ริโค่ใช้ชื่อ GR เฉยๆ โดยไม่มีสร้อยห้อยต่อท้ายอะไร
หากลองนับกันแล้ว GR รุ่นปี 2013 คือกล้องรุ่นที่ 10 ในอนุกรม GR และรุ่นที่ 5 ถ้านับเฉพาะ GR Digital
นับได้ว่าเป็นกล้องที่ผลิต และจำหน่ายอย่างยาวนานต่อเนื่องมากๆ โดยเฉลี่ยออกรุ่นใหม่ทุก 2 ปีอย่างสม่ำเสมอ
มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานเข้มแข็ง พร้อมด้วยแฟนนานุแฟนที่พร้อมจะสนับสนุนอยู่ตลอดเวลาอีกจำนวนมาก
ก่อนจะไปเรื่องอื่น ว่ากันเรื่องที่มีความสำคัญน้อยที่สุดกันก่อน คือ
สเป็ค
ที่จริงผมว่าหากพูดถึง GR เราไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องสเป็ค จับมาเทียบคุณภาพไฟล์ทีละพิกเซล หรือถามราคา
คนเล่น GR เพราะมันคือ GR เหมือนที่แฟน Leica ซื้อเพราะมันคือ Leica
แต่เอาสักหน่อย อย่างน้อยจะได้นึกออกว่าในตลาดนี้มันสู้กับใครบ้าง
APS-C ไม่มี low-pass filter ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
เลนส์ 28mm (Equi.) f/2.8
(ราคาสองหมื่นเก้า มีทอนค่ารถเมล์ เผื่อใครอยากลอง)
อย่างอื่นก็คล้ายๆ กับกล้องคอมแพ็กต์ไฮเอ็นด์ทั่วไป
#จบนะ
ข้ามไปเรื่องต่อไป
คู่แข่งในตลาดนี้ที่ชนกันเต็มๆ คือ
Nikon Coolpix A ที่สเป็คเหมือนกันเป๊ะแทบทุกกระเบียด
ผมว่าที่จริงแล้วน่าจะเป็นเซ็นเซอร์โซนี่รุ่นเดียวกันซะด้วยละมั้ง
เท่าที่เช็คสเป็คคร่าวๆ กับลองจับอยู่ประมาณ 2 นาที ถ้าจะมีอะไรเสียเปรียบ GR ก็อยู่ที่มีอะไรไม่ค่อยลงตัวอยู่นิดหน่อย
ตามประสากล้องตัวแรกในซีรีส์ แต่ RAW 14bits ก็เปิดโอกาสให้เล่นอะไรในภายหลังได้มากกว่า
แต่อันนี้ไม่ได้ลองเล่นเป็นจริงเป็นจังเลยพูดไม่ได้เต็มปาก
กล้องที่อยู่ในตลาดเดียวกันอีกรุ่นคือ
Fujifilm X100s
แต่มีข้อต่างกันหลายอย่าง ทั้งสไตล์กล้องและช่วงเลนส์ (35 มม. Vs 28 มม.)
ถ้าสับสนว่าจะซื้ออะไรดี ให้ดูช่วงเลนส์ที่ใช้เป็นหลักครับแล้วจะเลือกไม่ยาก แล้วแต่ใครชอบเลนส์ช่วงไหนเลย
อีกตัวหนึ่งคือ
Sigma DP1 Merrill (กำลังเป็นกระแสคลั่งใคล้ใน Olympus Club Thailand)
เป็นกล้อง APS-C ช่วงเลนส์ 28mm เหมือนกัน และใช้แบตฯ สหกรณ์รุ่นเดียวกันเสียด้วย
แต่ว่า DP Merrill มันค่อนข้างเป็นกล้องเฉพาะกิจ เอาไว้ถ่ายอะไรที่มันวิ่งหนีไปไหนไม่ได้เสียมากกว่า
ดูแล้วไม่น่าจะใช่คู่เทียบของกล้องในกลุ่มนี้ที่เน้นสแนป เอาไว้ถ่ายสารพัดสิ่งอันในชีวิตประจำวัน
กลับมาที่เรื่องของ Ricoh GR
บอดี้
เล็ก บาง กระทัดรัด พกพาง่าย ถ้าคิดว่าข้างในมันคือเซ็นเซอร์ขนาด APS-C แล้วละก็ มันจัดเป็นกล้องที่เล็กจนน่าประทับใจ
โครงสร้างแมกนีเซียมอัลลอย แข็งแกร่ง แน่นปึ้ก สัมผัสดี น้ำหนักดี จับถือมั่นใจ การควบคุมกล้องสะดวก
ถือแล้วดูภูมิฐานเป็นคนมีคุณภาพชีวิตดี
ติตรงไหนดีหว่า ...ตรงโลโก้ GR ละกัน
คือจะใหญ่โตไปไหน ถ้าผมซื้อ ผมจะเอาเทปดำแปะไม่ให้เห็น กล้องมันจะได้ดูเหมือนล่องหนหายตัวได้
เพราะออกแบบกล้องได้ดูเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ดึงดูดความสนใจประชาชน หยิบออกมาไม่มีใครสังเกตอยู่แล้ว
ติดตรงโลโก้นี่แหละ ขาวโร่ ใหญ่โตเบ้อเริ่มเทิ่ม ยกกล้องขึ้นมาทีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน
อย่างอื่นที่พอจะมีให้ติได้คือ
กริ๊ปแบนไปหน่อย ไม่เหมาะกับการจับถือตลอดเวลาหลายๆ ชั่วโมง มันจะเมื่อยมือ
แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกมากับบอดี้แบนบางพกง่าย ติดตัวได้ตลอดเวลา ตามประสากล้องสแนป
แบตเตอรี่อดทนตามปกติของกล้องคอมแพ็กต์ ถ่ายไปดูจอไป ดูภาพรีวิวไป เอามาเปิดเมนูเล่นปรับฟังก์ชั่นโน่นนี่ไปมา
ใช้สักค่อนวันถ่ายเกินสองร้อยรูปได้สบายๆ โดยไม่ต้องระวังมาก
แต่มีแบตสองก้อนสำหรับทริปเต็มวัน จะทำให้มั่นใจในชีวิตได้มากกว่า
ปุ่มแป้นต่างๆ
จัดวางได้ดีตามการใช้งานตาม workflow ของริโค่ ซึ่งมีปรัชญาในการใช้งานของตัวเอง ไม่ตามใจผู้ใช้เท่าไหร่
ยิ่งผมเพิ่งวางเพนแท็กซ์ K-3 ที่ออกแบบได้เอาใจช่างภาพกันสุดๆ เลยขัดไม้ขัดมือหน่อยกว่าจะปรับตัวได้
วงแหวนหน้าอยู่ลึกไปนิดนึง สไลด์นิ้วผ่านๆ แล้วมันไม่ค่อยหมุน ต้องตั้งอกตั้งใจกว่าจะหมุนได้
แต่
ปุ่มชดเชยแสงโดดเด่นเป็นสง่า เผลอไปโดนง่ายมาก จับกล้องหมุนไปหมุนมา มือไปโดนปุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ใช้กล้องวันนึง มีรูปที่ค่าแสงผิดเพราะชดเชยแสงโดยไม่ตั้งใจชั่วโมงหลายๆ รูป ต้องระวังสุดๆ
ปุ่มที่ผมเผลอกดโดยไม่ตั้งใจบ่อยๆ คือ
Fn1 กับ Fn2 แต่อันนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะมันยังหลบเลี่ยงง่าย
แต่ผมก็เผลอเปิดฟังก์ชั่นโน่นนี่นั่นโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ
สักสามสี่วันผ่านไป ก็คิดได้ว่าไม่ควรเอาฟังก์ชั่นอะไรไปใส่สองปุ่มนี้ ปล่อยมัน off ไปแหละดีแล้ว
ฟังก์ชั่นอะไรที่อยากปรับด่วนๆ ก็เอาไปใส่
ADJ. ซึ่งทำหน้าที่เป็นคานโยกหลังไปในตัว
จากเวลาปกติที่ ADJ. ทำหน้าที่โยกปรับความไวชัตเตอร์ (โหมด M) หรือ ISO (โหมดอื่นๆ)
ก็ให้กดลงตรงๆ ไปก็จะเปิดเมนูด่วนขึ้นมา 5 เมนูให้เลือกใส่อะไรที่ปรับบ่อยๆ ได้สะดวก
ข้อที่ไม่ชอบคือ คานโยก มันใช้ไม่มันมือเท่าแป้นหมุนครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นแป้นหมุนแบบกดได้ด้วยเหมือนพานาฯ จะแจ่ม
ผมไม่ค่อยได้ใช้
effect เท่าไหร่ (ที่จริงไม่ได้ใช้เลย) ผมก็เลยจัดการเปลี่ยนปุ่มที่ข้างกล้องเป็นเปิด ND filter แทน
เพราะใช้บ่อยมาก เลนส์ตัวนี้ให้คุณภาพดีที่ช่องรับแสงกว้าง
ผมเป็นพวกเน้นดีเทลเลยต้องเปิดกว้างสุด หรือเกือบสุดตลอด ต้องพึ่งพา
ND filter
Ricoh GR ก็มี ND filter มาให้ในกล้องเลย สะดวกสบายได้ใจไปเต็มๆ
จอสดใส สู้แดดได้สบาย ใหญ่โตมองเห็นเต็มตา ข้อมูลมาครบถ้วน
กล้องเปิดปิดได้เร็ว โฟกัสได้รวดเร็ว อยู่ระดับมาตรฐานของกล้องคอมแพ็กต์โปร การอ่านเขียนไฟล์ ก็ทำได้ไม่ชักช้า
เมนู และฟังก์ชั่นก็ตอบสนองดี โดยรวมๆ แล้วเป็นกล้องคอมแพ็กต์ที่ทำงานได้รวดเร็วทันใจ
ใช้งานทั่วไปแล้วไม่รู้สึกว่าการทำงานของกล้องมีอะไรกวนใจผู้ใช้งาน
ไฟช่วยโฟกัสสีเขียว ผมปิดตลอด สีสันมันผิดแผกจากชาวบ้านมาก คนอื่นเค้าไม่แดงก็ขาว นี่เขียวปี๋มาเลย
เปิดมาทีไรคนมองกันทั้งงาน คงคิดว่าใครพกเครื่องยิงเลเซอร์มาด้วย
การใช้งาน
ถ้าตั้งกล้องเป็นออโต้หรือโปรแกรม กล้องจะพยายามเลือกใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำๆ เข้าไว้
เพื่อให้ภาพมีความรู้สึกเคลื่อนไหวได้อารมณ์ life/dynamic แบบแนวทาง street/journalism อนุรักษ์นิยม
ช่องรับแสงก็มักจะเลือกให้ได้ระยะชัดลึกมากพอที่จะได้ฉากหลังชัดพอที่จะเล่าเรื่องได้
ซึ่งก็แคบกว่าแนวชัดตื้นสมัยนิยมอีกนั่นแหละ
สไตล์นี้ไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผมเท่าไหร่ และไม่มีทางจะบังคับให้มันเลือกแนวทางอื่นได้ด้วย
ซึ่ง PENTAX K-3 ที่เพิ่งผ่านมือผมไปอาทิตย์ก่อน มันสามารถเลือกแนวการปรับค่าได้ว่าชอบแนวไหน
แล้วปล่อยให้กล้องทำงานไปเองได้เลย พอมาใช้ GR ในอาทิตย์ถัดมาเลยต้องมาตั้งแมนนวลถ่ายเอง
หรือใช้ออโต้แล้วต้องระวังค่าเปิดรับแสงตลอด เลยขัดไม้ขัดมือไปหน่อย
ที่ดีคือมันมีโหมด TAv มาให้เหมือนเพนแท็กซ์ ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกมาก
แต่นั่นจะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าเป็นช่างภาพสตรีท/เจอนัลลิสต์เลือดบริสุทธิ์ ผ่านกล้องฟิล์ม ภาพขาวดำ หรือไลก้ามา
หรือถูกเทรนมาในแนวของ Henry Cartier Bresson จะพบว่าสไตล์ของกล้องนี้มันช่างใช้งานได้ลงตัวเสียนี่กระไร
เพราะกล้องออกแบบมาเฉพาะเจาะจงให้เป็นกล้อง Snap/Street แบบอนุรักษ์นิยมเต็มที่
พวกนักถ่ายภาพเลือดผสม หรือ mud blood อย่างผมต้องใช้เวลาเรียนรู้สักระยะกว่าจะปรับ workflow ให้ลงตัว
จัดเป็นกล้องที่มี learning curve สูง ต้องฝึกใช้และทำความคุ้นเคยอยู่พอสมควร กว่าจะบังคับมันได้ดั่งใจ
ช่วงเลนส์ 28 มม. ก็เป็นช่วงกว้างกว่าจะเป็นเลนส์สารพัดประโยชน์
เอาไปถ่ายคนแบบเน้นๆ ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ เพราะเก็บฉากหลังเข้าเฟรมเยอะเกินไป ควบคุมเรื่องราวได้ยาก
แถมเลนส์ก็ยังชัดลึกสูง และไฟล์คมชัดใสขอบจรดขอบ แทบไม่มีทางตัดเรื่องราวรอบตัวออกได้เลย
ช็อตเต็มตัวก็ยังต้องยืนห่างในระยะที่ perspective distortion สูงเกินกว่าจะเอามาใช้งานได้ง่ายๆ
ทำให้เป็นเลนส์เฉพาะกิจจริงๆ สำหรับทางยาวโฟกัสนี้ เหมาะสำหรับการใช้สแนปช็อต หรือสตรีทระยะประชิด
มากกว่าจะเป็นเลนส์กลางๆ สารพัดใช้เหมือนช่วง 35 มม. ซึ่งอันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนเลย ว่าใครถนัดช่วงทางยาวโฟกัสไหน
และเอาไปใช้งานอะไร ตัดสินแทนกันไม่ได้
[SR] Review: Ricoh GR กล้อง snap พันธุ์แท้
หากลองนับกันแล้ว GR รุ่นปี 2013 คือกล้องรุ่นที่ 10 ในอนุกรม GR และรุ่นที่ 5 ถ้านับเฉพาะ GR Digital
นับได้ว่าเป็นกล้องที่ผลิต และจำหน่ายอย่างยาวนานต่อเนื่องมากๆ โดยเฉลี่ยออกรุ่นใหม่ทุก 2 ปีอย่างสม่ำเสมอ
มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานเข้มแข็ง พร้อมด้วยแฟนนานุแฟนที่พร้อมจะสนับสนุนอยู่ตลอดเวลาอีกจำนวนมาก
ก่อนจะไปเรื่องอื่น ว่ากันเรื่องที่มีความสำคัญน้อยที่สุดกันก่อน คือสเป็ค
ที่จริงผมว่าหากพูดถึง GR เราไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องสเป็ค จับมาเทียบคุณภาพไฟล์ทีละพิกเซล หรือถามราคา
คนเล่น GR เพราะมันคือ GR เหมือนที่แฟน Leica ซื้อเพราะมันคือ Leica
แต่เอาสักหน่อย อย่างน้อยจะได้นึกออกว่าในตลาดนี้มันสู้กับใครบ้าง
APS-C ไม่มี low-pass filter ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
เลนส์ 28mm (Equi.) f/2.8
(ราคาสองหมื่นเก้า มีทอนค่ารถเมล์ เผื่อใครอยากลอง)
อย่างอื่นก็คล้ายๆ กับกล้องคอมแพ็กต์ไฮเอ็นด์ทั่วไป
#จบนะ
ข้ามไปเรื่องต่อไป
คู่แข่งในตลาดนี้ที่ชนกันเต็มๆ คือ Nikon Coolpix A ที่สเป็คเหมือนกันเป๊ะแทบทุกกระเบียด
ผมว่าที่จริงแล้วน่าจะเป็นเซ็นเซอร์โซนี่รุ่นเดียวกันซะด้วยละมั้ง
เท่าที่เช็คสเป็คคร่าวๆ กับลองจับอยู่ประมาณ 2 นาที ถ้าจะมีอะไรเสียเปรียบ GR ก็อยู่ที่มีอะไรไม่ค่อยลงตัวอยู่นิดหน่อย
ตามประสากล้องตัวแรกในซีรีส์ แต่ RAW 14bits ก็เปิดโอกาสให้เล่นอะไรในภายหลังได้มากกว่า
แต่อันนี้ไม่ได้ลองเล่นเป็นจริงเป็นจังเลยพูดไม่ได้เต็มปาก
กล้องที่อยู่ในตลาดเดียวกันอีกรุ่นคือ Fujifilm X100s
แต่มีข้อต่างกันหลายอย่าง ทั้งสไตล์กล้องและช่วงเลนส์ (35 มม. Vs 28 มม.)
ถ้าสับสนว่าจะซื้ออะไรดี ให้ดูช่วงเลนส์ที่ใช้เป็นหลักครับแล้วจะเลือกไม่ยาก แล้วแต่ใครชอบเลนส์ช่วงไหนเลย
อีกตัวหนึ่งคือ Sigma DP1 Merrill (กำลังเป็นกระแสคลั่งใคล้ใน Olympus Club Thailand)
เป็นกล้อง APS-C ช่วงเลนส์ 28mm เหมือนกัน และใช้แบตฯ สหกรณ์รุ่นเดียวกันเสียด้วย
แต่ว่า DP Merrill มันค่อนข้างเป็นกล้องเฉพาะกิจ เอาไว้ถ่ายอะไรที่มันวิ่งหนีไปไหนไม่ได้เสียมากกว่า
ดูแล้วไม่น่าจะใช่คู่เทียบของกล้องในกลุ่มนี้ที่เน้นสแนป เอาไว้ถ่ายสารพัดสิ่งอันในชีวิตประจำวัน
กลับมาที่เรื่องของ Ricoh GR
บอดี้
เล็ก บาง กระทัดรัด พกพาง่าย ถ้าคิดว่าข้างในมันคือเซ็นเซอร์ขนาด APS-C แล้วละก็ มันจัดเป็นกล้องที่เล็กจนน่าประทับใจ
โครงสร้างแมกนีเซียมอัลลอย แข็งแกร่ง แน่นปึ้ก สัมผัสดี น้ำหนักดี จับถือมั่นใจ การควบคุมกล้องสะดวก
ถือแล้วดูภูมิฐานเป็นคนมีคุณภาพชีวิตดี
ติตรงไหนดีหว่า ...ตรงโลโก้ GR ละกัน
คือจะใหญ่โตไปไหน ถ้าผมซื้อ ผมจะเอาเทปดำแปะไม่ให้เห็น กล้องมันจะได้ดูเหมือนล่องหนหายตัวได้
เพราะออกแบบกล้องได้ดูเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ดึงดูดความสนใจประชาชน หยิบออกมาไม่มีใครสังเกตอยู่แล้ว
ติดตรงโลโก้นี่แหละ ขาวโร่ ใหญ่โตเบ้อเริ่มเทิ่ม ยกกล้องขึ้นมาทีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน
อย่างอื่นที่พอจะมีให้ติได้คือ กริ๊ปแบนไปหน่อย ไม่เหมาะกับการจับถือตลอดเวลาหลายๆ ชั่วโมง มันจะเมื่อยมือ
แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกมากับบอดี้แบนบางพกง่าย ติดตัวได้ตลอดเวลา ตามประสากล้องสแนป
แบตเตอรี่อดทนตามปกติของกล้องคอมแพ็กต์ ถ่ายไปดูจอไป ดูภาพรีวิวไป เอามาเปิดเมนูเล่นปรับฟังก์ชั่นโน่นนี่ไปมา
ใช้สักค่อนวันถ่ายเกินสองร้อยรูปได้สบายๆ โดยไม่ต้องระวังมาก
แต่มีแบตสองก้อนสำหรับทริปเต็มวัน จะทำให้มั่นใจในชีวิตได้มากกว่า
ปุ่มแป้นต่างๆ
จัดวางได้ดีตามการใช้งานตาม workflow ของริโค่ ซึ่งมีปรัชญาในการใช้งานของตัวเอง ไม่ตามใจผู้ใช้เท่าไหร่
ยิ่งผมเพิ่งวางเพนแท็กซ์ K-3 ที่ออกแบบได้เอาใจช่างภาพกันสุดๆ เลยขัดไม้ขัดมือหน่อยกว่าจะปรับตัวได้
วงแหวนหน้าอยู่ลึกไปนิดนึง สไลด์นิ้วผ่านๆ แล้วมันไม่ค่อยหมุน ต้องตั้งอกตั้งใจกว่าจะหมุนได้
แต่ปุ่มชดเชยแสงโดดเด่นเป็นสง่า เผลอไปโดนง่ายมาก จับกล้องหมุนไปหมุนมา มือไปโดนปุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ใช้กล้องวันนึง มีรูปที่ค่าแสงผิดเพราะชดเชยแสงโดยไม่ตั้งใจชั่วโมงหลายๆ รูป ต้องระวังสุดๆ
ปุ่มที่ผมเผลอกดโดยไม่ตั้งใจบ่อยๆ คือ Fn1 กับ Fn2 แต่อันนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะมันยังหลบเลี่ยงง่าย
แต่ผมก็เผลอเปิดฟังก์ชั่นโน่นนี่นั่นโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ
สักสามสี่วันผ่านไป ก็คิดได้ว่าไม่ควรเอาฟังก์ชั่นอะไรไปใส่สองปุ่มนี้ ปล่อยมัน off ไปแหละดีแล้ว
ฟังก์ชั่นอะไรที่อยากปรับด่วนๆ ก็เอาไปใส่ ADJ. ซึ่งทำหน้าที่เป็นคานโยกหลังไปในตัว
จากเวลาปกติที่ ADJ. ทำหน้าที่โยกปรับความไวชัตเตอร์ (โหมด M) หรือ ISO (โหมดอื่นๆ)
ก็ให้กดลงตรงๆ ไปก็จะเปิดเมนูด่วนขึ้นมา 5 เมนูให้เลือกใส่อะไรที่ปรับบ่อยๆ ได้สะดวก
ข้อที่ไม่ชอบคือ คานโยก มันใช้ไม่มันมือเท่าแป้นหมุนครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นแป้นหมุนแบบกดได้ด้วยเหมือนพานาฯ จะแจ่ม
ผมไม่ค่อยได้ใช้ effect เท่าไหร่ (ที่จริงไม่ได้ใช้เลย) ผมก็เลยจัดการเปลี่ยนปุ่มที่ข้างกล้องเป็นเปิด ND filter แทน
เพราะใช้บ่อยมาก เลนส์ตัวนี้ให้คุณภาพดีที่ช่องรับแสงกว้าง
ผมเป็นพวกเน้นดีเทลเลยต้องเปิดกว้างสุด หรือเกือบสุดตลอด ต้องพึ่งพา ND filter
Ricoh GR ก็มี ND filter มาให้ในกล้องเลย สะดวกสบายได้ใจไปเต็มๆ
จอสดใส สู้แดดได้สบาย ใหญ่โตมองเห็นเต็มตา ข้อมูลมาครบถ้วน
กล้องเปิดปิดได้เร็ว โฟกัสได้รวดเร็ว อยู่ระดับมาตรฐานของกล้องคอมแพ็กต์โปร การอ่านเขียนไฟล์ ก็ทำได้ไม่ชักช้า
เมนู และฟังก์ชั่นก็ตอบสนองดี โดยรวมๆ แล้วเป็นกล้องคอมแพ็กต์ที่ทำงานได้รวดเร็วทันใจ
ใช้งานทั่วไปแล้วไม่รู้สึกว่าการทำงานของกล้องมีอะไรกวนใจผู้ใช้งาน
ไฟช่วยโฟกัสสีเขียว ผมปิดตลอด สีสันมันผิดแผกจากชาวบ้านมาก คนอื่นเค้าไม่แดงก็ขาว นี่เขียวปี๋มาเลย
เปิดมาทีไรคนมองกันทั้งงาน คงคิดว่าใครพกเครื่องยิงเลเซอร์มาด้วย
การใช้งาน
ถ้าตั้งกล้องเป็นออโต้หรือโปรแกรม กล้องจะพยายามเลือกใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำๆ เข้าไว้
เพื่อให้ภาพมีความรู้สึกเคลื่อนไหวได้อารมณ์ life/dynamic แบบแนวทาง street/journalism อนุรักษ์นิยม
ช่องรับแสงก็มักจะเลือกให้ได้ระยะชัดลึกมากพอที่จะได้ฉากหลังชัดพอที่จะเล่าเรื่องได้
ซึ่งก็แคบกว่าแนวชัดตื้นสมัยนิยมอีกนั่นแหละ
สไตล์นี้ไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผมเท่าไหร่ และไม่มีทางจะบังคับให้มันเลือกแนวทางอื่นได้ด้วย
ซึ่ง PENTAX K-3 ที่เพิ่งผ่านมือผมไปอาทิตย์ก่อน มันสามารถเลือกแนวการปรับค่าได้ว่าชอบแนวไหน
แล้วปล่อยให้กล้องทำงานไปเองได้เลย พอมาใช้ GR ในอาทิตย์ถัดมาเลยต้องมาตั้งแมนนวลถ่ายเอง
หรือใช้ออโต้แล้วต้องระวังค่าเปิดรับแสงตลอด เลยขัดไม้ขัดมือไปหน่อย
ที่ดีคือมันมีโหมด TAv มาให้เหมือนเพนแท็กซ์ ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกมาก
แต่นั่นจะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าเป็นช่างภาพสตรีท/เจอนัลลิสต์เลือดบริสุทธิ์ ผ่านกล้องฟิล์ม ภาพขาวดำ หรือไลก้ามา
หรือถูกเทรนมาในแนวของ Henry Cartier Bresson จะพบว่าสไตล์ของกล้องนี้มันช่างใช้งานได้ลงตัวเสียนี่กระไร
เพราะกล้องออกแบบมาเฉพาะเจาะจงให้เป็นกล้อง Snap/Street แบบอนุรักษ์นิยมเต็มที่
พวกนักถ่ายภาพเลือดผสม หรือ mud blood อย่างผมต้องใช้เวลาเรียนรู้สักระยะกว่าจะปรับ workflow ให้ลงตัว
จัดเป็นกล้องที่มี learning curve สูง ต้องฝึกใช้และทำความคุ้นเคยอยู่พอสมควร กว่าจะบังคับมันได้ดั่งใจ
ช่วงเลนส์ 28 มม. ก็เป็นช่วงกว้างกว่าจะเป็นเลนส์สารพัดประโยชน์
เอาไปถ่ายคนแบบเน้นๆ ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ เพราะเก็บฉากหลังเข้าเฟรมเยอะเกินไป ควบคุมเรื่องราวได้ยาก
แถมเลนส์ก็ยังชัดลึกสูง และไฟล์คมชัดใสขอบจรดขอบ แทบไม่มีทางตัดเรื่องราวรอบตัวออกได้เลย
ช็อตเต็มตัวก็ยังต้องยืนห่างในระยะที่ perspective distortion สูงเกินกว่าจะเอามาใช้งานได้ง่ายๆ
ทำให้เป็นเลนส์เฉพาะกิจจริงๆ สำหรับทางยาวโฟกัสนี้ เหมาะสำหรับการใช้สแนปช็อต หรือสตรีทระยะประชิด
มากกว่าจะเป็นเลนส์กลางๆ สารพัดใช้เหมือนช่วง 35 มม. ซึ่งอันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนเลย ว่าใครถนัดช่วงทางยาวโฟกัสไหน
และเอาไปใช้งานอะไร ตัดสินแทนกันไม่ได้