เรื่องสั้นต้อนรับวันแห่งความรัก (ช่วยติชมด้วยนะคะ)

โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา

โลกของเธอ

ครั้งแรกที่ฉันพบเขา
ฉันคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ขวางโลกเอาการ
ผมหยักศกยาวประบ่า ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าหนังสีน้ำตาล
แบกกีตาร์ที่ดูแล้วบ่งบอกถึงอายุการใช้งานมานานพอสมควร แต่ในมือกลับไม่มีกระเป๋าใส่หนังสือ
ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเธอเป็นนักศึกษา ไม่มีเลยสักนิดเดียว แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกก็ตาม
ฉันรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก ในใจคิดว่าผู้ชายคนนี้ให้ตายก็ไม่มีทางเฉียดกรายเข้าไปใกล้
แต่อย่างนั้นก็เถอะ ใจบอกว่าไม่ ไม่ ไม่ แต่สายตาก็มองหาเขาอยู่ร่ำไปจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
จากความรู้สึกแง่ลบในตอนแรก ทัศนคติที่มีต่อเขาค่อยค่อยเปลี่ยนไปทีละน้อย
เขากับกีตาร์เหมือนเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แยกขาดจากกันไม่ได้ เขามักจะแบกกีตาร์ติดตัวไปไหนๆด้วยเสมอ
ถ้าวันไหนไม่เห็นเขาแบกกีตาร์วันนั้นคงเป็นพายุทอร์นาโดคงพัดผ่านประเทศไทยแล้วล่ะ
เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ดังนั้นแม้ว่าตอนเย็นจะมีกิจกรรมอะไรก็ตามแต่ของคณะ
จะไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของเขาราวกับว่าเป็นนินจาหายตัวได้ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเห็นนั่งอยู่ในคลาส
ใครใครหลายคนอาจจะมองว่าเขาเป็นคนที่อวดดีหรืออะไรก็ตามแต่
แต่ฉันมองว่าเขาก็แค่เป็นตัวของตัวเองมากเกินไปเท่านั้นเอง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉันคิด
เพราะไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไร  
โลกของเธอช่างลึกลับและน่าค้นหาเหลือเกิน.


โลกของฉัน

ถ้าถามว่าฉันเป็นคนยังไงก็คงตอบได้ว่าก็เป็นแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทั่วๆไปเขาเป็นกัน
ออกแนวเป็นเด็กนั่งหน้าห้องด้วยซ้ำ ฟังในสิ่งที่อาจารย์พูดทุกคำ ไม่เคยแตกแถว หรือแหกกฎเกณฑ์ใดใด
ไม่เคยเที่ยวกลางคืน ห้าโมงนี่คือต้องถึงบ้าน(เวลาที่ไม่มีกิจกรรม)
การพนันไม่ได้กินฉันสะหรอก เหล้าเบียร์ก็ไม่เคยแตะ ไม่เคยแม้แต่จะจิบ
ถ้าที่มหาลัยมีโล่เด็กประพฤติดี ฉันคงได้เป็นร้อยๆโล่เลยล่ะ ไม่ได้โม้นะ ฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ก็ลองมาดูครอบครัวฉันก่อนสิ คุณพ่อเป็นนายทหารสุดเนี้ยบ คุณแม่เป็นคุณครูที่ยิ่งกว่าครูไหวใจร้าย แล้วจะให้ลูกทำตัว
ห่ามๆ ก็คงจะไม่ใช่ ไม่งั้นฉันคงถูกคุณแม่ตีก้นลาย นั่งไม่ได้ไปสามวัน
ฤทธิ์ไม้มะยมของแม่ตอนเด็กๆยังคงฝังใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดที่จะแหกกฎนะ ฉันคิดอยู่เสมอๆ แต่ทำไงได้ล่ะ ถ้าคุณถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ คุณก็คงไม่กล้าเหมือนกัน
กลัวนู่น กลัวนี่ไปสะทุกอย่าง จนไม่กล้าทำอะไรที่จะสร้างสีสันให้ชีวิต ชีวิตฉันช่างจืดชืดสิ้นดี
เพื่อนๆต่างก็พากันแซวว่า เธอนี่นะหน้าเด๊กเด็ก แต่นิสัยอย่างกับคุณป้าอายุ 60 นิสัยช่างขัดกับหน้าตาเสียเหลือเกิน
ทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ฉันก็อดที่จะเจ็บใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเพื่อนพูดเล่นก็เถอะ แต่มันเหมือนถูกสะกิดปมด้อยของตัวเอง
ฉันไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่วัยรุ่นทั่วไปควรจะเป็น
จนกระทั่งฉันได้มาพบกับเขา
ในที่สุดโลกของเธอและโลกของฉันก็หมุนมาเจอกันสักที



โลกของเรา

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันทะเลาะกับแม่หนักมากด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง
เป็นครั้งแรกที่ทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้  บางทีรู้สึกว่าแม่ไม่เคยเข้าใจฉันเลย
เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน แม้ว่าเกือบจะทุ่มแล้ว ฉันไม่ยอมกลับบ้าน
เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง
จู่ๆฝนก็เริ่มตก ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววเลยสักนิดว่าฝนจะตก
วันนั้นเป็นวันที่แย่มาก ตอนเช้าทะเลาะกับแม่ ตอนค่ำๆฝนตกแล้วดันไม่ได้พกร่มมาด้วย
ฉันรีบวิ่งเข้าไปในที่ใกล้ที่สุด หวังแค่จะมาหาที่หลบฝน รอให้ฝนซา
บรรยากาศในร้านเป็นอะไรที่ชีวิตนี้ ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน จะพูดยังไงดีล่ะ
มันออกแนวเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีนักดนตรีมาร้องเพลงอะไรแบบนั้น
ถ้าแม่รู้ว่าฉันเข้ามาในร้านแบบนี้ ฉันคงโดนสั่งกักบริเวณประมาณสามอาทิตย์
ด้วยความรีบร้อนฉันไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวมากนักนอกเสียจากพยายามทำให้ตัวเองแห้ง
ฉันเกลียดความเปียกแฉะ ฉันเกลียดฝน เวลาฝนตกทีไร ฉันรู้สึกหม่นๆในใจทุกที
ในขณะนั้นเอง เสียงกีตาร์จังหวะสบายๆก็ดังขึ้น มันดึงดูดให้ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังเวที
ฉันเห็นเขา ผู้ชายขวางโลกคนนั้นกำลังเล่นกีตาร์ ปลดปล่อยอารมณ์ไปตามเสียงเพลงของตัวเอง ไม่สนใจสรรพสิ่งใดใด
ฉันก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้ฉันลืมทุกอย่างรอบตัวจนหมดสิ้น
ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย พอเพลงจบเขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ฉันเสมองไปทางอื่นไม่ทัน
---สายตาสบสายตา---
นับตั้งแต่นั้นมาไม่มีโลกของฉัน ไม่มีโลกของเธอ มีแต่”โลกของเรา”








The Distance of Love

-1-


‘ ไปเหอะนะ น้า  ตั๋วนี่ไม่ได้หาได้ง่ายๆนะจ๊ะ ’

‘ไม่ล่ะ ลองชวนคนอื่นดูสิ เธอก็รู้...’

‘ ว่าฉันไม่ชอบไปคอนเสิร์ต ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบคนเยอะ ใช่ไหมล่ะ แต่คราวนี้อยากให้ไปจริงๆนี่นา ’

‘ เธอก็รู้ดีนี่ ฉันก็ไม่อยากไปจริงๆเหมือนกัน ’

‘ โอเค งั้นฉันเปลี่ยนคำพูด มันไม่ใช่คอนเสิร์ตแต่เป็นมินิคอนเสิร์ตของวงดนตรีไร้ชื่อ ไร้ชื่อนี่หมายถึงทั้งในทั้งความหมายนัยตรงและนัยอ้อมนะ ’

‘ไม่ค่อยต่างกัน แล้วไอคอนเสิร์ตบ้าๆนี่จัดที่ไหน’

‘เอ่อ...คือ....เป็นกึ่งบาร์กึ่งเรสเตอร์รองค์หน่ะ สถานที่ที่สุดยอดมากเลยนะ’


-2-


และแล้วฉันมายืนอยู่ตรงนี้ได้ไงก็สุดจะรู้ อยู่ท่ามกลางสิ่งที่ฉันเกลียด

เหล้า บุหรี่ ผู้คน ความวุ่นวาย และเสียงดัง

มินิคอนเสิร์ตหรือคอนเสิร์ตไรก็ช่างเถอะ ความจริงแล้วมันจัดที่ผับแห่งหนึ่งแถวๆเอกมัย

ซึ่งฉันพึ่งรู้ตอนมาถึงว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่ใกล้เคียงกับคำว่าบาร์กึ่งเรสเตอร์รองค์แม้แต่น้อย

แต่ทำยังไงได้ก็หลวมตัวมาแล้วนี่ จะกลับลำตอนนี้ก็คงไม่ทัน

ใช่ ช่างเป็นสถานที่ที่สุดยอดจริงๆ สุดยอดจนเกินคำบรรยายเลยหล่ะ


-3-


ในขณะที่ยัยเพื่อนสุดแสนจะเจ้าเล่ห์ของฉันทำตัวเริงร่าสุดขีด

หน้าฉันกลับบึ้งลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเลขคณิตก็คงเรียกได้ว่า การแปรผกผันละมั้ง

ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง

แต่ของมันก็คงแน่อยู่ละ ไม่งั้นเพื่อนฉันมันจะกระดี๊กระด๊าขนาดนี้หรอ

ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่วงที่โด่งดัง แต่ทำไมผู้คนถึงมากันมากมายขนาดนี้นะ

ตั๋วคอนเสิร์ตก็เป็นแรร์ไอเทมหายาก

ฉันไม่เข้าใจ จนกระทั่งคอนเสิร์ตเริ่มขึ้น....


-4-

คอนเสิร์ตเริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ไม่มีการบอกกล่าว ไม่มีการทักทาย

มาถึงก็เริ่มเล่นเพลงทันที

ดนตรีร็อคหนักๆ ราวกับจะดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง

ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยล่ะ

จากที่ฉันตั้งข้อสงสัยเมื่อกี้นี้

ดนตรีของพวกเขาทำให้ฉันลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น

ให้หลงวนเวียนอยู่ในดนตรีที่พวกเขาสรรสร้างขึ้นมา

โดยเฉพาะดนตรีของมือกลองคนนั้น

มันทำให้ฉันค่อยๆก้าวไปอย่างช้าๆ แทรกผ่านผู้คน เหมือนหลงละเมอ

ฉันจ้องมองมือกลองอย่างเผลอไผล

ไม่สามารถนิยามได้ว่าหล่อ ไม่ใช่คนหล่อเมื่อเทียบกับคนอื่นๆในวง

แต่เสน่ห์น่ะกินขาดไปเลย ทั้งดวงตาสีดำขลับและเสียงกลองของเขา

ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่วินาทีเดียว

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนเสิร์ตจบไปตั้งแต่เมื่อไหร่...


-5-


‘เหม่ออะไรยะ คอนเสิร์ตจบแล้วนะ’

ฉันสะดุ้ง เหมือนคนคลายมนต์สะกด ไม่ใช่จูบแสนหวาน

แต่เป็นเสียงที่เสียดแทงทะลุเข้าไปถึงแก้วหูชั้นใน

‘เอ่อ.. โอเค งั้นกลับกันเถอะ’ ได้แต่กลบเกลื่อน

‘ไหนว่าไม่ชอบไง รู้ตัวอีกที อ้าว หายไปอยู่ข้างหน้าเฉย’

‘ฉันคิด.. คิดว่ากำลังตกหลุมรัก’ ในที่สุดก็เผลอพูดออกไปจนได้

‘ใคร? คนไหน?’

‘มือกลอง... ’

และนั่นทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล..

-6-

สองสามวันผ่านไป...ฉันก็ได้รู้ชื่อของเขา

ข้อมูลของวงนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

แต่เพราะเป็นเพื่อนฉันสะอย่าง เรื่องนี้ไม่ครนามือ

ถ้าต้องการอะไรไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเธอคนนี้

หลังจากนั้น ทุกครั้งที่วงของเขาเล่นไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่

ฉันกับเพื่อนตามไปดูทุกๆที่ ทุกครั้ง แทบไม่เคยพลาด

เพื่อดูเขา เขาคนเดียวเท่านั้น......


-7-


วันนั้นเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย

ก่อนที่พวกเขาจะเดบิวต์ในฐานะศิลปินหน้าใหม่

ต่อจากนี้ไป เขาก็ห่างไกลออกไป ไกลออกไป ไกลจนเอื้อมไม่ถึง

ฉันอดไม่ได้ ฉันยังคงทำใจไม่ได้ จู่ๆฉันก็เรียกชื่อเขาโดยไม่รู้ตัว





                      ‘GRAY’



แม้จะไม่ได้ส่งเสียงดังนัก แต่เนื่องจากอยู่หน้าสุด

แน่นอนว่าเขาได้ยินอยู่แล้ว เขาหันมา

เบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจแต่ก็แค่ชั่วพริบตาเดียว

ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึม อมยิ้มน้อยๆ

ใช่แล้วล่ะ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว

พอใจที่เขารับรู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่ตรงนี้

พอใจที่จะได้ติดตามเขาอยู่ห่างๆตลอดไป...







กระต่ายหมายจันทร์


เครดิตรูป : พี่สาว


ฉันเป็นเพียงกระต่ายตัวเล็กเล็ก                                                                                                                                    

ที่หมายเอื้อมจะเอาจันทร์

ฉันไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดใด                                                                                                                          

พระจันทร์ใกล้ฉันกว่าเคย                                                                                                                                        

ฉันตื่นเต้นและยินดี                                                                                                                                              

โอบกอดดวงจันทร์เอาไว้                                                                                                                                      

จันทร์เจ้าส่องแสงริบหรี่                                                                                                                                            

ไม่สวยเท่าที่เป็นมา                                                                                                                                                

ฉันคงต้องปล่อยจันทร์                                                                                                                                      

กลับคืนท้องฟ้ายามราตรี

และแล้วพระจันทร์ก็เปล่งประกายดังเดิม

แม้ว่าจะไกลเกินเอื้อมมือ ฉันก็ขอเพียงมองเธอจากตรงนี้....นิจนิรันดร์**
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่