แสนสิริไม่หวั่นการเมืองทำยอดขายคอนโดฯ ช่วงต้นปีวูบ หลังมียอดรอรับรู้รายได้กว่า 14,000 ล้านบาท เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่ปี 57 พร้อมผุดแบรนด์ใหม่ เล็งเปิดขายโครงการแรกของปีใกล้บีทีเอสวงเวียนใหญ่ มี.ค.นี้
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่าในปี 2556 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีสำหรับสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมของบริษัท เนื่งอจากมียอดขาย-ยอดโอนที่น่าพอใจ โดยบริษัทมียอดขายรวมทั้งปีเกือบ 30,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ 42% และในต่างจังหวัด 58% โดยยอดขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดฯ ที่บริษัทเปิดขายทั่วประเทศในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 64% และมีฐานลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 50%
สำหรับแผนในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการแนวสูงใหม่เพิ่มเพียง 9 โครงการรวมมูลค่าประมาณ 17,600 ล้านบาท โดยมีที่ดินไว้รองรับการพัฒนาแล้ว 8 โครงการ ในจำนวนนี้จะเป็นคอนโดฯ ที่พัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ “เฮาส์” (HAUS) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Slow Living ที่มีจำนวนยูนิตต่อโครงการน้อย พัฒนาบนทำเลที่เดินทางสะดวก เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับ B ราคาขายเฉลี่ย 80,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
ในขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ใหม่เพียง 1 โครงการในช่วงเดือนมีนาคม 2557 นี้ ได้แก่ “นิกซ์” (NYX) ภายใต้คอลเลคชัน Live with attitude มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท พัฒนาเป็นคอนโดฯ แบบไฮไรส์ ความสูง 35 ชั้นจำนวน 853 ยูนิต โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่บนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน อยู่ห่างจากสถานีบีทีเอสวงเวียนใหญ่ 800 เมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท
ในขณะที่ในไตรมาส 2, 3 และ 4 จะมีการเปิดโครงการใหม่จำนวน 3, 4 และ 1 โครงการตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการและในกรุงเทพฯ อีก 4 โครงการ
“ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดฯ น้อยลงในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 คือเรื่องของ EIA (การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม) ซึ่งมีขั้นตอนนานถึง 8-9 เดือน โดยจากนี้ไปเราจะเปิดขายเฉพาะโครงการที่ผ่าน EIA แล้วเท่านั้น” นายอุทัยกล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “เดอะ เบส” (The BASE) และดีคอนโด (dcondo) รวมไปถึงการพัฒนาคอนโดฯ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดใน 2 ทำเลใหม่ ได้แก่ พิษณุโลก และศรีราชา จ.ชลบุรี โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมสำหรับคอนโดมิเนียมในปี 2557 ไว้ประมาณ 15,600 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมของบริษัท 30,000 ล้านบาท
สำหรับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายอุทัยยอมรับว่าส่งผลต่อยอดขายบ้าง โดยในช่วงเดือนมกราคม 2557 แม้จะบริษัทจะทำยอดขายได้ 300-400 ล้านบาทแต่ก็ถือว่าเป็นยอดขายที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2556 ถึง 50% ในขณะที่สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์บริษัทมียอดขายราว 200 กว่าล้าน
“ลูกค้าที่ลดลงในช่วงนี้คือกลุ่มนักลงทุนที่อยากจะเก็บเงินไว้กับตัวในตอนนี้มากกว่า เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงก็ชะลอการตัดสินใจออกไป ส่วนลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักเก็งกำไรนั้นแทบจะไม่มีเลย”
ในขณะที่ปัญหาลูกค้าทิ้งโอนหรือชะลอการโอนนั้น นายอุทัยกล่าวว่าที่ผ่านมามีลูกค้าที่ตัดสินใจทิ้งโอนราว 10-15% ส่วนในช่วงไตรมาส 4 มีลูกค้าทิ้งใบจอง ทิ้งดาวน์ราว 5% ซึ่งไม่ถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลแต่อย่างใด
“บ้านคือสิ่งจำเป็น เมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง บรรดาผู้ซื้อที่ชะลอการตัดสินใจก่อนหน้านี้น่าจะกลับมาซื้ออยู่ดี หรือในกรณีที่เหตุการณ์เกิดเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ เราก็อาจจะชะลอการเปิด 9 โครงการใหม่นี้ออกไป แล้วขายแค่สินค้าที่มีอยู่ในตอนนี้ก็สามารถช่วยให้บรรลุถึงเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ได้” นายอุทัยกล่าวทิ้งท้าย
เครดิต
http://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2014/2/8786/แสนสิริไม่หวั่นการเมืองทำยอดขายคอนโดฯหด
แสนสิริไม่หวั่นการเมืองทำยอดขายคอนโดฯหด
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่าในปี 2556 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีสำหรับสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมของบริษัท เนื่งอจากมียอดขาย-ยอดโอนที่น่าพอใจ โดยบริษัทมียอดขายรวมทั้งปีเกือบ 30,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ 42% และในต่างจังหวัด 58% โดยยอดขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดฯ ที่บริษัทเปิดขายทั่วประเทศในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 64% และมีฐานลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 50%
สำหรับแผนในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการแนวสูงใหม่เพิ่มเพียง 9 โครงการรวมมูลค่าประมาณ 17,600 ล้านบาท โดยมีที่ดินไว้รองรับการพัฒนาแล้ว 8 โครงการ ในจำนวนนี้จะเป็นคอนโดฯ ที่พัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ “เฮาส์” (HAUS) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Slow Living ที่มีจำนวนยูนิตต่อโครงการน้อย พัฒนาบนทำเลที่เดินทางสะดวก เจาะกลุ่มลูกค้าในระดับ B ราคาขายเฉลี่ย 80,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
ในขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ใหม่เพียง 1 โครงการในช่วงเดือนมีนาคม 2557 นี้ ได้แก่ “นิกซ์” (NYX) ภายใต้คอลเลคชัน Live with attitude มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท พัฒนาเป็นคอนโดฯ แบบไฮไรส์ ความสูง 35 ชั้นจำนวน 853 ยูนิต โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่บนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน อยู่ห่างจากสถานีบีทีเอสวงเวียนใหญ่ 800 เมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท
ในขณะที่ในไตรมาส 2, 3 และ 4 จะมีการเปิดโครงการใหม่จำนวน 3, 4 และ 1 โครงการตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการและในกรุงเทพฯ อีก 4 โครงการ
“ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดฯ น้อยลงในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 คือเรื่องของ EIA (การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม) ซึ่งมีขั้นตอนนานถึง 8-9 เดือน โดยจากนี้ไปเราจะเปิดขายเฉพาะโครงการที่ผ่าน EIA แล้วเท่านั้น” นายอุทัยกล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “เดอะ เบส” (The BASE) และดีคอนโด (dcondo) รวมไปถึงการพัฒนาคอนโดฯ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดใน 2 ทำเลใหม่ ได้แก่ พิษณุโลก และศรีราชา จ.ชลบุรี โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมสำหรับคอนโดมิเนียมในปี 2557 ไว้ประมาณ 15,600 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมของบริษัท 30,000 ล้านบาท
สำหรับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายอุทัยยอมรับว่าส่งผลต่อยอดขายบ้าง โดยในช่วงเดือนมกราคม 2557 แม้จะบริษัทจะทำยอดขายได้ 300-400 ล้านบาทแต่ก็ถือว่าเป็นยอดขายที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2556 ถึง 50% ในขณะที่สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์บริษัทมียอดขายราว 200 กว่าล้าน
“ลูกค้าที่ลดลงในช่วงนี้คือกลุ่มนักลงทุนที่อยากจะเก็บเงินไว้กับตัวในตอนนี้มากกว่า เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงก็ชะลอการตัดสินใจออกไป ส่วนลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักเก็งกำไรนั้นแทบจะไม่มีเลย”
ในขณะที่ปัญหาลูกค้าทิ้งโอนหรือชะลอการโอนนั้น นายอุทัยกล่าวว่าที่ผ่านมามีลูกค้าที่ตัดสินใจทิ้งโอนราว 10-15% ส่วนในช่วงไตรมาส 4 มีลูกค้าทิ้งใบจอง ทิ้งดาวน์ราว 5% ซึ่งไม่ถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลแต่อย่างใด
“บ้านคือสิ่งจำเป็น เมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง บรรดาผู้ซื้อที่ชะลอการตัดสินใจก่อนหน้านี้น่าจะกลับมาซื้ออยู่ดี หรือในกรณีที่เหตุการณ์เกิดเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ เราก็อาจจะชะลอการเปิด 9 โครงการใหม่นี้ออกไป แล้วขายแค่สินค้าที่มีอยู่ในตอนนี้ก็สามารถช่วยให้บรรลุถึงเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ได้” นายอุทัยกล่าวทิ้งท้าย
เครดิต http://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2014/2/8786/แสนสิริไม่หวั่นการเมืองทำยอดขายคอนโดฯหด