม ต้องแน่ใจว่าทั้งความคิด คำพูด การกระทำ และสภาพแวดล้อมของคุณไม่เป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งกับความปรารถนาของคุณ หน้าที่ของคุณก็คือรับผิดชอบตัวคุณเอง ถ้าคุณไม่เติมตัวเองให้เต็มก่อน คุณก็ไม่มีอะไรที่จะให้คนอื่น เวลาที่คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง คุณกำลังปิดกั้นความรักและกำลังดึงดูดผู้คนหรือสถานการณ์ที่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ ปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นด้วยการมุ่งมองแต่ข้อดีของอีกฝ่าย ไม่ใช่ข้อเสีย เมื่อคุณมุ่งคิดถึงแต่ข้อดีเหล่านั้น คุณก็จะได้พบข้อดีเพิ่มขึ้น

ความลับปรับชีวิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เก็บมาฝาก...อีกนิด!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
หลักการที่สำคัญของกฎแห่งแรงดึงดูด คือ “พลังงานที่เหมือนกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกัน”
คุณต้องเข้าใจว่าไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณคิด คุณจะดึงดูดมันเข้ามาในชีวิตคุณเสมอ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งไหนในจักรวาลนี้ กฎนี้ทำงานเสมอ มันแป็นกฏฟิสิกส์ อนุภาคของความคิดสร้างปรากฏการณ์ที่เป็นจริงในชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อคุณรับรู้ถึงกฎนี้และการทำงานของมันในชีวิตคุณ คุณจะควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
พบเห็นข้อความแบบนี้มาบ่อยมากครับ
ตามหนังสือสูตรลับความสำเร็จต่างๆนาๆ
ในร้านหนังสือหรือบทความ ( กฏแรงดึงดูดอะไรนั่น )

โดยส่วนตัวอ่านแล้ว อยากจะเชื่อนะครับ
แต่ผมถามตัวเองแล้ว ผมเชื่อไม่ลง เพราะมันมีเหตุผลอะไรรองรับ ?
ความเกี่ยวข้องโยงกันในแง่ของเหตุผล
( อย่าหลงประเด็นนะครับ ผมไม่เชื่อในเรื่องกฏแรงดึงดูด
แต่ผมเชื่อใน I Think Therefore I Am )

ผมว่าการคิดบวกทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น
แต่ผมไม่คิดว่ามันจะ ดึงดูดด้วยกฏแรงจักรวาล
อะไรนี้ที่มันลอยๆมาก เหมือนมีพลังลึกลับ
ที่มันพิสูจน์ไม่ได้ อะไรคือกฏจักรวาล ?
เรื่องของจักรวาลคือ Particle Physics อย่างเดียวครับ

เอาใจไหมครับ มีปัจจัยอะไรที่ส่งผล ในเชิงประจักษ และชัดเจนตรงตัว
เหมือนกับว่า ex. นิโกรลอยด วิ่งเร็ว เพราะมีกล้ามเนื้อโดยเผ่าพันที่แข็งแรง
ไม่ใช่ นิโกรลอยด วิ่งเร็ว เพราะเป็นเผ่าพันูศักดิศิทแห่งพระเจ้า ( กล่าวขึ้นมาลอยๆ
โดยไม่มีเหตุผลที่พิสูจนได้รองรับเหมือน กฏแห่งจักรวาล )

นี่ผมไม่ได้พูดถึงว่า มันได้ผลหรือเปล่า เป็นจริงไหม ( อาจจะจริงก็ได้ )
แต่ตามหลักแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยครับ

ประเด็นนี้พูดได้อีกมาก แต่แค่นี้ก่อน
ความคิดเห็นที่ 14
"คนที่ฝังใจอยู่กับด้านมืดของชีวิต จมจ่อมอยู่กับความทุกข์ระทมหรือความผิดหวังในอดีต คือคนที่อธิษฐานขอความทุกข์และความผิดหวังเช่นเดิมนั้นในอนาคต หากคุณไม่ยอมมองเห็นอย่างอื่นในอนาคตนอกจากเคราะห์หามยามร้ายและชีวิตแบบเดิมๆ ที่เคยได้รับ คุณก็กำลังอธิษฐานขอโชคร้าย และจะได้รับโชคร้ายอย่างแน่นอน"

จงสลัดปัญหาทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม คุณต้องทำเพื่อตัวคุณเอง ถ้าคุณมัวผูกจิตคิดแค้นหรือโทษใครที่ทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ ในอดีต (หรือแม้แต่การเฝ้าโทษตัวคุณเอง) คุณก็ทำร้ายได้แค่ตัวคุณเองเท่านั้น

คุณเป็นคนเดียวที่สร้างสรรชีวิตที่คุณสมควรได้รับได้ ขณะที่คุณตั้งใจมุ่งคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คุณต้องการ กฎแห่งการดึงดูดก็จะตอบสนอง
ความคิดเห็นที่ 8
ขอเล่าประสบการณ์ที่พอจะนึกภาพออกนะคะ ปกติ จขกท.ก็เป็นคนมองโลกในแง่บวกอยู่แล้วนะคะ เวลาที่คิดจะทำอะไรเราจะมีภาพความสำเร็จอยู่ที่ปลายทางเบื้องหน้าเสมอ ไม่เคยคิดว่ามันจะล้มเหลวหรือไม่เคยระวังเรื่องอุปสรรคเลย อาศัยมองโลกสวย วาดภาพฝันสวยงามอย่างเดียวค่ะ บอกตัวเองบ่อยๆว่า ก็ฉันสมควรได้รับสิ่งนี้ แต่ก็จะแอบอิงสัญญาณจากสัญชาติญาณตัวเองด้วยค่ะ

เช่นตอนที่ทำงานที่เก่า ด้วยตำแหน่งของเรา คือ กรรมการผู้จัดการบริษัทนำเข้าแห่งหนึ่งนะคะ ถามว่ามีประสบการณ์งานผู้บริหารไม๊ ไม่มีเลยค่ะ แต่ด้วยตำแหน่งที่ได้มามันใหญ่คับบริษัทฯ เรามั่นใจว่าเราเก่งพอ เราทำได้ เนี่ยแหละภาพที่เคยใฝ่ฝันไว้ไง ที่เราเคยเห็นเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นผู้บริหารตั้งแต่อายุยังน้อย สวยด้วย เก่งด้วย (มโนเข้าข้างตัวเองอ่ะค่ะ ทำไปเหอะเนอะ ไม่เดือดร้อนใคร) ได้นั่งบนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ มีหน้าที่เซ็นต์เอกสารพร้อมประทับตราบริษัทฯ อูย เท่ห์มากอ่ะ (แต่จริงๆ ทำตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ บุกเบิกทุกแผนกเลยค่ะ) บริหารงานมาได้สัก 6 เดือน ก็มีความคิดว่า เราทำอย่างงี้ต่อไปคงไปไม่ถึงไหนแน่ๆ เราอยากได้ Distributor ที่ใหญ่และสามารถกระจายสินค้าให้เราได้ทั่วประเทศ (ลองนึกภาพสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าที่จะต้องกระจายให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วทุกภาคนะคะ ยังไม่นับอุปสรรคอย่างอื่น อันนี้ไม่พูดถึงค่ะ เพราะไม่ค่อยมีในหัว) เราก็เสนอแนวคิดนี้ (ซึ่งคิดเอาไว้ใหญ่เว่อร์ ทั้งที่บริษัทฯ เพิ่งตั้ง สินค้าเพิ่งเข้า และยังไม่เป็นที่รู้จักเลย) ให้กับนักลงทุนที่เป็นเจ้าของบริษัทฯ ซึ่งก็คือ boss ของเรานั่นเอง โดยเรามีความมุ่งมั่นว่ามันต้องทำได้สิ มันทำได้แน่ๆ แนวทางนี้แหละถูกต้องและมั่นคงที่สุดแล้ว เรามองภาพบริษัทเติบโตออกเป็นฉากๆ เลยค่ะ แล้วก็เหมือนมีปาฏิหารย์ เจ้านายจากที่สั่งให้เราขายๆๆๆ อย่างเดียวไม่ยอมรับแนวบริหารของเรา ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับ ผู้บริหารใหญ่โตของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์หนึ่งที่เป็นผู้นำตลาดด้านวัสดุก่อสร้าง (ปีนี้ครบรอบ 100 ปี) หน้าที่ของเรา ณ ตอนนั้นคือ ทำยังไงก็ได้ให้ CEO คนนี้ยอมรับสินค้าที่เรานำเข้ามาให้เป็นหนึ่งในสินค้าของเขาที่จะกระจายและทำการตลาดให้เราให้ได้ ประสบการณ์ผู้บริหารอ่อนหัดที่เพิ่งทำงานมาได้แค่ปีกว่าๆ เรานั่งพรีเซนต์งานต่อหน้าคนใหญ่คนโตในบริษัทที่มีพนักงานทั่วโลกกว่า 6 หมื่นคน แล้วเราเชื่อมั่นว่าพรีเซนต์ที่เราทำมา มันสุดยอดมาก (ทั้งๆ มันพื้นๆ มาก 555) เรานึกภาพไว้หมดแล้วว่ามันสำเร็จแน่ๆ นึกเลยไปถึงภาพการเซ็นต์สัญญาออกสื่อ งานเปิดตัวสินค้าแบบนั้นเลย นึกไปถึงภาพที่เรานั่งเซ็นต์สัญญา ลุกขึ้นจับมือกับท่าน ceo คนนี้ แล้วก็มีแสงแฟลชวิบวับๆ มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้นึกถึงความล้มเหลวหรือมีความประหม่าอยู่ในหัวแม้แต่น้อย แล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ใจคิดเกือบทุกอย่างค่ะ นี่คือตัวอย่างความสมหวังเล็กๆ

มาดูภาพความล้มเหลวบ้างเนอะ เราคบกับแฟนคนหนึ่งซึ่งทำงานด้านการทูตที่มีเกียรติของประเทศหนึ่งในยุโรป ตอนเจอผู้ชายคนนี้ก็เหมือนฝัน ทุกอย่างตรงตามที่ต้องการ โสด โปรไฟล์ดี โอ้เราเจอแล้วอยู่มาจนป่านนี้เพื่อพบผู้ชายคนนี้นี่เอง เหมาะสมกันทุกประการ เจ้านายก็ยุ เราชอบเขาแล้วเขาก็ชอบเรากลับ เลยสานสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ คบกันจนถึงขั้นวางแผนการแต่งงานเพื่อได้อยู่ร่วมกัน เดินทางด้วยกัน เหมือนจะรักกันมากนะคะ แต่ในหัวเรามีความคิดขัดแย้งเล็กๆ อย่างหนึ่งขึ้นมาว่า "ใช่เหรอ เราจะแต่งกับคนนี้เหรอ นี่คือสิ่งที่เราอยากได้เหรอ" เขาวาดอนาคตไว้กับเราแบบเห็นภาพเลยค่ะว่า เราจะแต่งงานกันเดือนนี้นะ แล้วเราจะย้ายกลับไปประเทศเขาก่อน 3 ปี จากนั้นเราจะต้องโดนย้ายไปที่อื่นอีกประมาณ 2-3 ประเทศๆ ละ 3-4 ปี แล้วเราก็จะเกษียณกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยมีบ้านริมทะเลสาบใกล้สนามกอล์ฟ ไปที่โน่นคุณอยากได้รถอะไร ผมมองรถไว้ให้คุณแล้วนะ C-Class (โอ้ แม่จ้าว) บ้านที่จะอยู่เราจะไปเลือกด้วยกันคุณชอบแบบไหน เราอยู่ทางใต้หน่อยเนอะ อากาศไม่หนาวมาก งานแต่งงานอยากได้แบบไหน แต่ต้องไปแต่งที่โน่นด้วยนะ บลา บลา บลา คือทุกอย่างมองเห็นภาพชัดเจนค่ะ แต่เรากลับคิดและตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงรู้สึกว่า อนาคตที่เขาพูดมา มันเป็นไปไม่ได้ มันมองไม่เห็นเลยว่าจะเกิดขึ้นได้ยังไง ในใจเราคือ negative ตลอด แล้วก็เป็นไปตามนั้นค่ะ เราเลิกกันในเวลาต่อมา ทุกอย่างพังครืนลงเหมือนปราสาททรายโดนน้ำทะเลกวาดยังไงยังงั้นเลย

นี่แค่ตัวอย่างใหญ่ๆ นะ ยังมีตัวอย่างเล็กๆ อีกหลายอย่างที่คล้ายกับเป็น dejavu เมื่อก่อนแล้วมันเกิดขึ้นจริงหลายๆ อย่างค่ะ
ความคิดเห็นที่ 28
เห็นด้วยเลยค่ะ อยากเล่าบ้างงง
อย่างเรื่องงาน และชีวิตในอนาคตของตัวเอง ตอนนี้มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากๆเลยค่ะ คิดแล้วมีความสุข มองเห็นชัดเจน แต่ก็ลงมือทำด้วยนะคะ ทำให้ภาพที่เห็นอนาคตที่เราคิดไว้ ยิ่งสดใส ยิ่งสุดยอด ยิ่งชัดเจนขึ้นมากค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าผลของการคิด ทำให้การเริ่มต้นสิ่งที่ปรารถนา ง่ายขึ้นมากๆ มีโอกาสหรือจังหวะดีดีเข้ามา แล้วเราก็รีบคว้าไว้ ก็มันเป็นไปตามที่เราคิดนิเนอะ อิอิ

  หรืออย่างเรื่องความรัก ได้มีโอกาสเจอกับคนที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้รู้จัก คือคิดเหมือนเรา เป็นเหมือนเรา รู้จักกันแล้วมีแต่เรื่องที่ดีขึ้น มีสิ่งใหม่ๆที่พัฒนาขึ้น  ช่วงแรกก็แอบแปลกใจที่เค้าเป็นเหมือนอย่างที่เราคิดมากๆเลยค่ะ (โผล่มาได้ไงเนี้ยะ) เรื่องบางอย่างที่เราเคยทะเลาะกับคนเก่า คนๆนี้กลับสนับสนุน ส่งเสริม อย่างน่าประหลาดใจ เคยคิดบ่อยๆค่ะว่าเรามารู้จักคนแบบนี้ได้ไงกันน้ออ คิดแล้วมีความสุขฟรุ๊งฟริ๊งคาราด้าฝุดๆเบยย เราเป็นคนคิดบวก เป็นคนมองโลกดีมาเสมอ ไม่นึกเลยว่าจะเจอสิ่งที่ดีมาตลอด

ปัญหาหรืออุปสรรคอื่นๆก็เจอนะคะ เหมือนคนทั่วๆไป แต่เราไม่โฟกัสที่ปัญหา ไม่คิดมาก ปล่อยวาง มองโลกดีเช่นเดิม แล้วไม่นานปัญหาก็ผ่านไป จริงๆ ปัญหาทุกๆคนก็มีแค่นี้แหละค่ะ เข้ามาอยู่กับเราได้สักพักนึง แล้วเด่วก็ผ่านไป หลายคนเก็บปัญหาไว้ มันผ่านไปนานแล้วแต่ใจยังวิตกอยู่ ท่าน พระมหาสมปอง ยังเคยพูดไว้เลยค่ะ ว่า " ปัญหาอยู่กับเราจริงๆแค่ 5 นาที เราเก็บมาคิดอีก5วัน " ใครที่ชอบเก็บปัญหามาคิด มาวิตก ลองฝึกคิดดี คิดบวก ปล่อยวางกันดูนะคะ การันตีเลยว่า จะเห็นความแตกต่างของชีวิตอย่างแน่นอนเลยค่ะ
.. ไม่อิจฉาใคร แต่ทำชีวิตให้น่าอิจฉา
.. ไม่คิดมาก ไม่กลัดกลุ้ม ขอให้ปล่อยวางลง อะไรจะเกิดก็เกิด เราทำเต็มที่แล้ว
.. จินตนาการชีวิตที่ดีของตัวเองค่ะ ชีวิตที่มีความฝัน ชีวิตที่มุ่งมั่นอะไรสักอย่าง แล้ววันนึงมันสำเร็จ ไม่หวังเสี่ยงโชค ไม่หวังฟลุ๊ค ไม่หวังชะตากำหนด เราเท่านั้นที่ลิขิต ขนาดความคิดเรายังกำหนดเลย จริงมั้ยๆ
เทคนิคที่ตัวเองคิดเอง และลองทำดู อยากเอามาแชร์บ้าง ลองดูนะคะ ชะตาชีวิต ฟ้ากำหนดแค่ 30% ถ้าอยากเปลี่ยนชะตา ก็คงต้องเริ่มเปลี่ยนแปลง ทำเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม ชีวิตคงเหมือนเดิม

ขอบคุณ จขกท. ที่มาเรียบเรียงเรื่องนี้ ทำให้เค้าเองก็มั่นใจขึ้นมากเช่นกันค่ะว่ามาถูกทาง เดินถูกซอยแล้ว ขอบคุณมากนะคะ เค้ามั่นใจค่ะว่า สิ่งที่เค้าคิดทุกๆวันนี้ เป็นจริงแน่นอนๆค่า ^^
ฟินฟินฟินฟิน
ความคิดเห็นที่ 25
ขอบคุณเรื่องราวดีๆมากเลยค่ะ มีกำลังใจกลับมาเชื่ออีกครั้ง (เคยเขวอยู่พักนึง)
เราคนนึงค่ะ เชื่อมาก สำหรับเรื่องบความรัก เราเคยมีแฟน และเลิกกัน สมัยเรียน
หลังจากนั้นมา จะ 5 ปีแล้ว เราไม่เคยเป็นแฟนใคร คุยบ้างแต่ไม่เอา
เรารู้ในใจลึกๆ ว่าเราชอบคนแบบไหน นั่นคือ เราชัดเจนว่าเราชอบแบบแฟนเก่า (อันนี้ดูจมๆกับอดีตยังงัยไม่รู้เนอะ)
แล้วตอนนี้เราเจอแล้วค่ะ ยังไม่เป็นแฟนนะคะ แต่ได้คุยกัน แค่ได้ศึกษากันก็เพียงพอสำหรับตอนนี้ค่ะ
เหมือนขนาดไหน ไม่รู้ว่าเว่อไปไหม 55555 คือ...........
เราชอบขาวตี๋ เชื้อจีน.........และคนนี้เป็น
เราชอบเด็กวิศวะ.............และคนนี้เป็น
เราชอบคนรักหมา...........และคนนี้เป็น
เราชอบคนเก่ง พูดอังกฤษดี ญี่ปุ่นได้.......และคนนี้เป็น
เราชอบคนสูงเกิน 180........ และคนนี้ใช่
และที่น่ากลัวกว่านั้น แฟนเก่าเรา และคนนี้ หน้าคล้ายๆกัน
เรียนที่เดียวกัน บ้านใกล้ๆกัน สูงพอกัน หนักพอกัน
แค่นี้ก็สุขแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าสุดท้ายคำตอบจะยังงัย แต่ขอบคุณช่วงเวลานี้มากๆๆๆๆ
อยากให้ทุกคนคิดบวกนะคะ ทำตามใจที่ต้องการค่ะ สู้ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่