เรื่องของผมกับแฟนที่อยากให้คุณได้รู้

(ก็อปปี้มาจาก blog ส่วนตัวของผมเองนะครับ)
บล็อกนี้ตั้งใจให้เป็นบล็อกฉลองครบรอบหนึ่งปีที่ผมกับพี่แป๋มคบกันในฐานะแฟน เพราะฉะนั้นก่อนอ่านช่วยดีใจกับผมหน่อยครับ ฮ่าๆๆ (ขอบคุณครับ)

ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ตอนที่หลายๆคนรู้ว่าเราคบกันก็ประหลาดใจพอสมควร เพราะคนรู้เรื่องน้อยและใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจ ผ่านไปหนึ่งปีแล้วผมมีบางเรื่องที่อยากเอามาเล่าเพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ บางเรื่องอยากให้เข้าใจพวกเรามากกว่าเดิม จึงออกมาเป็นบล็อกที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ครับ

1. เริ่มต้นที่เลิกให้ความสำคัญกับเรื่องความรัก

เราสองคนคบกันในวันที่ต่างคนต่างเลิกไขว่คว้าหาคู่ชีวิต…

ก่อนหน้านี้ผมก็อยากมีแฟนมาตลอดเหมือนผู้ชายส่วนใหญ่น่ะแหละ ก็จีบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย อกหักซ้ำๆ คำว่าซ้ำๆคือผมไม่ได้ทำตัวเองให้ดีขึ้นเลย แต่คิดเอาเองว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว เรียกร้องหาความรักที่ดีตอบแทน พร่ำเพ้อและดราม่ากับเรื่องความรักจะเป็นจะตาย เพื่อนๆผมอ่านย่อหน้านี้แล้วจะต้องพยักหน้าหงึกๆ ผมเคยเสียรุ่นน้องที่สนิทกันเพราะมันเบื่อที่ผมเยอะเรื่องนี้เหลือเกินมาแล้ว

ก่อนหน้าจะคบกับพี่แป๋มไม่กี่สัปดาห์ผมยังจีบคนอื่นอยู่เลย แน่นอนว่าแห้วรับประทาน ตอนนั้นมันเหนื่อยมาก เหนื่อยจนคิดว่า “พอเหอะ ไม่มีแฟนก็คงไม่เป็นไร” แล้วก็หยุดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ลงดื้อๆตรงนั้น

ผมโชคดีที่ทำงานที่เดียวกันกับพี่แป๋ม ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ่อยๆ ด้วยความที่ไม่ได้อยากจะจีบกัน ทำให้เราทั้งคู่ไม่พยายามเกินไปที่จะทำตัวดีต่อกัน เราเป็นตัวของตัวเอง พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เราจึงได้เรียนรู้ว่าอีกคนเป็นอย่างไรจริงๆ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากการเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการจีบ กรณีนั้นคนจีบก็มักจะนำเสนอด้านดีของตัวเองและปกปิดส่วนไม่ดีเพราะกลัวเขาไม่ชอบ แล้วก็ต้องมาปรับตัวกันเยอะตอนที่ตัดสินใจคบกันไปแล้ว คนที่ทนไม่ได้ก็เลิกกันไป เป็นที่มาของวลี “รู้ว่าเป็นอย่างนี้กูไม่คบหรอก” นั่นเอง

ความรักนั้นมีผลต่อชีวิตของเราทุกคนเยอะมาก บางครั้งมากเกินไป หลายครั้งมันผลักดันหรือตีกรอบให้กับความคิดเรามากเกินไป สังเกตง่ายๆใครที่ดราม่าเรื่องความรักอยู่เรื่อยๆก็เข้าข่ายนี้แหละ บางทีการเลิกคิดเรื่องนี้ก็ช่วยให้เรามีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ทำในสิ่งที่เรามีความสุข และถ้าโชคดีก็อาจจะเจอคนที่ชอบเรื่องคล้ายๆกันก็ได้ แต่ถึงแม้จะไม่เจอก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะถ้าทำได้อย่างนั้นเราก็มีความสุขกับชีวิตมากมายอยู่แล้ว

2. เข้าใจอย่างไม่บิดเบือน

ผมโชคดีมากที่ได้ไปสอนหนังสือที่เทคโนสุรนารีกับพี่แป๋ม ทำให้มีเวลานั่งคุยกับพี่แป๋มในรถไปกลับรวมแล้ว 6 ชั่วโมงเต็ม ที่ว่าโชคดีเพราะตอนนั้นผมจีบคนอื่นอยู่และพี่แป๋มมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำให้ผมได้ทำความเข้าใจวิธีคิดของพี่แป๋มอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่เอาความชอบไม่ชอบมาบิดเบือนภาพของพี่แป๋ม เรื่องนี้เป็นพื้นฐานสำคัญมากของความสัมพันธ์ของเราสองคน

เวลาที่พยายามหาคำตอบว่า “ทำไมเราสองคนถึงรักกันขนาดนี้” มันก็มักจะไปหยุดที่ความเข้าใจกันของเราสองคนเสมอ และความเข้าใจนั้นเป็นความเข้าใจที่ทำให้เกิดการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าเข้าใจกันและกันด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดว่า “เข้าใจ” แต่การกระทำยังทำให้รู้สึกว่าไม่ได้เข้าใจกันจริงๆ ซึ่งมักจะเป็นต้นตอของการบั่นทอนความรู้สึกดีๆของคู่รัก

เมื่อเราสองคนเห็นคุณค่าของความเข้าใจ เราก็จะปฏิบัติตัวโดยคำนึงถึงสิ่งนี้เป็นลำดับแรกเสมอ ในเวลาที่เราไม่พอใจกันนั้น เรามักจะคุยกันโดยเริ่มด้วยคำถามที่ว่า “ตอนนี้เราสองคนเข้าใจกันหรือยัง?” แล้วเราจึงพูดคุยเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากที่สุด และอธิบายให้กันและกันเข้าใจว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ทุกเหตุการณ์จึงไม่เคยจบลงที่ฝ่ายใดชนะ แต่จะจบลงที่เราสองคนเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งผมถือว่าชนะทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องดีที่สุดเลยใช่ไหมล่ะครับ

3. เรื่องพิเศษไม่จำเป็นต้องเกิดยาก

หลายคนน่าจะเคยได้ยินว่า “อย่าบอกรักบ่อยๆ เพราะมันจะไม่พิเศษ” ฟังดูก็มีเหตุผลดีเพราะเรามักจะชินกับเรื่องที่เกิดบ่อยๆ และเรามักจะเบื่อกับเรื่องที่เกิดซ้ำๆ แต่ผมกลับตั้งข้อสงสัยกับความคิดนี้และเลือกจะพิสูจน์ว่า “เรื่องดีๆ ไม่ว่าจะเกิดบ่อยแค่ไหนเราก็รู้สึกดี” (ลองคิดดูดีๆครับว่าพวกเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่า)

ผมชอบความคิดนี้เพราะมันผลักดันให้ผมพยายามทำเรื่องดีๆอยู่เสมอโดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพี่แป๋มจะเบื่อหรือเปล่า เมื่อไหร่ผมอยากจะบอกรักผมก็จะบอก ผมอยากทำอะไรให้ผมก็จะทำ และในวันพิเศษๆผมก็จะยิ่งอยากทำให้มันพิเศษขึ้นไปอีก ผมทำแบบนี้มา 365 วันแล้วและไม่เห็นว่าเราสองคนจะเบื่อตรงไหน

ถ้าคุณเบื่อที่จะบอกรักหรือเบื่อที่จะฟังคำว่ารักจากแฟน คำถามที่คุณควรจะถามตัวเองคือ “ยังรักเขาอยู่หรือเปล่า” มากกว่านะครับ

4. ทำเรื่องดีให้ใหญ่ ทำเรื่องร้ายให้เล็ก

ถ้าผมพูดว่า “เราไม่เคยทะเลาะกันเลย” แสดงว่าผมโกหก แต่ถ้าผมพูดว่า “ทุกๆวันคือวันที่ดีของเรา” …นี่คือความจริง

เราไม่ได้เห็นด้วยกันไปเสียทุกอย่าง หลายครั้งความคิดเราก็ไม่ตรงกัน บางครั้งก็ไม่พอใจกัน บางครั้งก็ทะเลาะกัน และแน่นอนว่าผมเคยทำให้พี่แป๋มร้องไห้

แต่สิ่งที่สำคัญคือเราไม่ทำอะไรที่ขยายอารมณ์ไม่พอใจอันนั้นให้ใหญ่กว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น เราไม่โพสอะไรลงใน Facebook เมื่อเรารู้สึกไม่ดีต่ออีกคน เราไม่เอาเรื่องที่ทะเลาะกันไปเล่าให้คนอื่นฟังก่อนที่เราจะได้คุยกัน เราไม่ตะโกนใส่กัน เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าสิ่งถัดไปที่เราอยากทำคือสิ่งเหล่านี้ เราจะหยุด…แล้วคุยกัน

การกระทำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการทำให้เรารู้สึกไม่ดีต่อกันยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ช่วยให้เราดีกันได้แน่ๆ เราจึงเลือกที่จะทำให้มันเล็กลง และเมื่อมันกลายเป็นเรื่องเล็ก มันก็ทำความเข้าใจกันง่ายขึ้น

ในทางตรงกันข้าม เราทำให้เรื่องดีๆแม้เพียงเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องสำคัญ ผมไม่เคยลืมที่จะบอกรักพี่แป๋มก่อนนอน เราเจอกันเท่าที่โอกาสอำนวย รู้สึกดีกับการได้เจอกันเล็กๆน้อยๆและปล่อยวางกับหลายๆครั้งที่เจอกันไม่ได้ เราชอบโพสเรื่องสนุกๆที่เราทำร่วมกันแล้วเรายิ้มลงใน Facebook เวลาคนอื่นเข้ามากด like หรือพูดคุยกับเราในเรื่องพวกนั้นเราก็ยิ่งรู้สึกดีกับเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน เราก็ยิ่งรู้สึกดีต่อกัน และเราก็ยิ่งรักกัน

เครื่องมือชิ้นเดียวกัน ถ้าเรารู้จักใช้มันสร้างความรู้สึกดีๆแทนที่จะใช้สร้างความไม่พอใจ มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากเลยล่ะ ไม่ผิดอะไรที่เราจะมีความสุขเวอร์ๆกับเรื่องขี้ปะติ๋ว และทำให้ความรู้สึกไม่ดีมันเล็กเสียจนไม่ต้องเก็บมาคิดมากนะครับ

5. ไม่มีความรักไหนที่เหมือนกัน

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจ พวกเราทุกคนล้วนแตกต่างกัน และเมื่อความรักต้องเกิดจากคนสองคนด้วยแล้ว โอกาสที่มันจะเหมือนกันก็แทบไม่มีเลย

จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ความรักไม่มีสูตรสำเร็จใดๆ ไม่มีรูปแบบใดที่ทำตามแล้วจะได้ผลเสมอ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ของความรักจากคนที่โชกโชนมากแค่ไหนมันก็เป็นได้แค่ตัวอย่างเท่านั้น

ผมอยากให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง มีความรักในแบบที่ตัวเองจะมีความสุข ไม่ฝืนตัวเองมากเกินไปเพื่อที่จะรักใครสักคน ผมเคยเป็นมาแล้ว และเมื่อไม่หลอกตัวเองผมต้องยอมรับว่าผมเป็นทุกข์มากกว่าสุขที่ต้องรักในแบบนั้น

สำหรับคนที่ยังตามหารักแท้ ลองถามตัวเองว่าเหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยก็หยุดบ้างก็ได้ ไว้มีแรงค่อยว่ากันอีกที ลองรักตัวเองให้มากกว่าเดิม ทำในเรื่องที่ตัวเองมีความสุข แล้วคุณอาจจะไขปริศนาความรักของตัวเองได้ในแบบที่ไม่ซ้ำกับของใครก็ได้

อย่าให้ความรักมาตีกรอบให้ชีวิต แต่จงใช้ความสุขของชีวิตเลือกรูปแบบของความรัก

อยากให้วันครบรอบหนึ่งปีของเราสองคน เป็นจุดเริ่มต้นความรักดีๆของหลายๆคนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่