คำพิพากษาศาลแพ่งปี 53 วันนั้นยันศาลแพ่งปี 57 วันนี้

ย้อนคำพิพากษาศาลแพ่งปี 53 ไม่ก้าวล่วงอำนาจบริหารออกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

คำพิพากษาศาลแพ่งวันนี้ แตกต่างจากคำพิพากษาในกรณีเดียวกันเมื่อปี 2553 ที่โฆษกพรรคเพื่อไทย เคยยื่นฟ้องขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ซึ่งในครั้งนั้นศาลให้เหตุผลว่า การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่มิอาจก้าวล่วงไปพิจารณา หรือทบทวนการใช้ดุลพินิจได้

การประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ถูกประกาศใช้อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง  รวมทั้งการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. หนึ่งในจำเลยคดีนี้ ที่นายถาวร   เสนเนียมได้ยื่นฟ้องต่อศาลนั้น  ได้มีการไปสืบค้นคำสั่งเดิมของศาลแพ่งในกรณีเดียวกันพบว่า

วันที่ 7 เมษายน 2553  นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เคยยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในลักษณะเดียวกัน โดยครั้งนั้นได้ยื่นฟ้อง คณะรัฐมนตรี, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.  เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานละเมิด  

และขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงของนายอภิสิทธิ์  และขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่สั่งยุติการแพร่ภาพออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล โดยให้ทั้งคู่สั่งห้ามหน่วยงานของรัฐ ยุติกระทำการที่จะเป็นอุปสรรคต่อการออกอากาศ รวมทั้งให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้ให้ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ สั่งระงับ หรือตัดสัญญาณ ออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล โดยมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสอง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องสั่งเชื่อมต่อสัญญาณแพร่ภาพ นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1389/2553 เพื่อมีคำสั่งต่อไป

มาวันที่ 19 เมษายน 2553 ศาลแพ่งได้นัดฟังคำพิพากษา โดยมีคำสั่งยกฟ้องของนายพร้อมพงศ์ หลังพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักร หรือในบางเขตท้องที่ได้ตามความจำเป็น

ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ให้การเห็นชอบแก่นายอภิสิทธิ์ จำเลยที่ 2 ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมเป็นการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ ศาลมิอาจก้าวล่วงไปพิจารณา หรือทบทวนการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารได้

นอก จากนี้นายอภิสิทธิ์ จำเลยที่ 2 ยังมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่พิเศษ 2/2553 ให้นายสุเทพ จำเลยที่ 3 เป็นผู้กำกับ  การปฏิบัติงานในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ  ทั้ง 2 คนย่อมมีอำนาจตามความใน มาตรา 9 (2) และ (3) แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  ที่จะใช้มาตรการอันจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้  ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45 วรรคสี่ ที่ว่าการห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่น เสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของ รัฐ

และตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่ง ยกเลิกคำสั่งของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ กรณีสั่งให้ยุติการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล และขอให้มีคำสั่งให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ สั่งห้ามหน่วยงานของรัฐ  เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่จะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและเพียงพอ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522   มิใช่เป็นการรับทราบข้อมูลข่าวสารทั่วๆ ไป โจทก์ย่อมมิใช่ผู้เสียหาย หรือเป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิการกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลแพ่งจึงพิพากษายกฟ้อง
19 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 18:12 น.
View 2069
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/97748.html

เมื่อวันนั้นปี 53 ท่านบอกว่า "การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่มิอาจก้าวล่วงไปพิจารณา หรือทบทวนการใช้ดุลพินิจได้" ใช้ได้อย่างเต็มที่

ฌ วันนี้ปี 57 ท่านได้บอกว่า " กฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหาร ในการออก พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเห็นว่า สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่การออก พรก. ฉุกเฉิน ดังกล่าว ต้องมีผลบังคับใช้กับ คนทุกกลุ่ม แต่ศาลเห็นว่า การออกประกาศ ของจำเลย นั้น เป็นการบังคับใช้ กับ ผู้ชุมนุม ที่มาชุมนุม ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ"
                                    
และได้สั่งอีกว่า ศาลจึงสั่งห้าม จำเลย 9 ข้อ(จำเลยคือ ศรส.)

1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม

2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม

3. ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม

4. ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม

5. ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม

6. ห้ามจำเลย สั่งห้ามบุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

7. ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ

8. ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร

9. ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด(เฮ้ออย่างนี้ไม่ตัดสินว่าการออก พรก.ฉุกเฉิน ผิดเลยหล่ะ)

วันนั้นและวันนี้(ไม่รู้ว่าคนที่พินิจพิจารณาท่านเป็นคนเดียวกันหรือปล่าว) ใช้ พรก.ได้เหมือนกันแต่คำตัดสินที่เป็นนัยสำคัญ กลับชั่งแตกต่างถึงเพียงนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่