***สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพนทิปที่เคารพรักทุกๆท่าน***
ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษด้วยครับที่กระทู้ล่าสุดซึ่งผมตั้งเอาไว้เมื่อราวสองเดือนก่อนนั้น ตัว "เจไดหนุ่ม" เองไม่ได้ไปตอบกลับความคิดเห็นของเพื่อนๆทั้งในหน้ากระทู้และหลังไมค์ที่ทยอยส่งกันเข้ามาเลย
http://pantip.com/topic/31306229
เพราะในวันนั้นหลังจากปรึกษากับญาติๆแล้วผมได้ตัดสินใจพาแม่ไปที่โรงพยาบาลโดยทันที และนับจากวันที่ผมอุ้มแม่เข้าไปส่งยังห้องฉุกเฉินนั้นคุณแม่ก็ไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาที่บ้านอีกเลยตราบจนท่านจากไป ส่วนตัวผมเองก็ต้องทิ้งงานทุกอย่างและไปอยู่พยาบาลท่านที่โรงพยาบาลประมาณ2เดือนกว่าๆจนท่านได้สิ้นลมและจากไปอย่างสงบในช่วง "วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์" ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันเกิดของผมพอดี (ผมเกิดวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์) ซึ่งในห้วงนั้นผมยุ่งกับเรื่องอาการป่วยของท่านจนไม่มีโอกาสได้จับคอมพิวเตอร์หรือเข้ามาสัมผัสโลกไซเบอร์เลยเป็นเวลาถึงสองเดือนกว่าๆ
โดยในคืนวันที่11ก่อนหน้าที่คุณแม่จะเสียไม่ถึง1วันนั้นความจริงอาการท่านดูทรุดลงอย่างมากจนหมอให้ตามญาติๆมาดูใจกันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้น1วันอาการของท่านดูเหมือนจะดีขึ้นในระดับหนึ่งคือสามารถลืมตาขึ้นมาและหันไปดูตามเสียงของญาติๆที่มาเยี่ยมได้ แต่ทว่าเพียงวันต่อมาอาการของท่านกลับทรุดลงอย่างกระทันหันจนผมต้องรีบโทรตามญาติสนิทมากันทั้งหมดในคืนวันที่11 แต่เหมือนท่านจะรับรู้ในสิ่งที่ผมกระซิบบอกว่าวันต่อไปจะถึงวันเกิดผมแล้วแม่อย่าพึ่งหนีผมไปไหนนะ ทำให้ในคืนวันนั้นท่านก็สามารถอยู่ต่อไปได้จนมาทรุดลงเอาในช่วงเช้าของวันที่12นั่นเอง
และถ้าจะว่ากันตามจริงตั้งแต่ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลไปในวันแรกๆนั้นอาการของท่านก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าที่ควรแล้ว เพราะจากที่เคยกินข้าวตามปรกติได้ก็ต้องเปลี่ยนมา Feed อาหารให้ทางสายยางที่จมูก จากที่เมื่อก่อนท่านเคยคุยกับคนอื่นๆได้ก็กลับเอาแต่เงียบนิ่ง จากที่เคยยิ้มเคยหัวเราะอยู่เสมอกลับเงียบเหงาและซึมเศร้า จนในที่สุดท่านก็ไม่โต้ตอบอะไรกับเราอีก (คุณแม่ส่งยิ้มให้ผมครั้งสุดท้ายตอนวันปีใหม่) และเอาแต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงอย่างเดียวเป็นเวลานานนับเดือน ซึ่งจุดนี้อาจารย์หมอทุกท่านได้บอกแล้วว่าเป็นเพราะตัวก้อนเนื้อในสมองนั้นมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและระบบการควมคุมร่างกาย ทำให้ท่านแปรสภาพจากหญิงแกร่งที่ร่าเริงกลายเป็นมนุษย์ผักที่ทำได้แต่เพียงหายใจ กินอาหารทางสาย นอนหลับ และขับถ่ายเท่านั้น
โดยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นผมเองได้ตกลงแล้วว่าอย่างไรเสียก็ไม่อยากให้ท่านทรมาณจึงตัดสินใจจะไม่เจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจหรือปั๊มหัวใจถ้ามันถึงจุดที่ท่านจากไปแล้วจริงๆ เพราะส่วนตัวเคยเห็นจากเคสของคุณปู่ที่ทางญาติๆพยายามทำทุกอย่างแบบเต็มกำลังที่สุดแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากทำให้ท่านได้รับความทรมาณตราบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต และแล้วในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ช่วงราวบ่ายโมงกว่าๆคุณแม่ของผมก็ได้สิ้นลมไปอย่างสงบท่ามกลางญาติพี่น้องที่มากันอย่างพร้อมหน้าเกือบทุกคน (ตอนนั้นผมต้องกลืนน้ำลายตนเองให้หมอช่วยปั๊มหัวใจท่านอยู่พักหนึ่งเพราะกลัวว่าท่านจะไม่ได้มีโอกาสเจอญาติหลายคนที่ท่านรักมาก)
แต่ในห้วงนั้นไม่มีใครเลยจะหลั่งน้ำตาออกมาให้ท่านเห็นเพราะทุกคนเชื่อกันว่าถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยในช่วงวาระสุดท้ายได้เห็นน้ำตาของญาติๆ ตัวของเขาผู้นั้นจะต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงทะเลของความโศกเศร้าอาดูรไปอีกนานแสนนาน ผมเองในตอนนั้นก็ทำได้แต่เพียงแต่สวดมนต์ให้ท่านฟังเหมือนที่เคยทำอยู่เป็นประจำในทุกๆวัน พร้อมเปิดบทสวดมนต์จากเครื่องเล่นเอ็มพี3ให้ท่านฟังตลอดเวลา ก่อนจะกล่าวอำลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมด้วยคำสัญญาบางประการที่ขออนุญาตไม่นำมาเอ่ยยังที่แห่งนี้ กระทั่งในที่สุดหัวใจอันแข็งแกร่งของหญิงเหล็กคนเก่งของผมก็เริ่มเต้นช้าลงและค่อยๆแผ่วลงจนหยุดนิ่งไปพร้อมๆกับความดันที่ตกวูบตามกันไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
หลังท่านจากไปแล้วญาติๆหลายคนได้มาคุยกับผมว่าจะจัดการกับร่างของแม่เช่นไร จะฝังกันตามประเพณีจีนหรือจะเผาซึ่งผมตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าขอเผาให้เรียบร้อยดีกว่า เพราะเคยเห็นตัวอย่างจากกรณีของคุณปู่ทวดทั้งฝ่ายของทางพ่อและแม่ที่พอเวลาผ่านไปนานๆเข้าลูกหลานรุ่นหลังๆต่างละเลยที่จะไปเยี่ยมเยียนหรือดูแลฮวงซุ้ยของท่าน จนฮวงซุ้ยราคาแพงเหล่านั้นหลายที่ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างไปตามกาลเวลา รึบางคนทีมีโอกาสไปไหว้ตามประเพณีก็มักเอาของเซ่นไหว้ที่เตรียมไปมานั่งแทะกินกันจนปากมันแผล็บอย่างอเร็ดอร่อยตรงหน้าหลุมหลังเสร็จพิธี ซึ่งนี่เป็นภาพที่ไม่ถูกจริตของผมอย่างแรงจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้เผาร่างของแม่ให้เรียบร้อยอย่างสมศักดิ์ศรีจะดีกว่า
ซึ่งหลังพิธีสวดตามประเพณีที่กินเวลากว่า1อาทิตย์จบไปผมจึงได้นำอัฐิที่เหลือของท่านเดินทางไปยัง "ฐานทัพเรือสัตหีบ" ก่อนที่เรือจะแล่นฝ่าเกลียวคลื่นออกไปกลางทะเลซึ่งเป็นสถานที่โกฐบรรจุอัฐิของแม่ถูกปล่อยจากมือของลูกหลานและัเจ้าหน้าที่ทหารลงสู่ห้วงมหาสมุทรสีฟ้าคราม ช่วงเวลานั้นผมได้แต่นิ่งเงียบเฝ้าดูโกฐสีทองอร่ามพร้อมกองดอกบัวสีชมพูอ่อนค่อยๆจมลงไปยังก้นบึ้งแห่งห้วงมหาสมุทรอย่างช้าๆ ไม่มีน้ำตาซักหยดไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเพราะที่ผ่านมาผมผ่านการร้องไห้และ้เสียน้ำตามามากมายจนเกินพอแล้ว อีกทั้งผมยังมีสัญญาที่ได้บอกกับแม่ไว้ก่อนท่านจะสิ้นลมซึ่งต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องใช้เวลาแค่ไหนก็ตาม กระทั่งเมื่อเรือแล่นกลับมาที่ฝั่งซึ่งจอดเรียงรายไปด้วยเรือรบในระดับชั้นต่างๆผมได้มีโอกาสหันกลับไปมองยังผืนมหาสมุทรอีกเป็นครั้งสุดท้าย สถานที่ซึ่งร่างที่เหลือของแม่จะได้ทอดกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตราบนานเท่านาน ขอ "เสด็จเตี่ย" ได้โปรดช่วยดูแลและคุ้มครองดวงวิญญาณของคุณแม่และช่วยชี้ทางให้ท่านไปสู่ปรภพที่ดีด้วยเถิด
"หลับให้สบายนะครับหญิงแกร่งของผม แม่ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายอีกแล้ว
จากนี้ไปความหวังของแม่ ผมจะเป็นคนทำมันให้สำเร็จเอง
ลาก่อนครับ คุณแม่ที่รักของผม"
ขอขอบคุณเพื่อนๆชาวพันทิปที่มีน้ำใจให้แก่กันและกันตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปล่วงเกินใครทั้งทางกาย วาจา ตัวอักษรในบทความ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดีต้องขอกราบขอโทษทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ "อาจารย์ไพโรจน์ สินลารัตน์" "อาจารย์นิพนธ์ พวงวรินทร์" "อาจารย์ชัยวัฒน์ ลิมปวุฒิวรานนท์" "อาจารย์ จันท์จิรา เพชรสุขศิริ" รวมถึงคณะแพทย์พยาบาลจาก "โรงพยาบาลธนบุรี" "โรงพยาบาลศิริราช" และ "โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล" ที่ดูแลคุณแม่ผมเป็นอย่างดีตลอดเวลาหลายเดือนมานี้
ป.ล. ความจริงว่าจะมาโพสหลายวันแล้วแต่ช่วงนี้รู้สึกอยากอยู่เงียบๆและต้องวิ่งจัดการเรื่องเอกสารอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ประจวบกับส่วนตัวรู้สึกเบื่อโลกไซเบอร์เพราะหลังจากไม่ได้แตะคอมพิวเตอร์มาหลายเดือนผมรู้สึกว่าปัจจุบันบรรยากาศของพันทิปและเว็บต่างๆหลายแห่งนั้นไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว พันทิปที่ตัวผมเคยรู้จักได้จากไปแล้วซึ่งความจริงความรู้สึกนี้เริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากเว็บเปลี่ยนรูปแบบไปตั้งแต่ต้นปีก่อน กระทั่งผมได้มีโอกาสห่างเหินจากที่นี่ไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น และคิดว่าบางทีความรู้ความสามารถของตนเองคงจะตกยุคและไม่เหมาะกับที่แห่งนี้แล้วก็เป็นได้ ต่อจากนี้ส่วนตัวคงจะหาเวลาทำใจซักพักอาจจะไปบวชยาวหรือปฏิบัติธรรมยังที่ไกลๆก็ยังไม่รู้แน่ แต่ผมเองนั้นยังมีสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ก่อนท่านจะเสียไอ้ครั้นจะหลบตัวไปปลีกวิเวกอย่างเดียวเลยก็ใช่ที คาดว่าต่อไปอาจจะต้องมีเรื่องมาขอคำชี้แนะจากเพื่อนๆในหลายๆเรื่อง ซึ่งก่อนจะถึงจุดนั้นผมคงจะต้องเคลียร์ธุระปะปังและขจัดทุกข์อันหนักอึ้งในใจให้บรรเทาลงเสียก่อน
...จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ...
(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
*** ลาก่อนครับ "คุณแม่" หญิงเหล็กผู้เข้มแข็งของลูกชายคนนี้ ***
ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษด้วยครับที่กระทู้ล่าสุดซึ่งผมตั้งเอาไว้เมื่อราวสองเดือนก่อนนั้น ตัว "เจไดหนุ่ม" เองไม่ได้ไปตอบกลับความคิดเห็นของเพื่อนๆทั้งในหน้ากระทู้และหลังไมค์ที่ทยอยส่งกันเข้ามาเลย
http://pantip.com/topic/31306229
เพราะในวันนั้นหลังจากปรึกษากับญาติๆแล้วผมได้ตัดสินใจพาแม่ไปที่โรงพยาบาลโดยทันที และนับจากวันที่ผมอุ้มแม่เข้าไปส่งยังห้องฉุกเฉินนั้นคุณแม่ก็ไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาที่บ้านอีกเลยตราบจนท่านจากไป ส่วนตัวผมเองก็ต้องทิ้งงานทุกอย่างและไปอยู่พยาบาลท่านที่โรงพยาบาลประมาณ2เดือนกว่าๆจนท่านได้สิ้นลมและจากไปอย่างสงบในช่วง "วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์" ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันเกิดของผมพอดี (ผมเกิดวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์) ซึ่งในห้วงนั้นผมยุ่งกับเรื่องอาการป่วยของท่านจนไม่มีโอกาสได้จับคอมพิวเตอร์หรือเข้ามาสัมผัสโลกไซเบอร์เลยเป็นเวลาถึงสองเดือนกว่าๆ
โดยในคืนวันที่11ก่อนหน้าที่คุณแม่จะเสียไม่ถึง1วันนั้นความจริงอาการท่านดูทรุดลงอย่างมากจนหมอให้ตามญาติๆมาดูใจกันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้น1วันอาการของท่านดูเหมือนจะดีขึ้นในระดับหนึ่งคือสามารถลืมตาขึ้นมาและหันไปดูตามเสียงของญาติๆที่มาเยี่ยมได้ แต่ทว่าเพียงวันต่อมาอาการของท่านกลับทรุดลงอย่างกระทันหันจนผมต้องรีบโทรตามญาติสนิทมากันทั้งหมดในคืนวันที่11 แต่เหมือนท่านจะรับรู้ในสิ่งที่ผมกระซิบบอกว่าวันต่อไปจะถึงวันเกิดผมแล้วแม่อย่าพึ่งหนีผมไปไหนนะ ทำให้ในคืนวันนั้นท่านก็สามารถอยู่ต่อไปได้จนมาทรุดลงเอาในช่วงเช้าของวันที่12นั่นเอง
และถ้าจะว่ากันตามจริงตั้งแต่ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลไปในวันแรกๆนั้นอาการของท่านก็เริ่มไม่ค่อยดีเท่าที่ควรแล้ว เพราะจากที่เคยกินข้าวตามปรกติได้ก็ต้องเปลี่ยนมา Feed อาหารให้ทางสายยางที่จมูก จากที่เมื่อก่อนท่านเคยคุยกับคนอื่นๆได้ก็กลับเอาแต่เงียบนิ่ง จากที่เคยยิ้มเคยหัวเราะอยู่เสมอกลับเงียบเหงาและซึมเศร้า จนในที่สุดท่านก็ไม่โต้ตอบอะไรกับเราอีก (คุณแม่ส่งยิ้มให้ผมครั้งสุดท้ายตอนวันปีใหม่) และเอาแต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงอย่างเดียวเป็นเวลานานนับเดือน ซึ่งจุดนี้อาจารย์หมอทุกท่านได้บอกแล้วว่าเป็นเพราะตัวก้อนเนื้อในสมองนั้นมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและระบบการควมคุมร่างกาย ทำให้ท่านแปรสภาพจากหญิงแกร่งที่ร่าเริงกลายเป็นมนุษย์ผักที่ทำได้แต่เพียงหายใจ กินอาหารทางสาย นอนหลับ และขับถ่ายเท่านั้น
โดยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นผมเองได้ตกลงแล้วว่าอย่างไรเสียก็ไม่อยากให้ท่านทรมาณจึงตัดสินใจจะไม่เจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจหรือปั๊มหัวใจถ้ามันถึงจุดที่ท่านจากไปแล้วจริงๆ เพราะส่วนตัวเคยเห็นจากเคสของคุณปู่ที่ทางญาติๆพยายามทำทุกอย่างแบบเต็มกำลังที่สุดแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากทำให้ท่านได้รับความทรมาณตราบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต และแล้วในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ช่วงราวบ่ายโมงกว่าๆคุณแม่ของผมก็ได้สิ้นลมไปอย่างสงบท่ามกลางญาติพี่น้องที่มากันอย่างพร้อมหน้าเกือบทุกคน (ตอนนั้นผมต้องกลืนน้ำลายตนเองให้หมอช่วยปั๊มหัวใจท่านอยู่พักหนึ่งเพราะกลัวว่าท่านจะไม่ได้มีโอกาสเจอญาติหลายคนที่ท่านรักมาก)
แต่ในห้วงนั้นไม่มีใครเลยจะหลั่งน้ำตาออกมาให้ท่านเห็นเพราะทุกคนเชื่อกันว่าถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยในช่วงวาระสุดท้ายได้เห็นน้ำตาของญาติๆ ตัวของเขาผู้นั้นจะต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงทะเลของความโศกเศร้าอาดูรไปอีกนานแสนนาน ผมเองในตอนนั้นก็ทำได้แต่เพียงแต่สวดมนต์ให้ท่านฟังเหมือนที่เคยทำอยู่เป็นประจำในทุกๆวัน พร้อมเปิดบทสวดมนต์จากเครื่องเล่นเอ็มพี3ให้ท่านฟังตลอดเวลา ก่อนจะกล่าวอำลาท่านเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมด้วยคำสัญญาบางประการที่ขออนุญาตไม่นำมาเอ่ยยังที่แห่งนี้ กระทั่งในที่สุดหัวใจอันแข็งแกร่งของหญิงเหล็กคนเก่งของผมก็เริ่มเต้นช้าลงและค่อยๆแผ่วลงจนหยุดนิ่งไปพร้อมๆกับความดันที่ตกวูบตามกันไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
หลังท่านจากไปแล้วญาติๆหลายคนได้มาคุยกับผมว่าจะจัดการกับร่างของแม่เช่นไร จะฝังกันตามประเพณีจีนหรือจะเผาซึ่งผมตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าขอเผาให้เรียบร้อยดีกว่า เพราะเคยเห็นตัวอย่างจากกรณีของคุณปู่ทวดทั้งฝ่ายของทางพ่อและแม่ที่พอเวลาผ่านไปนานๆเข้าลูกหลานรุ่นหลังๆต่างละเลยที่จะไปเยี่ยมเยียนหรือดูแลฮวงซุ้ยของท่าน จนฮวงซุ้ยราคาแพงเหล่านั้นหลายที่ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างไปตามกาลเวลา รึบางคนทีมีโอกาสไปไหว้ตามประเพณีก็มักเอาของเซ่นไหว้ที่เตรียมไปมานั่งแทะกินกันจนปากมันแผล็บอย่างอเร็ดอร่อยตรงหน้าหลุมหลังเสร็จพิธี ซึ่งนี่เป็นภาพที่ไม่ถูกจริตของผมอย่างแรงจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้เผาร่างของแม่ให้เรียบร้อยอย่างสมศักดิ์ศรีจะดีกว่า
ซึ่งหลังพิธีสวดตามประเพณีที่กินเวลากว่า1อาทิตย์จบไปผมจึงได้นำอัฐิที่เหลือของท่านเดินทางไปยัง "ฐานทัพเรือสัตหีบ" ก่อนที่เรือจะแล่นฝ่าเกลียวคลื่นออกไปกลางทะเลซึ่งเป็นสถานที่โกฐบรรจุอัฐิของแม่ถูกปล่อยจากมือของลูกหลานและัเจ้าหน้าที่ทหารลงสู่ห้วงมหาสมุทรสีฟ้าคราม ช่วงเวลานั้นผมได้แต่นิ่งเงียบเฝ้าดูโกฐสีทองอร่ามพร้อมกองดอกบัวสีชมพูอ่อนค่อยๆจมลงไปยังก้นบึ้งแห่งห้วงมหาสมุทรอย่างช้าๆ ไม่มีน้ำตาซักหยดไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเพราะที่ผ่านมาผมผ่านการร้องไห้และ้เสียน้ำตามามากมายจนเกินพอแล้ว อีกทั้งผมยังมีสัญญาที่ได้บอกกับแม่ไว้ก่อนท่านจะสิ้นลมซึ่งต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องใช้เวลาแค่ไหนก็ตาม กระทั่งเมื่อเรือแล่นกลับมาที่ฝั่งซึ่งจอดเรียงรายไปด้วยเรือรบในระดับชั้นต่างๆผมได้มีโอกาสหันกลับไปมองยังผืนมหาสมุทรอีกเป็นครั้งสุดท้าย สถานที่ซึ่งร่างที่เหลือของแม่จะได้ทอดกายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตราบนานเท่านาน ขอ "เสด็จเตี่ย" ได้โปรดช่วยดูแลและคุ้มครองดวงวิญญาณของคุณแม่และช่วยชี้ทางให้ท่านไปสู่ปรภพที่ดีด้วยเถิด
"หลับให้สบายนะครับหญิงแกร่งของผม แม่ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกายอีกแล้ว
จากนี้ไปความหวังของแม่ ผมจะเป็นคนทำมันให้สำเร็จเอง
ลาก่อนครับ คุณแม่ที่รักของผม"
ขอขอบคุณเพื่อนๆชาวพันทิปที่มีน้ำใจให้แก่กันและกันตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปล่วงเกินใครทั้งทางกาย วาจา ตัวอักษรในบทความ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดีต้องขอกราบขอโทษทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ "อาจารย์ไพโรจน์ สินลารัตน์" "อาจารย์นิพนธ์ พวงวรินทร์" "อาจารย์ชัยวัฒน์ ลิมปวุฒิวรานนท์" "อาจารย์ จันท์จิรา เพชรสุขศิริ" รวมถึงคณะแพทย์พยาบาลจาก "โรงพยาบาลธนบุรี" "โรงพยาบาลศิริราช" และ "โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล" ที่ดูแลคุณแม่ผมเป็นอย่างดีตลอดเวลาหลายเดือนมานี้
ป.ล. ความจริงว่าจะมาโพสหลายวันแล้วแต่ช่วงนี้รู้สึกอยากอยู่เงียบๆและต้องวิ่งจัดการเรื่องเอกสารอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ประจวบกับส่วนตัวรู้สึกเบื่อโลกไซเบอร์เพราะหลังจากไม่ได้แตะคอมพิวเตอร์มาหลายเดือนผมรู้สึกว่าปัจจุบันบรรยากาศของพันทิปและเว็บต่างๆหลายแห่งนั้นไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว พันทิปที่ตัวผมเคยรู้จักได้จากไปแล้วซึ่งความจริงความรู้สึกนี้เริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากเว็บเปลี่ยนรูปแบบไปตั้งแต่ต้นปีก่อน กระทั่งผมได้มีโอกาสห่างเหินจากที่นี่ไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น และคิดว่าบางทีความรู้ความสามารถของตนเองคงจะตกยุคและไม่เหมาะกับที่แห่งนี้แล้วก็เป็นได้ ต่อจากนี้ส่วนตัวคงจะหาเวลาทำใจซักพักอาจจะไปบวชยาวหรือปฏิบัติธรรมยังที่ไกลๆก็ยังไม่รู้แน่ แต่ผมเองนั้นยังมีสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ก่อนท่านจะเสียไอ้ครั้นจะหลบตัวไปปลีกวิเวกอย่างเดียวเลยก็ใช่ที คาดว่าต่อไปอาจจะต้องมีเรื่องมาขอคำชี้แนะจากเพื่อนๆในหลายๆเรื่อง ซึ่งก่อนจะถึงจุดนั้นผมคงจะต้องเคลียร์ธุระปะปังและขจัดทุกข์อันหนักอึ้งในใจให้บรรเทาลงเสียก่อน
...จนกว่าจะพบกันใหม่ครับ...
(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน