เป็นวัตรเพื่อพัฒนาจิต มีอานิสงส์มาก ซึ่งท่านสามารถนำไปปฏิบัติให้เหมาะกับตนได้ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูง
วัตรพิเศษ : ปัจจาคติกวัตร หรือคตปัจจาคติกวัตร
วัตรเกี่ยวกับการนำกรรมฐานไปและนำกลับ เรียกว่า คตปัจจาคติกวัตร (เป็นวัตรเพื่อพัฒนาจิต ไม่ใช่วัตร ๑๔ ประเภทใน
พระวินัย เช่น อาคันตุกวัตร เป็นต้น) ท่านอธิบายวัตรนี้ไว้ในเรื่อง
โคจรสัมปชัญญะ คือ การมีอารมณ์กรรมฐานไว้ภายในใจ
1
ในทุกที่ๆโคจรไป
ท่านยกตัวอย่างภิกษุ ๔ ประเภท ไ้ด้แก่
๑. ภิกษุบางรูปนำ (กรรมฐาน) ไป ไม่นำ (กรรมฐาน) กลับ
๒. ภิกษุบางรูปนำกลับ ไม่นำไป
๓. ภิกษุบางรูปนำไป ไม่นำกลับ
๔. ภิกษุบางรูปนำไปด้วย นำกลับด้วย (เป็นรูปที่ชื่อว่าบำเพ็ญวัตรนี้แท้จริง)
ท่านยกตัวอย่างวิถีชีวิตของภิกษุประเภทที่ ๔ ว่าหมายถึงภิกษุรูปที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ ด้วยการจงกรมและด้วยการนั่งใน
เวลากลางวัน กลางคืนตอนปฐมยามก็ปฏิบัติอย่างนั้น แล้วนอนตอนมัชฌิมยาม ตื่นแล้วนั่งและจงกรมตอนปัจฉิมยาม
กระทำการกวาดลานพระเจดีย์ ลานโพธิ์ รดน้ำต้นโพธิ์ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันไว้ แล้วไปทำวัตรแก่อุปัชฌาย์หรืออาจารย์เป็นต้น จากนั้น
ชำระสรีรกายกลับเข้าที่อยู่ ประกอบเนืองๆซึ่งกรรมฐาน ได้เวลาแล้วออกบิณฑบาตโดยกำหนดกรรมฐาน
1อย่างใดอย่างหนึ่งไป ทุกขณะ
ที่เดินไป ถ้าผ่านลานเจดีย์หรือลานโพธิ์ก็พักกรรมฐานแล้วไหว้ และมนสิการกรรมฐาน
2เดินเข้าไปสู่ละแวกบ้าน หากชาวบ้านนิมนต์ให้
ฉันในเรือน ก็เข้าไปฉันโดยไม่ทิ้งกรรมฐาน เมื่อถึงตอนกล่าวธรรมก็พักกรรมฐาน เสร็จแล้วก็กำหนดกรรมฐานกลับไปยังที่อยู่
ระดับของความเคร่งครัดในการบำเพ็ญวัตรนี้นั้น เคร่งถึงขนาดที่ว่ากิเลสเกิดขึ้นขณะใด อิริยาบถใด ก็ต้องข่มให้ได้ในขณะนั้น
หรือในอิริยาบถนั้น เช่น ระหว่างเดินบิณฑบาต หากมีกิเลสเกิดขึ้นในใจ ก็หยุดเดินแล้วมนสิการกรรมฐานจนกว่ากิเลสจะถูกขจัดออก
จึงเดินต่อ ตั้งใจว่า "
จะไม่ย่างเท้าด้วยจิตที่ปราศจากกรรมฐาน หากก้าวเท้าไปแล้วมีกิเลสเกิดขึ้นก็จะถอยกลับมายังที่เดิม"
ท่านยกตัวอย่างพระมหาปุสสเทวเถระบำเพ็ญวัตรนี้นาน ๑๙ ปี ได้บรรลุพระอรหัตในพรรษาที่ ๒๐ ดังนี้เป็นต้น
อานิสงส์ของการบำเพ็ญคตปัจจาคติกวัตรนี้ ท่านกล่าวว่า ...
"หากเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแล้ว จะบรรลุพระอรหัตได้ในปฐมวัยทีเดียว ๑ ถ้าไม่ได้บรรลุในปฐมวัยก็จะได้บรรลุใน
มัชฌิมวัย ๑ ถ้าไม่ได้บรรลุในมัชฌิมวัยก็จะบรรลุในเวลาใกล้ตาย ๑
ถ้าไม่ได้บรรลุในเวลาตายก็จะไปเป็นเทพบุตรแล้วบรรลุ ๑ ถ้าไม่ได้ไปเป็นเทพบุตรแล้วบรรลุ หากเกิดในกาลที่พระพุทธเจ้า
ยังไม่อุบัติ ก็จะบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ ๑ ถ้าไม่บรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ เมื่อไปเกิดพบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็จะได้เป็น
พระอรหันต์ประเภทขิปปาภิญญา
3 ดังท่านพระพาหิยะทารุจีริยะก็มี ประเภทมีปัญญามากเช่นพระสารีบุตรเถระก็มี..."
ดังนี้เป็นต้น
1 - ได้แก่ กายคตาสติ, อานาปานสติ, อสุภะภาวนา, จตุธาตุววัฏฐาน (การกำหนดพิจารณาเห็นร่างกาย โดยสักว่าเป็นแค่
ธาตุ ๔, อาหาเรปฏิกูลสัญญา, อินทรีย์สังวร เป็นต้น
2 - หมายถึง การทำในใจซึ่งกรรมฐาน หรือกำหนดกรรมฐาน ดำเนินไป
3 - คือ พระอรหันต์ประเภทตรัสรู้เร็ว
ที่มา : ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ รวบรวมและเรียบเรียงโดย อ. ปัญญา ใช้บางยาง
ศึกษา ค้นคว้า ในพระไตรปิฎก (ดู ที.อ.๑/๑/๔๑๙-๔๒๗,ม.อ.๑/๑/๖๙๒-๗๐๐)
"วัตรพิเศษ" : ปัจจาคติกวัตร หรือคตปัจจาคติกวัตร
วัตรพิเศษ : ปัจจาคติกวัตร หรือคตปัจจาคติกวัตร
วัตรเกี่ยวกับการนำกรรมฐานไปและนำกลับ เรียกว่า คตปัจจาคติกวัตร (เป็นวัตรเพื่อพัฒนาจิต ไม่ใช่วัตร ๑๔ ประเภทใน
พระวินัย เช่น อาคันตุกวัตร เป็นต้น) ท่านอธิบายวัตรนี้ไว้ในเรื่อง โคจรสัมปชัญญะ คือ การมีอารมณ์กรรมฐานไว้ภายในใจ1
ในทุกที่ๆโคจรไป
ท่านยกตัวอย่างภิกษุ ๔ ประเภท ไ้ด้แก่
๑. ภิกษุบางรูปนำ (กรรมฐาน) ไป ไม่นำ (กรรมฐาน) กลับ
๒. ภิกษุบางรูปนำกลับ ไม่นำไป
๓. ภิกษุบางรูปนำไป ไม่นำกลับ
๔. ภิกษุบางรูปนำไปด้วย นำกลับด้วย (เป็นรูปที่ชื่อว่าบำเพ็ญวัตรนี้แท้จริง)
ท่านยกตัวอย่างวิถีชีวิตของภิกษุประเภทที่ ๔ ว่าหมายถึงภิกษุรูปที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ ด้วยการจงกรมและด้วยการนั่งใน
เวลากลางวัน กลางคืนตอนปฐมยามก็ปฏิบัติอย่างนั้น แล้วนอนตอนมัชฌิมยาม ตื่นแล้วนั่งและจงกรมตอนปัจฉิมยาม
กระทำการกวาดลานพระเจดีย์ ลานโพธิ์ รดน้ำต้นโพธิ์ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันไว้ แล้วไปทำวัตรแก่อุปัชฌาย์หรืออาจารย์เป็นต้น จากนั้น
ชำระสรีรกายกลับเข้าที่อยู่ ประกอบเนืองๆซึ่งกรรมฐาน ได้เวลาแล้วออกบิณฑบาตโดยกำหนดกรรมฐาน1อย่างใดอย่างหนึ่งไป ทุกขณะ
ที่เดินไป ถ้าผ่านลานเจดีย์หรือลานโพธิ์ก็พักกรรมฐานแล้วไหว้ และมนสิการกรรมฐาน2เดินเข้าไปสู่ละแวกบ้าน หากชาวบ้านนิมนต์ให้
ฉันในเรือน ก็เข้าไปฉันโดยไม่ทิ้งกรรมฐาน เมื่อถึงตอนกล่าวธรรมก็พักกรรมฐาน เสร็จแล้วก็กำหนดกรรมฐานกลับไปยังที่อยู่
ระดับของความเคร่งครัดในการบำเพ็ญวัตรนี้นั้น เคร่งถึงขนาดที่ว่ากิเลสเกิดขึ้นขณะใด อิริยาบถใด ก็ต้องข่มให้ได้ในขณะนั้น
หรือในอิริยาบถนั้น เช่น ระหว่างเดินบิณฑบาต หากมีกิเลสเกิดขึ้นในใจ ก็หยุดเดินแล้วมนสิการกรรมฐานจนกว่ากิเลสจะถูกขจัดออก
จึงเดินต่อ ตั้งใจว่า "จะไม่ย่างเท้าด้วยจิตที่ปราศจากกรรมฐาน หากก้าวเท้าไปแล้วมีกิเลสเกิดขึ้นก็จะถอยกลับมายังที่เดิม"
ท่านยกตัวอย่างพระมหาปุสสเทวเถระบำเพ็ญวัตรนี้นาน ๑๙ ปี ได้บรรลุพระอรหัตในพรรษาที่ ๒๐ ดังนี้เป็นต้น
อานิสงส์ของการบำเพ็ญคตปัจจาคติกวัตรนี้ ท่านกล่าวว่า ...
"หากเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแล้ว จะบรรลุพระอรหัตได้ในปฐมวัยทีเดียว ๑ ถ้าไม่ได้บรรลุในปฐมวัยก็จะได้บรรลุใน
มัชฌิมวัย ๑ ถ้าไม่ได้บรรลุในมัชฌิมวัยก็จะบรรลุในเวลาใกล้ตาย ๑
ถ้าไม่ได้บรรลุในเวลาตายก็จะไปเป็นเทพบุตรแล้วบรรลุ ๑ ถ้าไม่ได้ไปเป็นเทพบุตรแล้วบรรลุ หากเกิดในกาลที่พระพุทธเจ้า
ยังไม่อุบัติ ก็จะบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ ๑ ถ้าไม่บรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ เมื่อไปเกิดพบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็จะได้เป็น
พระอรหันต์ประเภทขิปปาภิญญา3 ดังท่านพระพาหิยะทารุจีริยะก็มี ประเภทมีปัญญามากเช่นพระสารีบุตรเถระก็มี..."
ดังนี้เป็นต้น
1 - ได้แก่ กายคตาสติ, อานาปานสติ, อสุภะภาวนา, จตุธาตุววัฏฐาน (การกำหนดพิจารณาเห็นร่างกาย โดยสักว่าเป็นแค่
ธาตุ ๔, อาหาเรปฏิกูลสัญญา, อินทรีย์สังวร เป็นต้น
2 - หมายถึง การทำในใจซึ่งกรรมฐาน หรือกำหนดกรรมฐาน ดำเนินไป
3 - คือ พระอรหันต์ประเภทตรัสรู้เร็ว
ที่มา : ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ รวบรวมและเรียบเรียงโดย อ. ปัญญา ใช้บางยาง
ศึกษา ค้นคว้า ในพระไตรปิฎก (ดู ที.อ.๑/๑/๔๑๙-๔๒๗,ม.อ.๑/๑/๖๙๒-๗๐๐)