หลังจากมีข่าวใหญ่โตเรื่องให้เปลี่ยนสีจีวร ตั้งแต่ครูบาฝ่ายเหนือ และพระธรรมยุติ ซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าเรื่องจีวรที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ดังที่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า...
ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใดที่เราได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป
กรณีสีจีวรที่ถูกต้องนั้น ผมได้ค้นคว้าศึกษาจาก 3 แหล่งสำคัญคือ
1. พระวินัยปิฏก
2 .ข้อวัตรครูอาจารย์สายพระกรรมฐาน
3. ข้อคิดของพระนักปกครองมหานิกาย
****************************************************
1. พระวินัยปิฏก :
พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรนาของชาวมคธจึงได้มีพระพุทธดำริให้ตัดผ้าจีวร เป็นสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ มาต่อกัน จึงมีลักษณะเป็นผ้าที่เศร้าหมอง คือผู้อื่นมักไม่ต้องการไปตัดเย็บอีก เหมาะสมกับสมณะ ผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ที่เย็บต่อกันนั้น ปรากฏลวดลายเป็นลายคันนา ออกแบบโดยพระอานนท์ ดังปรากฏข้อความในพระวินัยปิฎก ว่า....
"อานนท์เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดิน ขึ้นเป็นคันนาสี่เหลี่ยม พูนคันนายาวทั้งด้านยาวและด้านกว้าง พูนคันนาคั่นในระหว่างๆ ด้วยคันนาสั้นๆ พูนคันนาเชื่อมกันทาง ๔ แพร่ง ตามที่ซึ่ง คันนากับคันนา ผ่านตัดกันไปหรือไม่? ...เธอสามารถแต่งจีวรของภิกษุทั้งหลาย ให้มีรูปอย่างนั้นได้หรือไม่?"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ กลับมาพระนครราชคฤห์อีก ครั้งนั้นท่านพระอานนท์แต่งจีวรสำหรับภิกษุหลายรูป ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้กราบทูลว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคจงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า."
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมิกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด อานนท์ได้ซาบซึ้ง ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวย่อ ได้โดยกว้างขวาง ...จีวรจักเป็นผ้าที่ตัดแล้ว เศร้าหมองด้วยศัสตรา สมควรแก่สมณะ และพวกศัตรูไม่ต้องการ"
>>> สรุปจีวรควรมีสีที่เศร้าหมองศัสตรา (ไม่ใช่สีสดใส) และไม่เป็นที่ต้องการ
และตามพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 นั้นกล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงทรงจีวรสีครามล้วน (น้ำเงิน)
ไม่พึงทรงจีวรสีเหลืองล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีแดงล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีบานเย็นล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีดำล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีแสดล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีชมพูล้วน
ไม่พึงทรงจีวรที่ไม่ตัดชาย ไม่พึงทรงจีวรมีชายยาว ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นแผ่น ไม่พึงสวมเสื้อ ไม่พึงสวมหมวก ไม่พึงทรงผ้าโพก รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตน้ำย้อม 6 อย่าง คือ
น้ำย้อมเกิดแต่รากหรือเหง้า 1
น้ำย้อมเกิดแต่ต้นไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่เปลือกไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ใบไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ดอกไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ผลไม้ 1
****************************************************
2 .ข้อวัตรครูอาจารย์สายพระกรรมฐาน : จากหนังสือ พระวินัย 227 ภาคปฏิบัติ หัวข้อ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ 8 โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร กล่าวว่า....
"...หลวงปู่มั่น ท่านมีญาณเป็นวิสัยของสัพพัญญูพุทธเจ้า ท่านก็เข้าญาณอธิฐานถึงพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้า และพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายครั้งพุทธกาลโน้น ด้วยกรรมนิมิตมาแสดงให้ฟังว่า ผ้าย้อมสีแก่นขนุนใช้ได้ สีมะเขือสุกเหลืองแก่ๆ และสีวัวโทนนั่นแหละใช้ได้
ถ้าเป็นสีเหลืองแสดใช้ไม่ได้ สีเหลืองอ่อนก็ใช้ไม่ได้ จะเอาแก่นหาด แก่นฝาง แก่นเข มาย้อมก็ใช้ไม่ได้ ปรับอาบัติปาจิตตีย์ ต้องใช้แก่นขนุนย้อมจึงใช้ได้ นั่นแหละ ทำลายสี ย้อมสีให้ได้สีของบรรพชิตให้หมดทุกอย่างจึงใช้ได้
หลวงปู่มั่นท่านมีญาณใหญ่ท่านจึงพาลูกศิษย์ทั้งหลายประพฤติวัตรปฏิบัตรเรื่องผ้าทำอย่างนี้ถูกต้อง ไม่ผิด ฉะนั้น จึงเป็นพระที่สมบูรณ์ทุกอย่าง"
****************************************************
3. ข้อคิดของพระนักปกครองมหานิกาย : หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง มีคนกราบเรียนว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมดห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า .....
“....ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรักหรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ..! "
****************************************************
และจากแนวทางปฏิบัติของครูอาจารย์พระกรรมฐานรุ่นถัดมาก็พบว่า โดยส่วนใหญ่ท่านใช้จีวรสีกรัดเป็นปกติ แต่เมื่อเข้าพิธีในวังหลวงท่านก็ห่มจีวรตามพระราชนิยม
สรุปคือ จีวรใช้ได้หลายสีเท่าที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย ประกอบกับสมัยโบราณกาลสีจีวรถุกย้อมจากธรรมชาติ เช่น แก่นไม้ ดอกไม้ ยางไม้ เปลือกไม้ ดังนั้นสีจีวรในยุคโบราณเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสีเดียวเสมอกัน
กรณีสีจีวร ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใดที่เราได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป
กรณีสีจีวรที่ถูกต้องนั้น ผมได้ค้นคว้าศึกษาจาก 3 แหล่งสำคัญคือ
1. พระวินัยปิฏก
2 .ข้อวัตรครูอาจารย์สายพระกรรมฐาน
3. ข้อคิดของพระนักปกครองมหานิกาย
****************************************************
1. พระวินัยปิฏก :
พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรนาของชาวมคธจึงได้มีพระพุทธดำริให้ตัดผ้าจีวร เป็นสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ มาต่อกัน จึงมีลักษณะเป็นผ้าที่เศร้าหมอง คือผู้อื่นมักไม่ต้องการไปตัดเย็บอีก เหมาะสมกับสมณะ ผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ที่เย็บต่อกันนั้น ปรากฏลวดลายเป็นลายคันนา ออกแบบโดยพระอานนท์ ดังปรากฏข้อความในพระวินัยปิฎก ว่า....
"อานนท์เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดิน ขึ้นเป็นคันนาสี่เหลี่ยม พูนคันนายาวทั้งด้านยาวและด้านกว้าง พูนคันนาคั่นในระหว่างๆ ด้วยคันนาสั้นๆ พูนคันนาเชื่อมกันทาง ๔ แพร่ง ตามที่ซึ่ง คันนากับคันนา ผ่านตัดกันไปหรือไม่? ...เธอสามารถแต่งจีวรของภิกษุทั้งหลาย ให้มีรูปอย่างนั้นได้หรือไม่?"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ กลับมาพระนครราชคฤห์อีก ครั้งนั้นท่านพระอานนท์แต่งจีวรสำหรับภิกษุหลายรูป ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้กราบทูลว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคจงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า."
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมิกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด อานนท์ได้ซาบซึ้ง ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวย่อ ได้โดยกว้างขวาง ...จีวรจักเป็นผ้าที่ตัดแล้ว เศร้าหมองด้วยศัสตรา สมควรแก่สมณะ และพวกศัตรูไม่ต้องการ"
>>> สรุปจีวรควรมีสีที่เศร้าหมองศัสตรา (ไม่ใช่สีสดใส) และไม่เป็นที่ต้องการ
และตามพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 นั้นกล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงทรงจีวรสีครามล้วน (น้ำเงิน)
ไม่พึงทรงจีวรสีเหลืองล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีแดงล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีบานเย็นล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีดำล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีแสดล้วน
ไม่พึงทรงจีวรสีชมพูล้วน
ไม่พึงทรงจีวรที่ไม่ตัดชาย ไม่พึงทรงจีวรมีชายยาว ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นลายดอกไม้ ไม่พึงทรงจีวรมีชายเป็นแผ่น ไม่พึงสวมเสื้อ ไม่พึงสวมหมวก ไม่พึงทรงผ้าโพก รูปใดทรง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตน้ำย้อม 6 อย่าง คือ
น้ำย้อมเกิดแต่รากหรือเหง้า 1
น้ำย้อมเกิดแต่ต้นไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่เปลือกไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ใบไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ดอกไม้ 1
น้ำย้อมเกิดแต่ผลไม้ 1
****************************************************
2 .ข้อวัตรครูอาจารย์สายพระกรรมฐาน : จากหนังสือ พระวินัย 227 ภาคปฏิบัติ หัวข้อ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ 8 โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร กล่าวว่า....
"...หลวงปู่มั่น ท่านมีญาณเป็นวิสัยของสัพพัญญูพุทธเจ้า ท่านก็เข้าญาณอธิฐานถึงพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้า และพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายครั้งพุทธกาลโน้น ด้วยกรรมนิมิตมาแสดงให้ฟังว่า ผ้าย้อมสีแก่นขนุนใช้ได้ สีมะเขือสุกเหลืองแก่ๆ และสีวัวโทนนั่นแหละใช้ได้
ถ้าเป็นสีเหลืองแสดใช้ไม่ได้ สีเหลืองอ่อนก็ใช้ไม่ได้ จะเอาแก่นหาด แก่นฝาง แก่นเข มาย้อมก็ใช้ไม่ได้ ปรับอาบัติปาจิตตีย์ ต้องใช้แก่นขนุนย้อมจึงใช้ได้ นั่นแหละ ทำลายสี ย้อมสีให้ได้สีของบรรพชิตให้หมดทุกอย่างจึงใช้ได้
หลวงปู่มั่นท่านมีญาณใหญ่ท่านจึงพาลูกศิษย์ทั้งหลายประพฤติวัตรปฏิบัตรเรื่องผ้าทำอย่างนี้ถูกต้อง ไม่ผิด ฉะนั้น จึงเป็นพระที่สมบูรณ์ทุกอย่าง"
****************************************************
3. ข้อคิดของพระนักปกครองมหานิกาย : หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง มีคนกราบเรียนว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมดห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า .....
“....ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรักหรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ..! "
****************************************************
และจากแนวทางปฏิบัติของครูอาจารย์พระกรรมฐานรุ่นถัดมาก็พบว่า โดยส่วนใหญ่ท่านใช้จีวรสีกรัดเป็นปกติ แต่เมื่อเข้าพิธีในวังหลวงท่านก็ห่มจีวรตามพระราชนิยม
สรุปคือ จีวรใช้ได้หลายสีเท่าที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย ประกอบกับสมัยโบราณกาลสีจีวรถุกย้อมจากธรรมชาติ เช่น แก่นไม้ ดอกไม้ ยางไม้ เปลือกไม้ ดังนั้นสีจีวรในยุคโบราณเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสีเดียวเสมอกัน