ปราสาท Maruoka (丸岡城・まるおかじょう) อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหรือมีความอลังการงานสร้างเหมือนปราสาทอื่น ๆ ของญี่ปุ่น แต่ความโดดเด่นของปราสาทเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่ที่ความเก่าแก่ครับ โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1576 (จะไม่ขอพูดถึงว่าใครเป็นผู้สร้าง เพราะบอกไปก็คงไม่มีใครรู้จัก เอาเป็นว่าถ้าใครอยากทราบก็ลองหาข้อมูลเพิ่มดูนะครับ) และถึงแม้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อปี 1948 แต่ก็ได้รับการบูรณะโดยใช้วัสดุดั้งเดิมร้อยละ 80 จึงกล่าวได้ว่าเป็นหอคอยปราสาทโครงสร้างไม้แบบดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบันครับ
ลงจากรถบัสมาแล้วก็จะเห็นวิวประมาณนี้
เดินมาตามทางเรื่อย ๆ ก็จะถึงทางขึ้นสู่ตัวปราสาท
ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่น่าจะสวยกว่านี้
มาถึงศาลเจ้าเล็ก ๆ ตรงนี้แล้วก็ไปซื้อตั๋วด้านซ้ายมือได้เลยครับ ค่าเข้าชม 300 เยน โดยสามารถเข้าชมได้ทั้งตัวปราสาทและศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ที่อยู่ด้านล่าง (จะพูดถึงทีหลัง)
จารึกเกี่ยวกับปราสาท
จารึกจดหมายที่อดีตเจ้าของปราสาทเคยส่งให้ภรรยา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจดหมายสั้นที่มีใจความลึกซึ้งกินใจอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ส่วนจะมีใจความว่ายังไงนั้น ลองหาข้อมูลเพิ่มเองนะครับ
ก่อนเข้าปราสาทก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับฉากที่เขาจัดไว้ให้เสียหน่อย (ไม่แน่ใจว่ามีตลอดหรือเปล่านะครับ พอดีตอนที่ไปมันมี)
ได้เวลาเข้าปราสาทแล้ว
ในรูปอาจเห็นว่าบันไดเข้าปราสาทค่อนข้างสูง แต่ที่จริงก็ไม่สูงมากนักครับ
แบบจำลองปราสาท
ต้องขอบอกว่าถึงจะเป็นปราสาทเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียงสามชั้น แต่บันไดในตัวปราสาทชันมากถึงขนาดต้องใช้เชือกช่วยพยุงเลยนะครับ
ทิวทัศน์จากชั้นบนสุดของปราสาท
ว่ากันว่าถ้าท้องฟ้าแจ่มใส อาจมองเห็นได้ไกลถึงทะเลเลยทีเดียว
อีกมุมหนึ่งของปราสาท
จุดเด่นอีกอย่างของปราสาทแห่งนี้คือหลังคาที่ประกอบจากแผ่นหินแทนที่จะเป็นกระเบื้องเหมือนปราสาทอื่น ๆ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ในภูมิภาคที่อากาศหนาวเย็น จึงต้องใช้วัสดุที่ต้านทานความหนาวได้ดีครับ ซึ่งเมื่อรวมน้ำหนักของแผ่นหินทั้ง 6000 แผ่นเข้าด้วยกันแล้วจะหนักถึงกว่า 120 ตันเลยทีเดียว
เนื่องจากเป็นปราสาทเล็ก ๆ จึงใช้เวลาไม่นานนัก ระหว่างทางกลับก็จะได้พบเห็นทัศนียภาพประมาณนี้ครับ
ตรงนี้คือศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ที่พูดถึงข้างต้น (อยู่ทางซ้ายของภาพ)
แต่เนื่องจากผมมีเวลาไม่มากนักเนื่องจากรถบัสที่ต้องไปต่อใกล้จะมาแล้ว ซึ่งถ้าพลาดต้องรออีกเป็นชั่วโมงเลยครับ ก็เลยไม่ได้เข้า
ส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะข้างปราสาท
แบบจำลองโครงสร้างไม้ปราสาทแบบนี้อยู่ในร้านอาหารและของที่ระลึก ซึ่งมีของขึ้นชื่อคือโซบะ แต่อย่างที่บอกว่าผมมีเวลาน้อยเลยไม่มีโอกาสได้ลองกินดูครับ
อีกมุมก่อนจาก
อาจดูเหมือนว่าที่นี่เป็นปราสาทเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรมากนัก แต่ที่จริงปราสาทแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระขึ้นชื่อติดอันดับ 100 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น รับประกันได้จากชื่อ Kasumi-ga-Jō (霞ヶ城・かすみがじょう) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของปราสาทที่แปลได้ว่า "ปราสาทแห่งหมอก" ซึ่งในช่วงที่ซากุระบานก็จะบานสะพรั่งจนเหมือนเป็นหมอกล้อมปราสาทครับ (บางตำราก็ว่าที่ได้ชื่อนี้เป็นเพราะเวลามีข้าศึกบุก จะเกิดหมอกล้อมปราสาทไว้จนข้าศึกมองไม่เห็น)
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
หรือจะดูตอน Light Up ก็สวยไปอีกแบบ ซึ่งแต่ละช่วงของปีจะเปิดไฟสีแตกต่างกันไป แต่คงเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถขับรถไปเองได้มากกว่านะครับ
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
[CR] Unseen Japan - พาเที่ยวจังหวัด Fukui : ปราสาท Maruoka
ลงจากรถบัสมาแล้วก็จะเห็นวิวประมาณนี้
เดินมาตามทางเรื่อย ๆ ก็จะถึงทางขึ้นสู่ตัวปราสาท
ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่น่าจะสวยกว่านี้
มาถึงศาลเจ้าเล็ก ๆ ตรงนี้แล้วก็ไปซื้อตั๋วด้านซ้ายมือได้เลยครับ ค่าเข้าชม 300 เยน โดยสามารถเข้าชมได้ทั้งตัวปราสาทและศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ที่อยู่ด้านล่าง (จะพูดถึงทีหลัง)
จารึกเกี่ยวกับปราสาท
จารึกจดหมายที่อดีตเจ้าของปราสาทเคยส่งให้ภรรยา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจดหมายสั้นที่มีใจความลึกซึ้งกินใจอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ส่วนจะมีใจความว่ายังไงนั้น ลองหาข้อมูลเพิ่มเองนะครับ
ก่อนเข้าปราสาทก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับฉากที่เขาจัดไว้ให้เสียหน่อย (ไม่แน่ใจว่ามีตลอดหรือเปล่านะครับ พอดีตอนที่ไปมันมี)
ได้เวลาเข้าปราสาทแล้ว
ในรูปอาจเห็นว่าบันไดเข้าปราสาทค่อนข้างสูง แต่ที่จริงก็ไม่สูงมากนักครับ
แบบจำลองปราสาท
ต้องขอบอกว่าถึงจะเป็นปราสาทเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียงสามชั้น แต่บันไดในตัวปราสาทชันมากถึงขนาดต้องใช้เชือกช่วยพยุงเลยนะครับ
ทิวทัศน์จากชั้นบนสุดของปราสาท
ว่ากันว่าถ้าท้องฟ้าแจ่มใส อาจมองเห็นได้ไกลถึงทะเลเลยทีเดียว
อีกมุมหนึ่งของปราสาท
จุดเด่นอีกอย่างของปราสาทแห่งนี้คือหลังคาที่ประกอบจากแผ่นหินแทนที่จะเป็นกระเบื้องเหมือนปราสาทอื่น ๆ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ในภูมิภาคที่อากาศหนาวเย็น จึงต้องใช้วัสดุที่ต้านทานความหนาวได้ดีครับ ซึ่งเมื่อรวมน้ำหนักของแผ่นหินทั้ง 6000 แผ่นเข้าด้วยกันแล้วจะหนักถึงกว่า 120 ตันเลยทีเดียว
เนื่องจากเป็นปราสาทเล็ก ๆ จึงใช้เวลาไม่นานนัก ระหว่างทางกลับก็จะได้พบเห็นทัศนียภาพประมาณนี้ครับ
ตรงนี้คือศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ที่พูดถึงข้างต้น (อยู่ทางซ้ายของภาพ)
แต่เนื่องจากผมมีเวลาไม่มากนักเนื่องจากรถบัสที่ต้องไปต่อใกล้จะมาแล้ว ซึ่งถ้าพลาดต้องรออีกเป็นชั่วโมงเลยครับ ก็เลยไม่ได้เข้า
ส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะข้างปราสาท
แบบจำลองโครงสร้างไม้ปราสาทแบบนี้อยู่ในร้านอาหารและของที่ระลึก ซึ่งมีของขึ้นชื่อคือโซบะ แต่อย่างที่บอกว่าผมมีเวลาน้อยเลยไม่มีโอกาสได้ลองกินดูครับ
อีกมุมก่อนจาก
อาจดูเหมือนว่าที่นี่เป็นปราสาทเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรมากนัก แต่ที่จริงปราสาทแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระขึ้นชื่อติดอันดับ 100 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น รับประกันได้จากชื่อ Kasumi-ga-Jō (霞ヶ城・かすみがじょう) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของปราสาทที่แปลได้ว่า "ปราสาทแห่งหมอก" ซึ่งในช่วงที่ซากุระบานก็จะบานสะพรั่งจนเหมือนเป็นหมอกล้อมปราสาทครับ (บางตำราก็ว่าที่ได้ชื่อนี้เป็นเพราะเวลามีข้าศึกบุก จะเกิดหมอกล้อมปราสาทไว้จนข้าศึกมองไม่เห็น)
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
หรือจะดูตอน Light Up ก็สวยไปอีกแบบ ซึ่งแต่ละช่วงของปีจะเปิดไฟสีแตกต่างกันไป แต่คงเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถขับรถไปเองได้มากกว่านะครับ
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)