http://pantip.com/topic/31652468
refer คห. ๗ ทีผมตอบเอาไว้ วันนี้วันพระ ครึ้มอกครึ้มใจก็จะขอรำลึก ...ความทรงจำส่วนตัว ขอย้ำว่าว่าส่วนตัว ไม่ได้หมายถึงคนใส่เสื้อแดงทั้งหมด แต่ผมว่าไม่หนีไปจากกันเท่าไหร่นัก ...
ความจริงผมติดตามการเมือง การปกครองของสยามประเมศมาตั้งแต่ เรียนในระดับอุดมศึกษา แรงหรือไม่ตอบไม่ได้ แต่รู้ว่าตอนพลเอกเปรม โดนต่อยคะมำในรามคำแหง ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สองคณะรัฐศาสตร์..มาออกอาการรบหนัก ๆ ก็เคยพกปืนลูกซอง ไทยประดิษฐ ไปนอนเฝ้าพลตรีจำลองที่ถนนราชดำเนิน ในพฤษภาทมิฬ( ความจริงก็ไม่ได้ พิศวาส อะไรนัก แต่ตอนนั้นรับไม่ได้ กับคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติ รัฐประหารเพื่ออนาคตของตนเองและกองทัพ)
หลังจากบ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอย ....ก็ดำเนินการในครรลองของระบอบมาโดยตลอด จนในที่สุดก็ได้พบกับนายกที่ชื่อทักษิณ ความจริงก็เฉย ๆ รักบ้าง เกลียดบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง กับสิ่งที่ทำ เหมือนกับ นายกคนก่อน ๆ ในระบอบ แต่สิ่งที่ทักษิณ ทำให้เห็นต่างอย่างชัดเจนก็คือ เขารู้จักรักษาคำว่า สัญญาประชาคม
ชีวิตดำเนินผ่านไป เริ่มเห็นความต่าง ในชีวิต แต่รู้สึกได้ชัดว่าชีวิตคนไทยดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ นโยบาย ของทักษิณ ไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตของผมเลย พอเกิดพันธมิตร ก็พยายามฟังความทั้งสองด้าน ตามประสาคอการเมือง
ในที่สุด การยึดอำนาจด้วยปืนก็กลับาอีกครั้ง และที่สำคัญผมไม่คิดว่า เบื้องลึก เบื้องหลัง การล้มทักษิณ จะเป็นวิธีการสกปรก มากเสียยิงกว่า สุจินดา เสียสัตย์เพื่อชาติซะอีก ..(ขอข้ามช่วงเวลาที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองออกไป)
วิณญาณของ เสรีชน (แท้ ๆ ) จึงเข้าสิงร่าง ตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่า ทักษิณก็แค่ผู้เสียหายร่วม คนหนึ่ง
หลังจากยึดอำนาจในปี ๔๙ วันเวลาผ่านไปเดือนนึง ผมจึงเริ่มต่อต้าน ร่วมกับ ร้อยพ่อพันแม่ กันที่ท้องสนามหลวง
จาก โทรโข่ง ๑ อัน เก้าอี้พลาสติก ๑ ตัว พร้อมกับตะเกียงน้ำมัน ๑ อัน กลายเป็นรถปิคอัพ ติดลำโพงข้าง ก้าวมาเป็น เวทีเล็ก ๆ พร้อมกับ กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และอีกหลาย ๆ กลุมไม่ว่า จะเป็น พิราบขาว ๒๔ มิถุนา ฯลฯ (ขออภัยจำชื่อไม่หมด) ทุกกลุ่มเคลื่อนไหว ต่อต้าน คมช.เหมือนกันหมด และในที่สุด นปก. ก็กำเนิน และเปลี่ยนชื่อเป็น นปช.ในที่สุด
ถามว่า รับใช้ทักษิณมั้ย สำหรับตัวผมและคนอีกจำนวนมาก รู้สึกเฉย ๆ แต่สงสารในชะตากรรม ที่สงสัยว่า ทักษิณจะโดนยัดข้อกล่าวหา
และได้รับการรับรองว่าผมเข้าใจถูกต้อง โดยปราศากข้อสงสัย ในกรณี ตุลาการตัดสินโทษ
ลงโทษย้อนหลัง ด้วยการตัดสิทธิ ๑๑๑ คน ๕ ปี .....
ในระยะแรก ๆ ผมก็ใส่เสื้อเหลือง ไปทุกวัน เพราะในตู้เสื้อผ้าจะมี เสื้อแต่สีนี้ จะเอาชนิดไหน นาโนมีสามตัว แบบที่ผลิตมีแทบทุกแบบ เปิดตู้มาเจอแต่สีนี้อย่าเดียว แต่จะผิดกับ พันธมิตรในขณะนั้นก็ตือ ผมจะมีผ้าติดแขนบ้าง โพกหัวบ้าง กับคำว่า
คมช.ออกไป หลังจากต่อต้านกันที่สนามหลวงได้สักพัก ก็มีน้องคนหนึ่งเสนอขึ้นมาว่า อย่าใช้สีเหลืองเลย มันแยกลำบาก มีอันตรายได้ง่ายด้วย เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เลยกำหนดสีลอย ๆ มาว่ ใช้สีแดงมั้ย มันง่ายดี จึงดอดเข้าไปเสนอ ผู้ปราศรัยหลังเวที แต่ระยะแรก ไม่ได้รับการตอบรับเท่าใดนัก แต่นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งคือ บก.ลายจุด ปิ๊งไอเดียนี้ จึงเริ่มทำกิจกรรมที่สยาม โดยใช้คำว่า วันอาทิตย์สีแดง
พวกเราในตอนนั้น เอือมกับพฤติกรรม พันธมิตรในการจอง ความดี จองความถูกต้อง และโหนสถาบัน เต็มแก่แล้ว เลยเอาว๊ะ ใส่สีแดงกันดีหว่า โดยไม่เคยมีใครสงสัยว่า มันเป็นสีอะไร เพื่ออะไร เป็นคอมมิวนิสตืไหม ขอแค่ ให้มันต่างก็พอ ในที่สุดจากสิบก็เป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นหลายล้านในที่สุด
ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจ อภิสิทธิ และนายสุเทพ แกนนำ กปปส. จนทุกวันนี้ว่า เมิงจะตระโกนทวงสีแดง เหยง ๆ ๆ ทำไม ? ? ?
ทั้ง ๆ ที่ เสรีชน เขาไม่ได้สนใจอะไรกับคำว่า คนเสื้อแดงเสียด้วยซ้ำ
เพราะพวกเขาร็อยู่เต็มอกว่า คนเสื้อแดงมาจากกลุ่มปัจเจก มีหมดทั้ง คนที่รักทักษิณอย่างเดียว คนที่ไม่ส่นทักษิณ แต่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ของระบอบ ตลอดจนถึงสายคอมฯ เก่า
แต่การร่วมกันต่อสู้ ไม่ได้มีใครชวนใคร ไม่มีใครให้ข้อเสนอกับใคร แต่เผอิญ จุดมุ่งหมายสุดท้าย ดันมีศัตรูร่วม มันจึงจำเป็นต้องร่วมกันต่อสู้ เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน
ส่วนใคร จะเป็นศัตรูกับใครมากกว่ากันนั้น เป็นสิทธิ เพราะกลุ่มปัจเจกชน สั่งซ้ายหัน ขวาหัน และเออออ ตามโดยไม่รู้อะไรเลยไม่ได้
เราจึงได้เห็นคนเสื้อแดง ออกมาประท้วงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เรื่อง ปล่อยนักโทษการเมือง
หรือได้เป็นหมื่นสีแดง ต้าน พรก.สุดซอย ......
แต่เราไม่อนุญาตให้ เปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญที่เราเอาเลือด เนื้อ และชีวิต แลกมา
แต่เมื่อ กปปส. เล่นบท มั่วนิ่ม จากต้าน พรก.สุดซอย ออกทะเลเป็นเปลี่ยนแปลงหลักการปกครอง ไปสู่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชนิดหน้าด้าน ๆ
การต่อต้าน อย่างหนักน่วง จึงออกมาอีกครั้ง เปรียบเสมือน ลาวา รอระเบิดอีกครั้ง เมื่อถึงเวลา และอาจจะรุนแรงมากกว่า ปี ๒๕๔๙ เป็นหลายสิบเท่านัก
ความจรืง ในความคิดของผม ทักษิณ มันก็คนธรรมดา มีดีมั่ง เลวมั่งปะปนกันไป เมื่อถึงเวลาประชาชนเบื่อ ประชาชนก็จะเป็นผู้บอกเองว่า เอ็งไปได้แล้ว
ส่วนจะเอาใครมาแทนนั้น ประชาชนจะเป็นคนเลือกเอง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ รวมหัวปล้น โดยมีพรรคการเมืองที่ผมเลือกบ่อยที่สุดเป็นตัวตั้งตัวตี ในการขับเคลื่อน เพราะได้ประโยน์ในการเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีพิเศษ จึงเป็นเรื่องที่ผม(และอีกหลายล้านคนในประเทศนี้) จึงไม่สามารถจะยอมรับได้
ที่สำคัญ ดันเป็นรัฐบาลพลเรือนที่เลวร้ายมากที่สุด ด้วยการสั่งฆ่าประชาชน ยิ่งกว่า รัฐฐาลเผด็จการทหารใด ๆ ที่ประเทศนี้เคยมีมา
ปัจจุบัน ผมว่าคนไทยทั้งประเทศเห็นหมดแล้วว่า ใครสวมหน้ากากอะไรเอาไว้ และใบหน้าอันแท้จริงภายใต้หน้ากากที่ปกปิดนั้น เน่าเฟะ โชยกลิ่นเหม็นออกมาหมด
แต่อยู่ที่จะพูดหรือไม่พูดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมคงห้ามใครคิดต่างอะไรไม่ได้
ผมคงห้ามใครมาชี้ว่าไอ้พวกรับเงินสามร้อย เหล้าขาวขวด ไม่ได้
ผมคงห้ามใครจะพยายามเหมาว่าเป็นพวกล้มเจ้าไปไม่ได้
ผมคงจะห้ามใครมารังเกียจเดียดฉันท์ ป้ายข้อกล่าวหา ให้ทุกอย่างคงไม่ได้
ผมแค่อยากบอกว่า สิ่งที่พวกเรากำลังทำอะไรอย่นั้น เราทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี
ผมเชื่อในหลักการที่ถูกต้องว่า
เราทุกคน มีความเป็นคนเท่าเทียมกันมาแต่กำเนิด มนุษย์ทุกคน เกิดหนเดียว ตายหนเดียว
แต่ขอให้พึงระลึกเอาไว้เสมอว่า อย่ามีชีวิตอยู่แบบคนที่ไม่มี คุณค่าของความเป็นคนเต็มคนเหลืออยู่ เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ แมร่งจะไม่มีค่าอะไรอีกเลย
แล้วแต่เลือกที่จะเชื่อนะครับ
ต้นกำเนิด "เสื้อแดง" version คนใส่เองที่ไม่ได้ฟังใครมา
refer คห. ๗ ทีผมตอบเอาไว้ วันนี้วันพระ ครึ้มอกครึ้มใจก็จะขอรำลึก ...ความทรงจำส่วนตัว ขอย้ำว่าว่าส่วนตัว ไม่ได้หมายถึงคนใส่เสื้อแดงทั้งหมด แต่ผมว่าไม่หนีไปจากกันเท่าไหร่นัก ...
ความจริงผมติดตามการเมือง การปกครองของสยามประเมศมาตั้งแต่ เรียนในระดับอุดมศึกษา แรงหรือไม่ตอบไม่ได้ แต่รู้ว่าตอนพลเอกเปรม โดนต่อยคะมำในรามคำแหง ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สองคณะรัฐศาสตร์..มาออกอาการรบหนัก ๆ ก็เคยพกปืนลูกซอง ไทยประดิษฐ ไปนอนเฝ้าพลตรีจำลองที่ถนนราชดำเนิน ในพฤษภาทมิฬ( ความจริงก็ไม่ได้ พิศวาส อะไรนัก แต่ตอนนั้นรับไม่ได้ กับคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติ รัฐประหารเพื่ออนาคตของตนเองและกองทัพ)
หลังจากบ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอย ....ก็ดำเนินการในครรลองของระบอบมาโดยตลอด จนในที่สุดก็ได้พบกับนายกที่ชื่อทักษิณ ความจริงก็เฉย ๆ รักบ้าง เกลียดบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง กับสิ่งที่ทำ เหมือนกับ นายกคนก่อน ๆ ในระบอบ แต่สิ่งที่ทักษิณ ทำให้เห็นต่างอย่างชัดเจนก็คือ เขารู้จักรักษาคำว่า สัญญาประชาคม
ชีวิตดำเนินผ่านไป เริ่มเห็นความต่าง ในชีวิต แต่รู้สึกได้ชัดว่าชีวิตคนไทยดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ นโยบาย ของทักษิณ ไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตของผมเลย พอเกิดพันธมิตร ก็พยายามฟังความทั้งสองด้าน ตามประสาคอการเมือง
ในที่สุด การยึดอำนาจด้วยปืนก็กลับาอีกครั้ง และที่สำคัญผมไม่คิดว่า เบื้องลึก เบื้องหลัง การล้มทักษิณ จะเป็นวิธีการสกปรก มากเสียยิงกว่า สุจินดา เสียสัตย์เพื่อชาติซะอีก ..(ขอข้ามช่วงเวลาที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองออกไป)
วิณญาณของ เสรีชน (แท้ ๆ ) จึงเข้าสิงร่าง ตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่า ทักษิณก็แค่ผู้เสียหายร่วม คนหนึ่ง
หลังจากยึดอำนาจในปี ๔๙ วันเวลาผ่านไปเดือนนึง ผมจึงเริ่มต่อต้าน ร่วมกับ ร้อยพ่อพันแม่ กันที่ท้องสนามหลวง
จาก โทรโข่ง ๑ อัน เก้าอี้พลาสติก ๑ ตัว พร้อมกับตะเกียงน้ำมัน ๑ อัน กลายเป็นรถปิคอัพ ติดลำโพงข้าง ก้าวมาเป็น เวทีเล็ก ๆ พร้อมกับ กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และอีกหลาย ๆ กลุมไม่ว่า จะเป็น พิราบขาว ๒๔ มิถุนา ฯลฯ (ขออภัยจำชื่อไม่หมด) ทุกกลุ่มเคลื่อนไหว ต่อต้าน คมช.เหมือนกันหมด และในที่สุด นปก. ก็กำเนิน และเปลี่ยนชื่อเป็น นปช.ในที่สุด
ถามว่า รับใช้ทักษิณมั้ย สำหรับตัวผมและคนอีกจำนวนมาก รู้สึกเฉย ๆ แต่สงสารในชะตากรรม ที่สงสัยว่า ทักษิณจะโดนยัดข้อกล่าวหา
และได้รับการรับรองว่าผมเข้าใจถูกต้อง โดยปราศากข้อสงสัย ในกรณี ตุลาการตัดสินโทษลงโทษย้อนหลัง ด้วยการตัดสิทธิ ๑๑๑ คน ๕ ปี .....
ในระยะแรก ๆ ผมก็ใส่เสื้อเหลือง ไปทุกวัน เพราะในตู้เสื้อผ้าจะมี เสื้อแต่สีนี้ จะเอาชนิดไหน นาโนมีสามตัว แบบที่ผลิตมีแทบทุกแบบ เปิดตู้มาเจอแต่สีนี้อย่าเดียว แต่จะผิดกับ พันธมิตรในขณะนั้นก็ตือ ผมจะมีผ้าติดแขนบ้าง โพกหัวบ้าง กับคำว่า คมช.ออกไป หลังจากต่อต้านกันที่สนามหลวงได้สักพัก ก็มีน้องคนหนึ่งเสนอขึ้นมาว่า อย่าใช้สีเหลืองเลย มันแยกลำบาก มีอันตรายได้ง่ายด้วย เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เลยกำหนดสีลอย ๆ มาว่ ใช้สีแดงมั้ย มันง่ายดี จึงดอดเข้าไปเสนอ ผู้ปราศรัยหลังเวที แต่ระยะแรก ไม่ได้รับการตอบรับเท่าใดนัก แต่นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งคือ บก.ลายจุด ปิ๊งไอเดียนี้ จึงเริ่มทำกิจกรรมที่สยาม โดยใช้คำว่า วันอาทิตย์สีแดง
พวกเราในตอนนั้น เอือมกับพฤติกรรม พันธมิตรในการจอง ความดี จองความถูกต้อง และโหนสถาบัน เต็มแก่แล้ว เลยเอาว๊ะ ใส่สีแดงกันดีหว่า โดยไม่เคยมีใครสงสัยว่า มันเป็นสีอะไร เพื่ออะไร เป็นคอมมิวนิสตืไหม ขอแค่ ให้มันต่างก็พอ ในที่สุดจากสิบก็เป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นหลายล้านในที่สุด
ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจ อภิสิทธิ และนายสุเทพ แกนนำ กปปส. จนทุกวันนี้ว่า เมิงจะตระโกนทวงสีแดง เหยง ๆ ๆ ทำไม ? ? ?
ทั้ง ๆ ที่ เสรีชน เขาไม่ได้สนใจอะไรกับคำว่า คนเสื้อแดงเสียด้วยซ้ำ
เพราะพวกเขาร็อยู่เต็มอกว่า คนเสื้อแดงมาจากกลุ่มปัจเจก มีหมดทั้ง คนที่รักทักษิณอย่างเดียว คนที่ไม่ส่นทักษิณ แต่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ของระบอบ ตลอดจนถึงสายคอมฯ เก่า
แต่การร่วมกันต่อสู้ ไม่ได้มีใครชวนใคร ไม่มีใครให้ข้อเสนอกับใคร แต่เผอิญ จุดมุ่งหมายสุดท้าย ดันมีศัตรูร่วม มันจึงจำเป็นต้องร่วมกันต่อสู้ เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน
ส่วนใคร จะเป็นศัตรูกับใครมากกว่ากันนั้น เป็นสิทธิ เพราะกลุ่มปัจเจกชน สั่งซ้ายหัน ขวาหัน และเออออ ตามโดยไม่รู้อะไรเลยไม่ได้
เราจึงได้เห็นคนเสื้อแดง ออกมาประท้วงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เรื่อง ปล่อยนักโทษการเมือง
หรือได้เป็นหมื่นสีแดง ต้าน พรก.สุดซอย ......
แต่เราไม่อนุญาตให้ เปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญที่เราเอาเลือด เนื้อ และชีวิต แลกมา
แต่เมื่อ กปปส. เล่นบท มั่วนิ่ม จากต้าน พรก.สุดซอย ออกทะเลเป็นเปลี่ยนแปลงหลักการปกครอง ไปสู่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชนิดหน้าด้าน ๆ
การต่อต้าน อย่างหนักน่วง จึงออกมาอีกครั้ง เปรียบเสมือน ลาวา รอระเบิดอีกครั้ง เมื่อถึงเวลา และอาจจะรุนแรงมากกว่า ปี ๒๕๔๙ เป็นหลายสิบเท่านัก
ความจรืง ในความคิดของผม ทักษิณ มันก็คนธรรมดา มีดีมั่ง เลวมั่งปะปนกันไป เมื่อถึงเวลาประชาชนเบื่อ ประชาชนก็จะเป็นผู้บอกเองว่า เอ็งไปได้แล้ว
ส่วนจะเอาใครมาแทนนั้น ประชาชนจะเป็นคนเลือกเอง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ รวมหัวปล้น โดยมีพรรคการเมืองที่ผมเลือกบ่อยที่สุดเป็นตัวตั้งตัวตี ในการขับเคลื่อน เพราะได้ประโยน์ในการเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีพิเศษ จึงเป็นเรื่องที่ผม(และอีกหลายล้านคนในประเทศนี้) จึงไม่สามารถจะยอมรับได้
ที่สำคัญ ดันเป็นรัฐบาลพลเรือนที่เลวร้ายมากที่สุด ด้วยการสั่งฆ่าประชาชน ยิ่งกว่า รัฐฐาลเผด็จการทหารใด ๆ ที่ประเทศนี้เคยมีมา
ปัจจุบัน ผมว่าคนไทยทั้งประเทศเห็นหมดแล้วว่า ใครสวมหน้ากากอะไรเอาไว้ และใบหน้าอันแท้จริงภายใต้หน้ากากที่ปกปิดนั้น เน่าเฟะ โชยกลิ่นเหม็นออกมาหมด
แต่อยู่ที่จะพูดหรือไม่พูดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมคงห้ามใครคิดต่างอะไรไม่ได้
ผมคงห้ามใครมาชี้ว่าไอ้พวกรับเงินสามร้อย เหล้าขาวขวด ไม่ได้
ผมคงห้ามใครจะพยายามเหมาว่าเป็นพวกล้มเจ้าไปไม่ได้
ผมคงจะห้ามใครมารังเกียจเดียดฉันท์ ป้ายข้อกล่าวหา ให้ทุกอย่างคงไม่ได้
ผมแค่อยากบอกว่า สิ่งที่พวกเรากำลังทำอะไรอย่นั้น เราทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี
ผมเชื่อในหลักการที่ถูกต้องว่า
เราทุกคน มีความเป็นคนเท่าเทียมกันมาแต่กำเนิด มนุษย์ทุกคน เกิดหนเดียว ตายหนเดียว
แต่ขอให้พึงระลึกเอาไว้เสมอว่า อย่ามีชีวิตอยู่แบบคนที่ไม่มี คุณค่าของความเป็นคนเต็มคนเหลืออยู่ เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ แมร่งจะไม่มีค่าอะไรอีกเลย
แล้วแต่เลือกที่จะเชื่อนะครับ