เรื่องเล่าจาก BTS
ทุกวันนี้น้องจะกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้า ต้องนั่งจากอโศกไปสยาม แล้วเปลี่ยนขบวนนั่งไปสนามกีฬาฯก่อน เพื่อที่จะได้ขึ้นต้นสายได้นั่งยาวไปจนถึงบางหว้า (เว้นเสียแต่จะเจอคุณยายหรือลูกเด็กเล็กแดงที่ปรากฏร่างขึ้นมาให้น้องได้มีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์)
วันนี้ได้นั่งค่ะ เพราะคนที่ยืนส่วนใหญ่เป็นสาวออฟฟิศที่อาการครบ 32 ดีอยู่ มองไปรอบตัวนึกว่าอยู่ญี่ปุ่ง คือพี่ๆทุกคนจะง่วนอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตน แต่น้องคิดว่าไม่เก๋ค่ะ น้องจะไม่ทำ น้องจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน (หนังสือเป็นๆนะคะ โนอีบุ๊ค) ให้ฟีลสาวอักษรฯยุคมาลานำไทยฯที่ขึ้นรถเมล์จากดิโอลด์สยามแล้วหยิบ Pride & Prejudice ขึ้นมาอ่าน หรือไม่ก็ฟีลเจ้าหญิง Belle (Belle จาก Beauty & the Beast นะคะ ไม่ใช่เบลล์ นันทิตา)
วันนี้น้องอ่านเรื่อง "โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว" ของพี่ก้อง-ทรงกลดค่ะ (หนังสือเขียนดีมาก ให้อารมณ์เหงาๆอุ่นๆ ประหลาดๆ และถ้าไม่เคยเจอพี่ก้องตัวจริง จะรู้สึกว่าพี่ก้องหล่อมากกกก) อ่านไปเรื่อยๆ เพลินๆ เงยหน้ามาอีกทีถึงกรุงธนบุรี ผู้คนเริ่มเบาบาง น้องจึงได้มีโอกาสเห็นพ่อหนุ่มนพพรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกันกับน้องอยู่!
ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากความที่ว่า โอกาสที่คนจะไม่เล่นมือถือแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเนี่ย ว่าน้อยแล้วนะ แล้วนี่คืออ่านเล่มเดียวกันอีก เปอเซ็นต์มันจะน้อยลงไปขนาดไหน!?
สายตาของเราสบกันค่ะ น้องรู้สึกได้ว่าเค้ามองมาที่หน้าปกหนังสือที่น้องอ่าน น้องเองก็มองของเค้า จังหวะนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ น้องเค้าก็ยิ้มตาหยีๆแล้วผงกหัวให้น้อยๆ น้องเองก็ทำแบบเดียวกันกลับไปหาเค้า
หลังจากนั้นคืออ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วนะ แอบลอบมองเค้าอยู่เป็นระยะ เค้าเองก็แอบมองน้อง มองกันไปมองกันมาอยู่อย่างนี้จนถึงตลาดพลูเค้าก็ลง ก่อนลงเค้าก็ยิ้มน้อยๆตาหยีๆให้อีกครั้งนึง #ฟินเว่ออออออ
ตอนจบเรื่องนี้ แม้เราจะไม่ได้จูงมือกันเดินไปกินเช็งซิมอี๊ แล้วคุยเรื่องหนังสือเล่มโปรดของแต่ละคน แต่สิ่งใหม่ที่น้องได้เรียนรู้วันนี้คือ บางครั้งหนังสือไม่ใช่โลกส่วนตัวของคนๆเดียว แต่สามารถเป็นสื่อกลางที่เปิดให้คนสองคนบนโลกได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้
ราตรีสวัสดิ์มิตรรักนักอ่านทุกท่านค่ะ
น้องนิสิตจุฬาฯ สามทุ่ม รถไฟฟ้าตลาดพลู...
ทุกวันนี้น้องจะกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้า ต้องนั่งจากอโศกไปสยาม แล้วเปลี่ยนขบวนนั่งไปสนามกีฬาฯก่อน เพื่อที่จะได้ขึ้นต้นสายได้นั่งยาวไปจนถึงบางหว้า (เว้นเสียแต่จะเจอคุณยายหรือลูกเด็กเล็กแดงที่ปรากฏร่างขึ้นมาให้น้องได้มีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์)
วันนี้ได้นั่งค่ะ เพราะคนที่ยืนส่วนใหญ่เป็นสาวออฟฟิศที่อาการครบ 32 ดีอยู่ มองไปรอบตัวนึกว่าอยู่ญี่ปุ่ง คือพี่ๆทุกคนจะง่วนอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตน แต่น้องคิดว่าไม่เก๋ค่ะ น้องจะไม่ทำ น้องจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน (หนังสือเป็นๆนะคะ โนอีบุ๊ค) ให้ฟีลสาวอักษรฯยุคมาลานำไทยฯที่ขึ้นรถเมล์จากดิโอลด์สยามแล้วหยิบ Pride & Prejudice ขึ้นมาอ่าน หรือไม่ก็ฟีลเจ้าหญิง Belle (Belle จาก Beauty & the Beast นะคะ ไม่ใช่เบลล์ นันทิตา)
วันนี้น้องอ่านเรื่อง "โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว" ของพี่ก้อง-ทรงกลดค่ะ (หนังสือเขียนดีมาก ให้อารมณ์เหงาๆอุ่นๆ ประหลาดๆ และถ้าไม่เคยเจอพี่ก้องตัวจริง จะรู้สึกว่าพี่ก้องหล่อมากกกก) อ่านไปเรื่อยๆ เพลินๆ เงยหน้ามาอีกทีถึงกรุงธนบุรี ผู้คนเริ่มเบาบาง น้องจึงได้มีโอกาสเห็นพ่อหนุ่มนพพรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกันกับน้องอยู่!
ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากความที่ว่า โอกาสที่คนจะไม่เล่นมือถือแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเนี่ย ว่าน้อยแล้วนะ แล้วนี่คืออ่านเล่มเดียวกันอีก เปอเซ็นต์มันจะน้อยลงไปขนาดไหน!?
สายตาของเราสบกันค่ะ น้องรู้สึกได้ว่าเค้ามองมาที่หน้าปกหนังสือที่น้องอ่าน น้องเองก็มองของเค้า จังหวะนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ น้องเค้าก็ยิ้มตาหยีๆแล้วผงกหัวให้น้อยๆ น้องเองก็ทำแบบเดียวกันกลับไปหาเค้า
หลังจากนั้นคืออ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วนะ แอบลอบมองเค้าอยู่เป็นระยะ เค้าเองก็แอบมองน้อง มองกันไปมองกันมาอยู่อย่างนี้จนถึงตลาดพลูเค้าก็ลง ก่อนลงเค้าก็ยิ้มน้อยๆตาหยีๆให้อีกครั้งนึง #ฟินเว่ออออออ
ตอนจบเรื่องนี้ แม้เราจะไม่ได้จูงมือกันเดินไปกินเช็งซิมอี๊ แล้วคุยเรื่องหนังสือเล่มโปรดของแต่ละคน แต่สิ่งใหม่ที่น้องได้เรียนรู้วันนี้คือ บางครั้งหนังสือไม่ใช่โลกส่วนตัวของคนๆเดียว แต่สามารถเป็นสื่อกลางที่เปิดให้คนสองคนบนโลกได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้
ราตรีสวัสดิ์มิตรรักนักอ่านทุกท่านค่ะ