คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 51
ใช่ครับ ผมก็คิดว่าอย่างนั้น ผู้คนยังสนใจเรื่องศาสนากันอยู่
แต่สำหรับผม อาจจะดูไม่ดีสักนิดนึง คือผมเห็นเนื้อหาที่มันดูไม่ปกติในประเด็นศาสนาเยอะมาก และมีการส่งต่อกันมาเนิ่นนาน
และยังมีปรากฏในบทเรียนให้เยาวชนศึกษากันด้วย เช่น ประสูติแล้วเดินบนดอกบัว - เรื่องเทพ - มาร - สรวงสวรรค์
รวมถึงประเด็นอย่างในกระทู้นี้ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นในแนวความอัศจรรย์ อภินิหาร เหนือธรรมชาติมากเกินไป
ซึ่ง เรียนตามตรงว่า ไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้เยาวชนได้ศึกษาพุทธประวัติในแนวทางอย่างนี้
และยิ่งคำกล่าวที่ว่า พุทธประวัตินั้นเป็นเรื่องเติมแต่งที่แต่งขึ้นมา เพื่อสร้างเปลือกนอกของพระพุทธศาสนาให้ดูน่าสนใจ
เมื่อคนสนใจแล้วก็จะศึกษาเข้าสู่หลักธรรมที่แท้จริง ....
หากเป็นเช่นนี้จริง ผมก็ว่าแย่มากถึงมากที่สุด เพราะพุทธประวัตินั้นควรเป็นเรื่องที่ควรถ่ายทอดตรงไปตรงมา
อย่างน้อยเยาวชนจะได้มีความเข้าใจในศาสนาอย่างถูกต้อง และอย่างสมควร มิใช่ด้วยวิธีจุงใจแบบนี้
และมีการกล่าวใว้อีกว่า พระไตรปิฎกนั้นถูกเสริมเติมแต่งไปกว่าอีกครึ่งหนึ่ง
กรณีนี้ ผมว่ายิ่งต้องแก้ไข แก้ไขให้เยาวชนได้รับรู้ว่าสิ่งที่บริสุทธ์คืออะไร สิ่งใหนคือ "เปลือก" ที่ไม่ต้องไปสนใจ
แต่ปัจจุบันนี้ ไอ้ "เปลือก" ที่ว่านั้นกลับถูกนำมาอ้างกันมากมาย
อย่างเนื้อความในกระทู้นี้ ที่ว่ามาพร้อมกัน 1,250 คนโดยมิได้นัดหมาย ก็เป็น" เปลือก"ชนิดหนึ่ง
คงไม่มีครูท่านใดหรอก ที่จะวิเคราะห์ให้นักเรียนประถมฟังอย่างในกระทู้นี้
เดี๋ยวเด็กโตขึ้นไปแล้วจะมาสงสัยว่า .....
- เหตุใดพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้เลยครับ ?
- พระสงฆ์ตั้งพันกว่ารูป มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นไปได้หรือครับ ?
- ทำไมองคุลีมาร จึงหยุดทำชั่วด้วยประโยคง่าย ๆ แบบนี้ครับ ?
พวกผู้ใหญ่นั้นอายุ 20 30 แล้วคงไม่ต้องห่วงเรื่องการคิดวิเคราะห์
แต่การศึกษาในเด็กแบบนี้ ผมว่ามันค่อนข้างไร้สาระและผิดทิศทาง
หาก tag เรื่องราวแบบนี้ในห้องศาสนา จะยิ่งจุดฟิวชั่น เอ้ย... จุดดราม่าเข้าไปใหญ่เลย
แนวคิดทางห้องศาสนา มักจะลงเอยด้วยการอ้าง ฌาน การปฏิบัติ อจินไตย ฯลฯ
ซึ่งเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ และในอนาคตก็พิสูจน์ได้ยากยิ่ง
และที่สำคัญ คนที่นำมาพูดเองนั้นหลาย % ที่ฟังเค้าเล่ามา ไม่ได้ปฏิบัติเอง
และที่บอกว่าปฏิบัติเอง นั้น ผมก็อยากจะแชร์ความรู้ให้พวกเขาทราบว่า
กลไกสมองของเรานั้น สามารถปรุงแต่งอะไรได้เยอะมากเลยนะ สิ่งที่เค้าได้ยินมาเกี่ยวกับอภินิหารต่าง ๆ
มันคือจำนวนหนึ่งใน data ที่สมองพวกเค้าเก็บใว้ และหาก "ปฏิบัติ" มาก ๆ เข้า
สมองของพวกเค้าจะดึง data มาผสมกับความเชื่อ และก็ได้ผลลัพท์เป็น "ภาพลวงตา" ได้นะ
แต่สำหรับผม อาจจะดูไม่ดีสักนิดนึง คือผมเห็นเนื้อหาที่มันดูไม่ปกติในประเด็นศาสนาเยอะมาก และมีการส่งต่อกันมาเนิ่นนาน
และยังมีปรากฏในบทเรียนให้เยาวชนศึกษากันด้วย เช่น ประสูติแล้วเดินบนดอกบัว - เรื่องเทพ - มาร - สรวงสวรรค์
รวมถึงประเด็นอย่างในกระทู้นี้ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นในแนวความอัศจรรย์ อภินิหาร เหนือธรรมชาติมากเกินไป
ซึ่ง เรียนตามตรงว่า ไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้เยาวชนได้ศึกษาพุทธประวัติในแนวทางอย่างนี้
และยิ่งคำกล่าวที่ว่า พุทธประวัตินั้นเป็นเรื่องเติมแต่งที่แต่งขึ้นมา เพื่อสร้างเปลือกนอกของพระพุทธศาสนาให้ดูน่าสนใจ
เมื่อคนสนใจแล้วก็จะศึกษาเข้าสู่หลักธรรมที่แท้จริง ....
หากเป็นเช่นนี้จริง ผมก็ว่าแย่มากถึงมากที่สุด เพราะพุทธประวัตินั้นควรเป็นเรื่องที่ควรถ่ายทอดตรงไปตรงมา
อย่างน้อยเยาวชนจะได้มีความเข้าใจในศาสนาอย่างถูกต้อง และอย่างสมควร มิใช่ด้วยวิธีจุงใจแบบนี้
และมีการกล่าวใว้อีกว่า พระไตรปิฎกนั้นถูกเสริมเติมแต่งไปกว่าอีกครึ่งหนึ่ง
กรณีนี้ ผมว่ายิ่งต้องแก้ไข แก้ไขให้เยาวชนได้รับรู้ว่าสิ่งที่บริสุทธ์คืออะไร สิ่งใหนคือ "เปลือก" ที่ไม่ต้องไปสนใจ
แต่ปัจจุบันนี้ ไอ้ "เปลือก" ที่ว่านั้นกลับถูกนำมาอ้างกันมากมาย
อย่างเนื้อความในกระทู้นี้ ที่ว่ามาพร้อมกัน 1,250 คนโดยมิได้นัดหมาย ก็เป็น" เปลือก"ชนิดหนึ่ง
คงไม่มีครูท่านใดหรอก ที่จะวิเคราะห์ให้นักเรียนประถมฟังอย่างในกระทู้นี้
เดี๋ยวเด็กโตขึ้นไปแล้วจะมาสงสัยว่า .....
- เหตุใดพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้เลยครับ ?
- พระสงฆ์ตั้งพันกว่ารูป มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นไปได้หรือครับ ?
- ทำไมองคุลีมาร จึงหยุดทำชั่วด้วยประโยคง่าย ๆ แบบนี้ครับ ?
พวกผู้ใหญ่นั้นอายุ 20 30 แล้วคงไม่ต้องห่วงเรื่องการคิดวิเคราะห์
แต่การศึกษาในเด็กแบบนี้ ผมว่ามันค่อนข้างไร้สาระและผิดทิศทาง
หาก tag เรื่องราวแบบนี้ในห้องศาสนา จะยิ่งจุดฟิวชั่น เอ้ย... จุดดราม่าเข้าไปใหญ่เลย
แนวคิดทางห้องศาสนา มักจะลงเอยด้วยการอ้าง ฌาน การปฏิบัติ อจินไตย ฯลฯ
ซึ่งเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ และในอนาคตก็พิสูจน์ได้ยากยิ่ง
และที่สำคัญ คนที่นำมาพูดเองนั้นหลาย % ที่ฟังเค้าเล่ามา ไม่ได้ปฏิบัติเอง
และที่บอกว่าปฏิบัติเอง นั้น ผมก็อยากจะแชร์ความรู้ให้พวกเขาทราบว่า
กลไกสมองของเรานั้น สามารถปรุงแต่งอะไรได้เยอะมากเลยนะ สิ่งที่เค้าได้ยินมาเกี่ยวกับอภินิหารต่าง ๆ
มันคือจำนวนหนึ่งใน data ที่สมองพวกเค้าเก็บใว้ และหาก "ปฏิบัติ" มาก ๆ เข้า
สมองของพวกเค้าจะดึง data มาผสมกับความเชื่อ และก็ได้ผลลัพท์เป็น "ภาพลวงตา" ได้นะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
วันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน
ถ้าให้เราวิเคราะห์นะ น่าจะ
1 เพิ่งเผยแพร่ศาสนาได้เพียง 9 เดือน พระภิกษุแต่ละรูปคงอยู่ไม่ไกลกันมาก
2 พระใหม่ย่อมอยากมีโอกาสได้เข้าพบ/ฟังธรรม/สนธทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า
3 วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียก มาฆีปูรณิมา วันนี้ผู้นับถือเทพเจ้าองค์ใดก็ตาม จะทำการบูชาเทพเจ้าองค์นั้น ถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญมากด้านการบูชาบุญกุศล
ดังนั้นในวันมาฆีปูรณิมา พระทุกรูปต้องการมาทำการบูชาพระพุทธเจ้า ก็คงคอยฟังข่าวว่าท่านเสด็จมาประทับอยู่ที่ไหน
ถ้าให้เราวิเคราะห์นะ น่าจะ
1 เพิ่งเผยแพร่ศาสนาได้เพียง 9 เดือน พระภิกษุแต่ละรูปคงอยู่ไม่ไกลกันมาก
2 พระใหม่ย่อมอยากมีโอกาสได้เข้าพบ/ฟังธรรม/สนธทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า
3 วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียก มาฆีปูรณิมา วันนี้ผู้นับถือเทพเจ้าองค์ใดก็ตาม จะทำการบูชาเทพเจ้าองค์นั้น ถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญมากด้านการบูชาบุญกุศล
ดังนั้นในวันมาฆีปูรณิมา พระทุกรูปต้องการมาทำการบูชาพระพุทธเจ้า ก็คงคอยฟังข่าวว่าท่านเสด็จมาประทับอยู่ที่ไหน
ความคิดเห็นที่ 38
ผมเองก็คิดสงสัยเหมือนจขกทเหมือนกัน
ซึ่งถ้าไปถามในห้องศาสนาก็จะได้คำตอบตามที่มีในพระไตรปิฏก ซึ่งไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย
ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัว เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเรื่องที่จดบันทึกไว้นั้นไม่ตรงกันแน่นอน
สังเกตุดูว่าทำไมพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปริพนิพพานในวันเดียวกัน?
ทำไมวันสำคัญทางพุทธศาสนาต้องเป็นวันขึ้น 15 คํ่าทุกวัน?
ทำไมจำนวนตัวเลขต่างๆต้องลงตัวเป๊ะพอดี และไม่เคยเขียนไว้ด้วยว่าประมาณ เช่น 500 รูป 800 รูป 1250 รูป
ต้องมองย้อนไปที่มีการสังคายนาพระไตรปิฏก จะต้องมีการใช้จินตนาการร่วมแต่งเสริมเข้าไปด้วย
เพื่อให้มันดูขลัง ศักดิ์สิทธิ์ น่าศรัทธาเลื่อมใส
เช่นพระพุทธเจ้าอาจจะประสูติวันแรม7 คํ่าเดือน4 ตรัสรู้ วันแรม 10คํ่าเดือน 2 ปรินิพพาน วันขึ้น 13 คํ่าเดือน 9
ดูมันธรรมดาใช่มั้ย ไม่อเมซซิ่งเร้าใจใช่มั้ย
พอบอกว่าเป็นวันเดียวกันนี่ โอ้โห สุดมหัศจรรย์ ในสามโลกนี้ไม่มีใครทำได้ มันน่าเลื่อมใสศรัทธากว่ากันมั้ย
แล้วการที่มีพระผู้ทรงคุณวุฒิสูงสุด 500 รูปมาเป็นผู้สังคายนา โดยมีกษัตริย์หนุนหลังอยู่ ใครจะกล้าเสนอหน้าบอกไม่เชื่อ ไม่จริง
เมื่อยอมเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่ต้น จนเวลาผ่านมาสองพันปี มันก็ซึมซาบเข้าไปในหัวเราโดยอัตโนมัติ
และโดยเฉพาะเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าด่วยแล้ว ใครกล้าแย้งขึ้นมาก็น่าจะรู้อนาคตตัวเองดี
จนทำให้เรื่องที่แต่งเสริมเพิ่มขึ้นมานั้นมีมากมาย น่าจะเกิน 70% ด้วยซํ้าไป
ซึ่งตรงนี้แหละทำให้คนส่วนใหญ่ไปหลงยึดติดกับเรื่องพวกนี้ มากกว่าจะเข้าถึงแก่นธรรมะของพระพุทธเจ้า
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงตระหนักดีถึงได้สอนเรื่องกาลามสูตรไว้ให้เราคัดกรอง
เพราะต่อให้พระพุทธเจ้าจะมีอิทธิฤทธิวิเศษแค่ไหน ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ใช่แก่นของศาสนาพุทธ
ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปสนใจให้ความสำคัญ
สรุปว่า เรื่อง1250รูปมาประชุมโดยมิได้นัดหมายเป็นสำนวนโวหารบรรยายเรื่องมากกว่าที่จะมาซีเรียสหาเหตุผลว่าทำได้อย่างไร
จริงๆแล้วอาจจะแค่ 268 รูปก้อได้ อาจจะวันแรม 13 คํ่าเดือน 6 ก้อได้
เหมือนกับเรื่องที่พระพุทธเจ้าตอนประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว
พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์
จขกทไม่เชื่อก็ดีแล้ว เพราะมันไม่make sense จริงๆ มัวไปหาเหตุผลก็เสียเวลาและปวดหัวป่าวๆ
เพราะจุดประสงค์ของเรื่องพวกนี้คือให้คนโง่เกิดศรัทธา คนมีปัญญาเค้าก้อก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไป ไม่มาสนใจ
สำหรับผม ขอนับถือพระพุทธเจ้าที่เป็นคนธรรมดาดีกว่า
ซึ่งถ้าไปถามในห้องศาสนาก็จะได้คำตอบตามที่มีในพระไตรปิฏก ซึ่งไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย
ถ้าตามความคิดเห็นส่วนตัว เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเรื่องที่จดบันทึกไว้นั้นไม่ตรงกันแน่นอน
สังเกตุดูว่าทำไมพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปริพนิพพานในวันเดียวกัน?
ทำไมวันสำคัญทางพุทธศาสนาต้องเป็นวันขึ้น 15 คํ่าทุกวัน?
ทำไมจำนวนตัวเลขต่างๆต้องลงตัวเป๊ะพอดี และไม่เคยเขียนไว้ด้วยว่าประมาณ เช่น 500 รูป 800 รูป 1250 รูป
ต้องมองย้อนไปที่มีการสังคายนาพระไตรปิฏก จะต้องมีการใช้จินตนาการร่วมแต่งเสริมเข้าไปด้วย
เพื่อให้มันดูขลัง ศักดิ์สิทธิ์ น่าศรัทธาเลื่อมใส
เช่นพระพุทธเจ้าอาจจะประสูติวันแรม7 คํ่าเดือน4 ตรัสรู้ วันแรม 10คํ่าเดือน 2 ปรินิพพาน วันขึ้น 13 คํ่าเดือน 9
ดูมันธรรมดาใช่มั้ย ไม่อเมซซิ่งเร้าใจใช่มั้ย
พอบอกว่าเป็นวันเดียวกันนี่ โอ้โห สุดมหัศจรรย์ ในสามโลกนี้ไม่มีใครทำได้ มันน่าเลื่อมใสศรัทธากว่ากันมั้ย
แล้วการที่มีพระผู้ทรงคุณวุฒิสูงสุด 500 รูปมาเป็นผู้สังคายนา โดยมีกษัตริย์หนุนหลังอยู่ ใครจะกล้าเสนอหน้าบอกไม่เชื่อ ไม่จริง
เมื่อยอมเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่ต้น จนเวลาผ่านมาสองพันปี มันก็ซึมซาบเข้าไปในหัวเราโดยอัตโนมัติ
และโดยเฉพาะเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าด่วยแล้ว ใครกล้าแย้งขึ้นมาก็น่าจะรู้อนาคตตัวเองดี
จนทำให้เรื่องที่แต่งเสริมเพิ่มขึ้นมานั้นมีมากมาย น่าจะเกิน 70% ด้วยซํ้าไป
ซึ่งตรงนี้แหละทำให้คนส่วนใหญ่ไปหลงยึดติดกับเรื่องพวกนี้ มากกว่าจะเข้าถึงแก่นธรรมะของพระพุทธเจ้า
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงตระหนักดีถึงได้สอนเรื่องกาลามสูตรไว้ให้เราคัดกรอง
เพราะต่อให้พระพุทธเจ้าจะมีอิทธิฤทธิวิเศษแค่ไหน ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ใช่แก่นของศาสนาพุทธ
ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปสนใจให้ความสำคัญ
สรุปว่า เรื่อง1250รูปมาประชุมโดยมิได้นัดหมายเป็นสำนวนโวหารบรรยายเรื่องมากกว่าที่จะมาซีเรียสหาเหตุผลว่าทำได้อย่างไร
จริงๆแล้วอาจจะแค่ 268 รูปก้อได้ อาจจะวันแรม 13 คํ่าเดือน 6 ก้อได้
เหมือนกับเรื่องที่พระพุทธเจ้าตอนประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว
พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์
จขกทไม่เชื่อก็ดีแล้ว เพราะมันไม่make sense จริงๆ มัวไปหาเหตุผลก็เสียเวลาและปวดหัวป่าวๆ
เพราะจุดประสงค์ของเรื่องพวกนี้คือให้คนโง่เกิดศรัทธา คนมีปัญญาเค้าก้อก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไป ไม่มาสนใจ
สำหรับผม ขอนับถือพระพุทธเจ้าที่เป็นคนธรรมดาดีกว่า
ความคิดเห็นที่ 13
ชฏิลสามพี่น้องและบริวาร รวม 1003 คน
พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ และคณะ รวม 252 คน
รวม 1255 รูป แต่ว่า เค้าไม่นับ ชฏิลสามพี่น้อง พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ทำให้เหลือ 1250 พอดี
ลองเข้าไปอ่านดูครับ เพราะใน 1,250 รูป ก็เป็นศิษย์ของชฎิล 3พี่น้อง ต้อง1,000 รูปแล้ว ถ้าอาจารย์ไปลูกศิษย์ก็ต้องไปด้วยไงครับ
ป.ล. ผมว่าเราน่าจะสนหลักธรรมมากกว่าน่ะครับ
https://trang82.wordpress.com/2013/02/07/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%86%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1250-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A1/comment-page-1/
พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ และคณะ รวม 252 คน
รวม 1255 รูป แต่ว่า เค้าไม่นับ ชฏิลสามพี่น้อง พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ทำให้เหลือ 1250 พอดี
ลองเข้าไปอ่านดูครับ เพราะใน 1,250 รูป ก็เป็นศิษย์ของชฎิล 3พี่น้อง ต้อง1,000 รูปแล้ว ถ้าอาจารย์ไปลูกศิษย์ก็ต้องไปด้วยไงครับ
ป.ล. ผมว่าเราน่าจะสนหลักธรรมมากกว่าน่ะครับ
https://trang82.wordpress.com/2013/02/07/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%86%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1250-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A1/comment-page-1/
แสดงความคิดเห็น
มีวิธีไหนบ้างครับที่จะให้คน 1,250 คนมาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คือ ทราบมาว่า พรุ่งนี้เป็นวัน มาฆบูชา เลยไปหาอ่านใน Wikipedia ว่ามันสำคัญอย่างไร แล้วมาสะดุดตรงที่ว่า
... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา
โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย ...
คือออ ยังไงอ่ะครับ มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วไม่ใช่น้อยๆนะครับ ตั้ง 1,250 คนแน่ะ ไม่ได้นัดแนะกันก่อนทั้งเรื่องของ วัน เวลา และสถานที่
OK ครับ มันอาจเป็นเรื่องของความอัศจรรย์ อภินิหารอะไรก็ตามแต่ แต่ผมอยากทราบว่า เรามีวิธีไหนบ้างครับ ที่จะ Appoint คนมากมายถึง 1,000 คน
มาชุมนุม/ประชุมกัน ในวัน เวลาหนึ่ง สถานที่หนึ่งๆ โดยไม่มีการเตรียมการหรือนัดแนะกันล่วงหน้าครับ มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มั๊ยครับ
อย่าไล่ให้ผมไปถามห้องศาสนาเลยนะครับ ผมเชื่อว่าคนหว้ากอสามารถให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่ผมได้
ขอบคุณทุกท่านครับผม