"นายกฯคนกลาง" ดี/ไม่ดี หลากมุมมอง ..... มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
คนกลาง-หุ่นเชิด โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์

หลังเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพียงวันเดียว กลุ่มอาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
(นิด้า) ออกแถลงการณ์เสนอ "ทางออกจากวิกฤตของประเทศ" 4 ข้อ

1.เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว แม้จะยังไม่สำเร็จผลเรียบร้อย แต่เพื่อให้กระบวนการ
การปฏิรูปประเทศได้เริ่มต้นโดยไม่ต้องผูกพันกับผลของการเลือกตั้ง เห็นควรให้มี "รัฐบาลเพื่อการปฏิรูปประเทศ"
เป็นรัฐบาลคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ในการปฏิรูปประเทศ

2.รัฐบาลเพื่อการปฏิรูปประเทศ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีที่สังคมยอมรับ และให้ปลัดกระทรวง
แต่ละกระทรวงหรือบุคคลอื่นที่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี โดยมีภาระหน้าที่หลักสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปประเทศ

โดยมีกระบวนการในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ดังนี้

2.1 ให้รองประธานวุฒิสภา (เนื่องจากประธานวุฒิสภาถูกกล่าวหาจากการใช้อำนาจของประธานวุฒิสภามิชอบ)
เป็นผู้กราบบังคมทูลเสนอชื่อบุคคลสมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อพระมหากษัตริย์

2.2 เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีเสนอรายชื่อปลัดกระทรวงหรือ
บุคคลที่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงนั้นๆ

3.แก้ไขปัญหาชาวนาเป็นการเร่งด่วน

4.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศโดยกำหนดให้มีองค์กรในการปฏิรูปประเทศและกระบวนการ
ในการปฏิรูปประเทศต่อไปโดยมีหลักการสำคัญดังนี้

4.1 องค์กรในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ แบ่งออกเป็น สมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการกำกับ
การปฏิรูปประเทศไทย และคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ

4.2 ระยะเวลาในการปฏิรูปประเทศ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี

แถลงการณ์ดังกล่าว สะท้อนถึงความพยายามอธิบายให้เกิดคำตอบที่ชัดเจน ถึงกระบวนการได้มาซึ่งรัฐบาล
คนกลาง สมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศไทย และคณะกรรมการปฏิรูป
ต่างๆ ภายหลังการยอมลาออกของรัฐบาลรักษาการ

แม้กระนั้นก็ตาม มีคำถามที่ค้างคาอยู่อีกหลายประเด็น ยังไม่มีคำตอบชัดเจน อาทิ ถ้ารัฐบาลยอมลาออกแล้ว
กปปส.จะยุติการนำการชุมนุมหรือไม่ หรือจะมีกลุ่มแกนนำอื่นแปลงร่างใช้มวลชนกดดันรัฐบาลคนกลางให้
บริหารประเทศ สอดคล้องกับความคิดเห็นของ กปปส.ต่อไป

กปปส.จะกลายร่างเป็นคณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศไทย และส่งคนเข้าไปแทรกตัวอยู่ในคณะกรรมการ
ปฏิรูปต่างๆ หรือไม่

การได้ชื่อนายกฯคนกลาง ของรองประธานวุฒิสภา สามารถกระทำโดยอิสระเพียงใด การห้ามไม่ให้ประธาน
วุฒิสภาทำหน้าที่เสนอชื่อ เพราะถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจมิชอบนั้น ชอบด้วยหลักนิติธรรมหรือไม่ ในเมื่อศาล
ยังไม่ตัดสินย่อมถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

รวมทั้งการเสนอชื่อรัฐมนตรีจากปลัดกระทรวงหรือบุคคลที่เหมาะสมของนายกฯคนกลาง ต้องผ่านการเห็นชอบ
ยินยอมจาก กปปส.ด้วยหรือไม่

ประเด็นหัวใจของข้อข้องใจดังกล่าวข้างต้นก็คือ บทบาท ความสัมพันธ์ระหว่าง กปปส. กับรัฐบาลกลาง และ
องค์กรทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ใครใหญ่กว่าใคร ใครต้องฟังใคร

ที่สำคัญ คณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศไทย จะเป็นองค์กรซุปเปอร์อำนาจ เหนือรัฐบาลคนกลาง
หรือไม่

บทเรียนจากเมื่อครั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับคณะ คมช.ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการ
ทหารบก เป็นหัวหน้า เคยมีมาแล้ว จากความทับซ้อนของอำนาจ ความเห็นในการบริหารไม่สอดคล้องกัน

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะดำเนินการอย่างไร ในเมื่อสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบแล้วการเลือกตั้งยังดำเนินอยู่
แม้จะให้วุฒิสภาที่ยังคงอยู่ทำหน้าที่แทน แต่รัฐธรรมนูญกำหนดหน้าที่ที่ทำได้ไว้จำกัด ไม่มีข้อที่ว่าด้วยการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญ

การแก้ไขที่ว่าจึงต้องเป็นการยกเลิก หรือฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 เท่านั้น เข้าข่ายปฏิวัติเงียบ ใช่หรือไม่ กระบวนการ
ต่างๆ ที่วางไว้จึงจะเกิดขึ้นได้

ครับ คำตอบต่อประเด็นคำถามต่างๆ นี้ยังไม่ชัด รวมไปถึงสิทธิ เสรีภาพทุกๆ ด้าน สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ที่ผู้คนในสังคมควรจะมีในฐานะของความเป็นคน อาทิ สิทธิที่จะคิด เขียน แสดงออก วิพากษ์วิจารณ์ รวมตัว
ชุมนุมโดยมีกองกำลังป้องกันตนเองปิดกระทรวงศึกษาฯ ปิดโรงเรียน ปิดสะพาน ขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นต้น
ยังสามารถกระทำได้หรือไม่

ข้อเสนอให้มีคนกลางเพื่อเจรจาระหว่างรัฐบาลรักษาการกับ กปปส.ให้ถอยคนละก้าว คือรัฐบาลลาออก และ
กปปส.หยุดการชุมนุม สาระสำคัญไม่ได้อยู่แค่หยุดหรือไม่หยุดการชุมนุม

แต่อยู่ที่ใครจะกำกับรัฐบาลและองค์กรอำนาจใหม่ทั้งหลาย ให้ทำงานตรงกับความต้องการของคนกลุ่มที่คิดว่า
ความคิด ความเชื่อ แนวทางของข้าฯเท่านั้น คือความถูกต้อง

ถ้าทำงานไม่ถูกใจ หรือมีมวลมหาประชาชนกลุ่มใหม่ๆ ออกมากดดันบ้าง จะจัดการด้วยวิธีการใด

ไม่ต้องอื่นไกล เพียงประเด็นเดียว ห้ามนักการเมืองเข้ามายุ่งกับการปฏิรูปประเทศ ทางปฏิบัติทำได้จริงหรือไม่
ในโลกยุคการสื่อสารเทคโนโลยีก้าวไกลถึงขนาดนี้

ไม่ยุ่งโดยตรงแต่แสดงออกผ่านนอมินี ยิ่งหนักข้อและตรวจสอบได้ยาก ใช้วิธีกดดันผ่านสื่อนานาชนิด ที่พวกเขา
ครอบครองอยู่ แค่นี้คุณจะไปกีดกันได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน

ปิดหู ปิดตา ปิดรายการ ปิดสถานี หรือเอาคนพวกนี้ไปตัดหัว คั่วแห้ง จนหมดสิ้นได้จริงหรือ

...............


(ที่มา:มติชนรายวัน 20 ก.พ.2557)

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392898801&grpid=&catid=02&subcatid=0207


"ปริญญา เทวานฤมิตรกุล" แนะทางออกประเทศเลิกพึ่ง "คนกลาง"

"มติชนทีวี" พูดคุยกับ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและอาจารย์
ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุว่าตั้งใจวางบทบาทตัวเองเป็น "คอมเมนท์เตเตอร์"
หรือกรรมการข้างสนาม ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ในภาวะที่คนไทยแบ่งฝ่ายกันชัดเจน

<
<
<

-เหตุการณ์ 26 มกราคม ขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือ เข้าใจได้หรือไม่

เขาคงต้องการแสดงออกในทางการเมือง รัฐบาลก็อยากจะกลับไปสู่สภาพก่อนหน้ายุบสภา 9 ธ.ค. 56
เพราะตำแหน่งรักษาการ ทำไรไม่ได้ มันเหมือนออกทะเลไปเรื่อยๆ ต้องกลับสู่ที่ตั้ง ต้องทำตัวเลข ส.ส.
ให้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ให้ได้

ในทางกลับกัน กปปส. ก็ต้องหาทางให้ไม่ถึงให้ได้ ต้องขัดขวาง ซึ่ง ผมเข้าใจว่า เป็นเรื่องการเมือง
อยู่คนละข้าง แต่การเมืองก็ต้องมีกติกาอยู่นะ ต้องมีขอบเขต และผมคิดว่าสำคัญที่สุด คือ การเคารพสิทธิ
ซึ่งกันและกัน ประชาธิปไตยไม่ต้องคิดเหมือนกัน ไม่ต้องรักกัน ไม่ต้องเข้าใจกันก็ยังได้ สำคัญที่สุดต้อง
เคารพกันว่าอีกคนที่คิดต่างจากเรา เขาเป็นเจ้าของประเทศ คือ ถ้าเคารพกันแล้ว ต่อให้คิดต่างกัน ก็ยัง
สามัคคีกันได้

เรื่องพื้นฐานคือความเคารพกันว่าอีกคนมีสิทธิในความเป็นเจ้าของประเทศที่เท่ากับเราเพียงแต่ว่า การเมือง
แบบแบ่งข้างต้องการชนะ บางทีทำให้เลยเถิดไปสิ่งที่ไม่ควรเกิด

แต่สุดท้ายแล้ว “ประชาธิปไตย” จะเป็นทางออก เพราะทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะออกมาจากประชาธิปไตยหรือ
เผด็จการ ทุกรัฐบาลมีสิทธิทำผิดได้หมด แต่ระบอบที่รัฐบาลทำผิด แล้วประชานสามารถทักท้วงรัฐบาล
ได้ก็มีแต่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นนะครับ

ย้ำอีกครั้งรัฐบาลในทุกระบอบ มีสิทธิทำผิดได้หมด แต่ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ระบอบเดียว ที่เราจะทักท้วงได้
อยู่ร่วมประเทศกันได้ โดยไม่ต้องฆ่ากัน และผมคิดว่า เรามาไกลแล้ว ต้องเดินไปต่อ ไม่มีระบอบไหน ที่ทำให้
เราอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกัน มีความขัดแย้งก็ไม่ต้องฆ่ากัน ก็มีแต่ประชาธิปไตยเท่านั้นครับ

ถ้ามองในทางบวก ประชาชนคนไทยกำลังฝึกฝนประชาธิปไตยกันอยู่ ผมคิดว่า แม้สัญญาณความรุนแรงอาจ
จะมีมากขึ้น แต่ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่นับกลุ่มฮาร์ดคอร์รุนแรงหรือแกนนำแล้ว ถ้าดูประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เขา
เหมือนกันมากกว่าต่างกันนะครับ ผมคิดว่า โดยทั่วไปแล้วเรามีความอดทนกันมากขึ้น อดทนที่จะอยู่ร่วมกับ
คนที่คิดไม่เหมือนกัน ผมว่าเรามีมากขึ้นนะครับ

ความตื่นตัวเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่เคารพกันจะเป็นความรุนแรง ความตื่นตัวเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าสงคราม
กลางเมือง คือ พลเมืองที่ตื่นตัวทั้ง 2 ข้างจับปืนมาฆ่ากันนะครับ ฉะนั้น ความตื่นตัวอย่างเดียวไม่ได้ ตื่นตัว
เป็นเรื่องดี แต่ต้องอยู่ในวิถีทางของประชาธิปไตยด้วยครับ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392949997&grpid=&catid=02&subcatid=0202

ยังไม่จบค่ะ   ยังมี อีก  1  บทความ  อ้อ   ของอ.จ. ปริญญา ตามอ่านกัน
เต็มๆจาก link  ด้วย  ยิ้ม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่