เช้าวันก่อน ลมพัดโชยมาเบาๆ แต่เย็นเข้าไปถึงกระดูก ผมตื่นขึ้นจากที่นอน กราบพระ ๓ หนแล้วรีบขับรถไปที่โรงอาหารหอพักนพรัตน์
"วันนี้ทำไมเย็นจังเลย" ผมรำพึงกับใจตัวเอง
สักพักพอผมมาถึงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ผมก็รีบวิ่งแจ้นเพื่อไปต่อคิวซื้อกับเข้าไปถวายภัตตาหารเช้าพระที่วัด
"ป้าครับ เอาแกงฟักทอง ๒๕ บาท แล้วก็ข้าวเปล่า ๕ บาทครับ" ผมยกมือไหว้แล้วก็สั่งกับข้าวไปอย่างรีบร้อน
"จ้า วันนี้มาสายนะ แต่คงทันถวายจังหันอยู่หรอก" ป้าแม่ค้า กล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ครับป้า" ผมตอบกลับแบบสั้นๆ เพระากลัวไม่ทันเวลาที่พระอาจารย์จะลงมาฉันท์เช้า
"เรียบร้อยค่ะ" ป้ายื่นถุงแกงมาให้ผม
"นี่ครับ" ผมยื่นตังเหรียญให้ท่านไป ๓๐ บาท พอดิบพอดี เพราะไม่ยาอกมัวรอตังค์ทอน
แต่ทันใดนั้น ผมก็เจอกับรุ่นพี่คนนึงที่ไปวัดป่าโนนม่วงทุกวัน พี่เขาเรียนปริญญาเอกเกี่ยวกับเกษตร ซึ่งเรารู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น
เมื่อเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทักทาย ผมก็เลยเข้าไปสวัสดีตามคุณธรรมที่พระสอนคืออ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ไว้ก่อน
"สวัสดีครับพี่ ผมโชคนะครับ เราเจอกันที่วัดป่าโนนม่วงไงครับ" ผมเริ่มบทสนทนาด้วยคำพูดดีๆ เท่าที่ผมพอจะนึกได้
"อ้อ ครับพี่เจอโชคที่วัดทุกวันเลย น้องไปวัดทุกวันหรือครับ" พี่ท่านยิงคำถามยังกะนักข่าวช่องเจ็ด
วินาทีนั้น ผมเหมือนคนสิ้นคิด ตัวชา หน้าซีด มือสั่น ลิ้นแข็ง หน้าแข็งขนลุก จมูกบาน ฟันเหยิน แอร๊ย ผมจะตอบท่านไปยังไงละเนี่ย
จนสักพักผมก้พูดกลับไปว่า"ผมได้เพื่อนดีแนะนำหนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้ไปทุกวันหรอกพี่ แต่พอผมเข้าใจผมก็เลยจะพยายามไปให้มากที่สุด"
แหม ผมภูมิใจในคำตอบของตัวเองจัง เหมือนกับว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาสิงสถิตอยู่ในหัวใจ
"เดี๋ยวก่อน การมาวัดบ่อยๆ ทำให้โชคเข้าใจว่าอะไรหรือ" พี่ท่านยิงคำถามลึกซึ้งกว่าเดิม
ผมก็ไม่รู้จะตอบกระไร เพื่อนก็ไม่อยู่ พระอาจารย์ก็อยู่วัด ตายละหว่า ผมจะตอบยังไงให้ไม่เสียหน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์วะเนี่ย
ทันใดนั้นลิ้นผมก็ทขยับตัวทำงาน
"อ้อ ผมมาวัดแล้วได้เรียนรู้ว่า เราเป็นคนดีได้ ด้วยการละกิเลสครับ"
พอพูดจบ ฮึ้ย คำพูดหล่อเหมือนหน้าตาเลยว่ะ ผมภูมิใจที่ตอบได้
พี่ท่านก็ยิ้มเฉ่ง แล้วเดินมาบีบคอ และตบหลังผมแรงๆ ๒-๓ ทีครับ
"ปะ ไปวัดกันเถอะเรา" พี่ด๊อกเตอร์กล่าวเตือนสติ หลังจากที่เห็นผมยืนมโนอยู่หน้าหอ ๙ หลังนานเกิน จนจะไม่ทันจังหันเช้า
และนี่คือบทสนทนาสั้นๆ ก่อนไปวัดป่าโนนม่วง มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ อิๆ
บทสนทนาสั้นๆ จากวัดป่าโนนม่วง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
"วันนี้ทำไมเย็นจังเลย" ผมรำพึงกับใจตัวเอง
สักพักพอผมมาถึงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ผมก็รีบวิ่งแจ้นเพื่อไปต่อคิวซื้อกับเข้าไปถวายภัตตาหารเช้าพระที่วัด
"ป้าครับ เอาแกงฟักทอง ๒๕ บาท แล้วก็ข้าวเปล่า ๕ บาทครับ" ผมยกมือไหว้แล้วก็สั่งกับข้าวไปอย่างรีบร้อน
"จ้า วันนี้มาสายนะ แต่คงทันถวายจังหันอยู่หรอก" ป้าแม่ค้า กล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ครับป้า" ผมตอบกลับแบบสั้นๆ เพระากลัวไม่ทันเวลาที่พระอาจารย์จะลงมาฉันท์เช้า
"เรียบร้อยค่ะ" ป้ายื่นถุงแกงมาให้ผม
"นี่ครับ" ผมยื่นตังเหรียญให้ท่านไป ๓๐ บาท พอดิบพอดี เพราะไม่ยาอกมัวรอตังค์ทอน
แต่ทันใดนั้น ผมก็เจอกับรุ่นพี่คนนึงที่ไปวัดป่าโนนม่วงทุกวัน พี่เขาเรียนปริญญาเอกเกี่ยวกับเกษตร ซึ่งเรารู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น
เมื่อเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทักทาย ผมก็เลยเข้าไปสวัสดีตามคุณธรรมที่พระสอนคืออ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ไว้ก่อน
"สวัสดีครับพี่ ผมโชคนะครับ เราเจอกันที่วัดป่าโนนม่วงไงครับ" ผมเริ่มบทสนทนาด้วยคำพูดดีๆ เท่าที่ผมพอจะนึกได้
"อ้อ ครับพี่เจอโชคที่วัดทุกวันเลย น้องไปวัดทุกวันหรือครับ" พี่ท่านยิงคำถามยังกะนักข่าวช่องเจ็ด
วินาทีนั้น ผมเหมือนคนสิ้นคิด ตัวชา หน้าซีด มือสั่น ลิ้นแข็ง หน้าแข็งขนลุก จมูกบาน ฟันเหยิน แอร๊ย ผมจะตอบท่านไปยังไงละเนี่ย
จนสักพักผมก้พูดกลับไปว่า"ผมได้เพื่อนดีแนะนำหนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้ไปทุกวันหรอกพี่ แต่พอผมเข้าใจผมก็เลยจะพยายามไปให้มากที่สุด"
แหม ผมภูมิใจในคำตอบของตัวเองจัง เหมือนกับว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาสิงสถิตอยู่ในหัวใจ
"เดี๋ยวก่อน การมาวัดบ่อยๆ ทำให้โชคเข้าใจว่าอะไรหรือ" พี่ท่านยิงคำถามลึกซึ้งกว่าเดิม
ผมก็ไม่รู้จะตอบกระไร เพื่อนก็ไม่อยู่ พระอาจารย์ก็อยู่วัด ตายละหว่า ผมจะตอบยังไงให้ไม่เสียหน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์วะเนี่ย
ทันใดนั้นลิ้นผมก็ทขยับตัวทำงาน
"อ้อ ผมมาวัดแล้วได้เรียนรู้ว่า เราเป็นคนดีได้ ด้วยการละกิเลสครับ"
พอพูดจบ ฮึ้ย คำพูดหล่อเหมือนหน้าตาเลยว่ะ ผมภูมิใจที่ตอบได้
พี่ท่านก็ยิ้มเฉ่ง แล้วเดินมาบีบคอ และตบหลังผมแรงๆ ๒-๓ ทีครับ
"ปะ ไปวัดกันเถอะเรา" พี่ด๊อกเตอร์กล่าวเตือนสติ หลังจากที่เห็นผมยืนมโนอยู่หน้าหอ ๙ หลังนานเกิน จนจะไม่ทันจังหันเช้า
และนี่คือบทสนทนาสั้นๆ ก่อนไปวัดป่าโนนม่วง มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ อิๆ