ใครคือทายาทแห่งขอม? การอ้างสิทธิ์ความชอบธรรมระหว่างสยามกับกัมพูชา

การศึกษาครั้งนี้ได้ทบทวนการล่มสลายของนครวัด (ขอม) และการก่อรูปของรัฐไทย–ลาวในยุคต้น ผ่านกรอบการวิจัยสหวิทยาการ โดยทดสอบสมมติฐาน 2 แบบ ได้แก่ H1 ที่มองว่ารัฐเหล่านี้เกิดขึ้นจากการสืบทอดอำนาจผ่านการแตกสลายทางการเมืองของอังกอร์ และ H2 ที่มองว่ารัฐดังกล่าวถูกก่อตั้งโดยชนชาติไทที่อพยพมาจากจีนตอนใต้แล้วแทนที่ชาวเขมร

การวิเคราะห์ผสานหลักฐานจาก 3 มิติ ได้แก่ บันทึกประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะพงศาวดารจีน (ราชวงศ์ถัง ซ่ง หยวน และหมิง) ซึ่งสะท้อนความต่อเนื่องของระบบบรรณาการจากเจินละสู่สยาม มิใช่การแทนที่อย่างฉับพลัน, โบราณคดี ที่ชี้ให้เห็นว่าปราสาทและจารึกแบบขอมในสุโขทัย ลพบุรี และอยุธยา ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางพิธีกรรมและการปกครอง และ พันธุศาสตร์โบราณ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงของประชากรลุ่มน้ำโขงโบราณกับกลุ่มไทย–ลาวปัจจุบัน ในขณะที่ชาวกัมพูชาในยุคหลังมีการผสมกับชาวจามและญวน

โดยรวมแล้ว หลักฐานทั้งหมดสนับสนุน H1 อย่างชัดเจน รัฐไทย–ลาวยุคต้นน่าจะก่อรูปขึ้นจากการแตกสลายภายในของขอมมากกว่าการอพยพจากจีนตอนใต้ ข้อค้นพบนี้ท้าทายทั้งวาทกรรมชาตินิยมไทยที่มองว่ามีการอพยพยึดครอง และข้ออ้างชาตินิยมกัมพูชาที่ถือสิทธิ์สืบทอดอารยธรรมอังกอร์แต่เพียงฝ่ายเดียว อารยธรรมขอมควรถูกมองว่าเป็น มรดกร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่

 
1. บทนำ: ที่มาและเหตุผล

การถกเถียงเกี่ยวกับการล่มสลายของอังกอร์และการก่อรูปของรัฐไทย–ลาวในยุคต้น ถูกกำหนดทิศทางโดยการตีความทางชาตินิยมและอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย มี 2 แนวสำคัญ ได้แก่ (1) แนวชาตินิยม โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่เน้นการอพยพของชาวไทจากจีนตอนใต้ลงมายึดครอง และ (2) แนวมาร์กซิสต์หรือเสมอภาคนิยม ที่มองว่าชาวไทเป็นผู้รุกรานที่โค่นล้มขอมและมอญ ซึ่ง ทั้งสองแนวทางนี้มีจุดอ่อนร่วมกันคือ พึ่งพา แหล่งข้อมูลทุติยภูมิที่มีอคติ และการตีความเชิงวัฒนธรรมมากกว่าหลักฐานตรง ส่งผลให้เสี่ยงต่อการบิดเบือนจากแรงจูงใจทางการเมืองหรืออุดมการณ์
รูปที่ 1: แผ่นดินขอม
งานวิจัยนี้จึงเลือกใช้หลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงยุคขอมมากกว่า ได้แก่:
- พงศาวดารจีน (ราชวงศ์ถัง ซ่ง หยวน หมิง) จากบันทึกประวัติการทูตหรือการเข้าจิ้มก้องราชสำนักจีน
- หลักฐานร่วมสมัย เช่น จารึกสด๊กก๊อกธม (พ.ศ. 1596/ค.ศ. 1053) ซึ่งมีรายละเอียดการจัดตั้งระบบเทวราชาของเขมร และโครงสร้างการปกครอง
- หลักฐานโบราณคดี ในสุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ซึ่งมีศิลปะปราสาทขอมและจารึกบ่งชี้หน้าที่ของเทวสถานในการเป็นชุมสายทางการเมืองและเศรษฐกิจ
- ดีเอ็นเอโบราณ จากอังกอร์บอเรย์ และการศึกษาเปรียบเทียบพันธุกรรมไทย–ลาว–เขมร

ด้วยการเน้นหลักฐานจากสาขาเหล่านี้ งานวิจัยนี้มุ่งที่จะหลีกเลี่ยงการตีความที่ถูกชี้นำโดยอุดมการณ์ และสร้างการวิเคราะห์ที่ยึดหลักฐานเป็นอันดับแรก กรอบการวิจัยนี้เปิดโอกาสให้ทดสอบสมมติฐานที่แข่งขันกันสองประการ ได้แก่ H1 (การแตกสลายทางการเมือง) และ H2 (การอพยพ) เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐไทย–ลาวยุคต้นเป็นการสืบเนื่องของโครงสร้างการเมืองแบบอังกอเรียน หรือเป็นการแทนที่จากภายนอก

2. สมมุติฐาน:เรื่องเล่าต่างขั้วแห่งกำเนิดของรัฐไทย

ในการกำเนิดรัฐไทยนั้น มีสมมุติฐานที่มีน้ำหนักได้ 2 ทาง

สมมติฐานที่ 1 (H1): ชาวไทยในฐานะรัฐผู้สืบทอดขอมผ่านการแตกสลายทางการเมือง

- อ้างอิงจาก หลักฐานทางพันธุกรรม ที่แสดงถึงความต่อเนื่องระหว่างตัวอย่างดีเอ็นเอโบราณของชาวขอม (อังกอร์บอเรย์ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1–3 มีการผสมพันธุกรรมจากเอเชียใต้สูงประมาณ 40%) กับประชากรไทย–ลาวในปัจจุบัน ตรงกันข้ามกับชาวกัมพูชาปัจจุบันที่แสดงร่องรอยการผสมกับชาวจามและเวียดนามในภายหลัง

- สนับสนุนโดย หลักฐานทางโบราณคดี จากปราสาทและจารึกแบบขอมในสุโขทัย ลพบุรี และอยุธยา ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของอังกอร์ มากกว่าการแพร่กระจายวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว

- ได้รับการยืนยันจาก บันทึกพงศาวดารจีน ที่กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านจากเจินละ (Zhenla) มาสู่สยาม (暹) ซึ่งสอดคล้องกับการแตกสลายทางการเมือง มากกว่าการอพยพอย่างฉับพลัน

- บ่งชี้ว่ารัฐไทย–ลาวยุคต้น เช่น สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง เกิดขึ้นจากการอ่อนแรงทางการเมืองของอังกอร์ และการประกาศอำนาจตนเองของหัวเมืองภูมิภาค


สมมติฐานที่ 2 (H2): ชาวไทยในฐานะผู้ย้ายถิ่นจากจีนตอนใต้'

- มีรากฐานจาก แนวคิดชาตินิยม ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และงานประวัติศาสตร์รุ่นหลัง ซึ่งกล่าวว่ากลุ่มไทอพยพมาจากจีนตอนใต้ (ยูนนาน กว่างซี) ลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่

- เสนอว่าสุโขทัยและอยุธยาเกิดขึ้นในฐานะ รัฐใหม่ที่ก่อตั้งโดยประชากรอพยพ ซึ่งเข้ามาแทนที่หรือขับไล่อำนาจขอม

- สนับสนุนโดย พงศาวดารและจารึกไทย (เช่น จารึกสุโขทัยหลักที่ 2) ที่กล่าวถึงการ “ขับไล่ขอม”

- สอดคล้องกับ การตีความแบบมาร์กซิสต์และเสมอภาคนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่มองว่าชาวไทยเป็นผู้รุกรานจากภายนอก มากกว่าจะเป็นผู้สืบทอด

3. ระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology)

การศึกษานี้ใช้วิธีการแบบสหวิทยาการเชิงเปรียบเทียบ (comparative interdisciplinary approach) เพื่อประเมินสมมติฐาน H1 และ H2 โดยอ้างอิงหลักฐานจาก 3 สาขาหลัก ได้แก่ บันทึกประวัติศาสตร์ โบราณคดี และพันธุศาสตร์ประชากร

3.1 ขอบเขตและแหล่งข้อมูลหลัก (Scope and Sources of Evidence)

บันทึกประวัติศาสตร์ (Historical records): พงศาวดารจีนในราชวงศ์ต่าง ๆ ได้แก่ ถัง ซ่ง หยวน และหมิง รวมถึงจารึกขอมและไทย ตลอดจนงานประวัติศาสตร์ทุติยภูมิเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ

โบราณคดี (Archaeology): ปราสาทและจารึกแบบขอมในสุโขทัย ลพบุรี และอยุธยา ระบบการจัดการน้ำในภูมิภาค และรายงานการขุดค้นจากสำนัก EFEO และกรมศิลปากรไทย

พันธุศาสตร์ (Genetics): ดีเอ็นเอโบราณจากอังกอร์บอเรย์ (แหล่งวัดกมนู คริสต์ศตวรรษที่ 1–3) และการศึกษาดีเอ็นเอสมัยใหม่ของประชากรไทย ลาว และเขมร (Changmai et al., 2022; Kutanan et al., 2023)

3.2 กรอบการวิเคราะห์ (Analytical Framework)

วิธีตารางเปรียบเทียบ (Comparative Matrix Method) – จัดหมวดหมู่หลักฐานตามประเภท และทดสอบกับสมมติฐาน H1/H2

การตรวจสอบไขว้ (Triangulation) – ตรวจสอบความสอดคล้องของผลการค้นพบจากประวัติศาสตร์ โบราณคดี และพันธุศาสตร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การคาดการณ์ด้วยความระมัดระวัง (Extrapolation with Caution) – ใช้ข้อมูลการเลื่อนไหลทางพันธุกรรม (genetic drift) และการกระจายเชิงโบราณคดีในการอนุมาน โดยแยกแยะระหว่างหลักฐานตรงกับการสรุปเชิงเหตุผล

3.3 เกณฑ์การประเมิน (Evaluation Criteria)
ตารางด้านล่างกำหนดว่าหลักฐานที่คาดว่าจะพบจะเป็นอย่างไร หาก H1 หรือ H2 เป็นจริง:
 
 ตารางที่ 1: เกณฑ์การประเมิน


3.4 วิธีการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing Approach)

หากหลักฐานส่วนใหญ่สอดคล้องกับ H1 → แบบจำลอง ขอมแตกสลาย เกิดเป็นสยาม จะได้รับการสนับสนุน

หากหลักฐานส่วนใหญ่สอดคล้องกับ H2 → แบบจำลอง ไทอพยพมาแทนที่ขอม จะได้รับการสนับสนุน

ในกรณีที่หลักฐานมีความขัดแย้งกัน จะให้ความสำคัญกับ หลักฐานชั้นต้น (เช่น ดีเอ็นเอ โบราณคดี และจารึกร่วมสมัย) มากกว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่ถูกเขียนขึ้นภายหลัง
 
4. ผลลัพธ์และการวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Results and Comparative Analysis)

4.1 บันทึกประวัติศาสตร์ (Historical Records)
รูปที่ 2: หลักศิลาจารึกสุโขทัย
พงศาวดารจีน (ราชวงศ์ถัง ซ่ง หยวน หมิง): แสดงลำดับความต่อเนื่องจากฟูนาน → เจนละ → สยาม โดยในพงศาวดารราชวงศ์หมิงยังกล่าวถึงเหตุการณ์ปี ค.ศ. 1431 เมื่อกองทัพสยามโจมตีนครอังกอร์ และกษัตริย์ขอมต้องย้ายราชสำนักออกไป ไม่ปรากฏข้อความใดที่บันทึกว่าสยามคือผู้ย้ายถิ่นจากจีน → สนับสนุน H1
จารึกและพงศาวดารไทย (เช่น จารึกสุโขทัยหลักที่ 2): มีข้อความกล่าวถึงการ “ขับไล่ขอม” → สนับสนุน H2 แต่มีน้ำหนักอ่อน เพราะเป็นหลักฐานเชิงอุดมการณ์

4.2 โบราณคดี Archaeology
ภาพที่ 3: ปราสาทสามยอด ลพบุรี

-  ปราสาทในสุโขทัยและลพบุรี: ศาสนสถานแบบขอม (เช่น วัดพระพายหลวง ปราสาทสามยอด ศาลพระกาฬ) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บภาษี ประกอบพิธีกรรม และการบริหาร → สนับสนุน H1
-  แรงกดดันสิ่งแวดล้อม: งานวิจัยด้าน dendroclimatology (Buckley et al., 2010; Cook et al., 2012) แสดงให้เห็นถึงภัยแล้งและน้ำท่วมใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14–15 ซึ่งทำให้โครงข่ายชลประทานของอังกอร์ล่มสลาย → สนับสนุน H1

4.3 พันธุ์ศาสตร์ (Genetics)
ภาพที่ 4: การจัดกลุ่มทางพันธุกรรมของอาเซียนเมื่อเปรียบเทียบกับขอมโบราณ
- ดีเอ็นเอโบราณ (อังกอร์บอเรย์, ศตวรรษที่ 1–3): พบการผสมพันธุกรรมเอเชียใต้สูง (~40%) ลักษณะนี้ใกล้เคียงกับชาวไทย–ลาวปัจจุบัน แต่ลดลงในชาวกัมพูชาปัจจุบันเนื่องจากมีการผสมกับชาวจามและชาวเวียดนามในภายหลัง (Changmai et al., 2022) → สนับสนุน H1
- ดีเอ็นเอปัจจุบัน: กลุ่มไทย–ลาวใกล้เคียงกับขอมโบราณมากกว่าชาวกัมพูชาปัจจุบัน ซึ่งขัดแย้งกับสมมติฐาน “การอพยพจากจีนตอนใต้โดยสมบูรณ์” (Kutanan et al., 2023) → สนับสนุน H1; ขัดแย้งกับ H2

4.4 ตารางเปรียบเทียบ (Comparative Matrix)

ตารางที่ 2: ตารางเปรียบเทียบสมมติฐาน H1 และ H2


4.5 การวิเคราะห์โดยรวม (Overall Analysis)

หลักฐานโดยรวมชี้ไปอย่างชัดเจนว่า H1 (แบบจำลองขอมแตกสลาย) ได้รับการสนับสนุนมากกว่า ข้อมูลจากบันทึกประวัติศาสตร์ โบราณคดี และพันธุศาสตร์ ล้วนสอดคล้องกันว่ามีความต่อเนื่องระหว่างโครงสร้างทางการเมืองแบบอังกอเรียนกับรัฐไทย–ลาวยุคต้น ในทางตรงกันข้าม H2 (แบบจำลองการอพยพ) ได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากพงศาวดารแนวชาตินิยม ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลทุติยภูมิและมีกรอบเชิงอุดมการณ์ชัดเจน

เมื่อชั่งน้ำหนักหลักฐานเชิงสหวิทยาการแล้ว พบว่ารัฐไทย–ลาวยุคต้นไม่น่าเกิดจากการแทนที่โดยประชากรอพยพจากภายนอก แต่น่าจะเกิดจาก การแตกสลายของเครือข่ายการปกครองของขอม เอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่